เมนู

มหาวรรคที่ 4



1. อัมพสักขรเปตวัตถุ



ว่าด้วยเปรตถูกเสียบอยู่ปลายหลาว



[121] มีนครของชาววัชชีนครหนึ่งนามว่าเวสาลี
ในนครเวสาลีนั้น มีกษัตริย์ลิจฉวีทรงพระนามว่า
อัมพสักขระ ได้ทอดพระเนตรเห็นเปรตตนหนึ่ง
ที่ภายนอกพระนคร มีพระประสงค์จะทรงทราบ
เหตุ จึงตรัสถามเปรตนั้นในที่นั้นนั่นเองว่า การ
นอน การนั่ง การเดินไปดินมา การลิ้ม การดื่ม
การเคี้ยว การนุ่งห่ม แม้หญิงบำเรอของบุคคล
ผู้ถูกเสียบไว้บนหลาวนี้ ย่อมไม่มี ชนเหล่าใด
ผู้เป็นญาติ เป็นมิตรสหาย เคยเป็น เคยฟังร่วม
กันมา เคยมีความเอ็นดูกรุณา ของบุคคลใด มีอยู่
ในกาลก่อน เดี๋ยวนี้ชนเหล่านั้นแม้จะเยี่ยมเยียน
บุคคลนั้นก็ไม่ได้ บุรุษนี้มีตนอันญาติเป็นต้นสละ
แล้ว มิตรสหายย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ตกยาก พวก
มิตรสหายทราบว่าผู้ใดขาดแคลน ย่อมละทิ้งผู้นั้น
และเห็นใครมั่งคั่งบริบูรณ์ ก็พากันไปห้อมล้อม
คนที่มั่งคั่งด้วยสมบัติย่อมมีมิตรสหายมา ส่วน

บุคคลผู้เสื่อมจากทรัพย์สมบัติ เป็นผู้ฝืดเคืองด้วย
โภคะ ย่อมหามิตรสหายยาก (นี้เป็นธรรมดาของ
โลก) บุรุษผู้ถูกหลาวเสียบนี้ มีร่างกายเปื้อนด้วย
เลือด ตัวทะลุเป็นช่อง ๆ ชีวิตของบุรุษนี้จักดับ
ไปในวันนี้พรุ่งนี้ เหมือนหยาดน้ำค้างอันติดอยู่
บนปลายหญ้า ฉะนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุ
ไร ท่านจึงพูดกะบุรุษผู้ถึงความลำบากอย่างยิ่ง
นอนหงายอยู่บนหลาวไม้สะเดาเช่นนี้ว่า ดูก่อน
บุรุษผู้เจริญ ขอท่านจงมีชีวิตอยู่เถิด การมีชีวิต
อยู่เท่านั้นเป็นของประเสริฐ.

เปรตนั้นกราบทูลว่า:-
ข้าแต่พระราชา บุรุษนี้เป็นสาโลหิตของ
ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ระลึกชาติก่อนได้ ข้า-
พระองค์เห็นแล้วมีความกรุณาแก่เขาว่า ขออย่า
ให้บุรุษผู้เลวทรามนี้ไปตกนรกเลย ข้าแต่กษัตริย์
ลิจฉวี บุรุษผู้ทำกรรมชั่วนี้ จุติจากอัตภาพนี้แล้ว
จักเข้าถึงนรกอันยัดเยียดไปด้วยสัตว์ผู้ทำบาป
เป็นสถานร้ายกาจ มีความเร่าร้อนมาก เผ็ดร้อน
ให้เกิดความน่ากลัว หลาวนี้ประเสริฐกว่านรก
นั้นตั้งหลายพันเท่า ขออย่าให้บุรุษนี้ไปตกนรก
อันมีแต่ความทุกข์โดยส่วนเดียว เผ็ดร้อน ให้เกิด

ความน่ากลัว มีความทุกข์กล้าแข็งอย่างเดียว
บุรุษนี้ฟังคำของข้าพระองค์อย่างนี้แล้ว ประหนึ่ง
ว่าข้าพระองค์น้อมเข้าไปสู่ทุกข์ในนรกนั้น จะพึง
สละชีวิตของตนเสีย เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์
จะไม่พูดในที่ใกล้เขา ด้วยหวังว่า ชีวิตของบุรุษ
นี้อย่าได้ดับไปเสียเพราะคำของข้าพระองค์เลย
เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงพูดว่า ขอท่านจงมี
ชีวิตอยู่เถิด การมีชีวิตอยู่เป็นของประเสริฐ.

เมื่อเปรตแสดงความประสงค์ของตนอย่างนี้แล้ว พระราชา
ทรงขอโอกาสเพื่อจะตรัสถามความเป็นไปของเปรตนั้นอีก จึงได้
ตรัสพระคาถานี้ความว่า :-
เรื่องของบุรุษนี้เรารู้แล้ว แต่เราปรารถนา
จะถามท่านถึงเรื่องอื่น ถ้าท่านให้โอกาสแก่เรา
เราจะขอถามท่าน และท่านไม่ควรโกรธเรา.

เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
ข้าพระองค์ได้ให้ปฏิญาณไว้ในกาลนั้น
แน่นอนแล้ว การไม่บอกย่อมมีแก่ผู้ไม่เลื่อมใส
บัดนี้ข้าพระองค์มีวาจาที่ควรเชื่อถือได้ แม้โดย
พระองค์จะไม่ทรงเลื่อมใส เพราะเหตุนั้น ขอเชิญ
พระองค์ตรัสถามข้าพระองค์ตามพระประสงค์

เถิด ข้าพระองค์จะกราบทูลตามที่สามารถจะ
กราบทูลได้.

เมื่อเปรตให้โอกาสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าอัมพสักขระจึง
ตรัสถามว่า :-
เราเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยจักษุ เราควรเชื่อ
สิ่งนั้นแม้ทั้งสิ้น ถ้าเราเห็นสิ่งนั้นแล้วไม่เชื่อ ก็
ขอให้ลงโทษถอดยศเราเถิดยักษ์.

เปรตนั้นทูลว่า :-
ขอสัจจปฏิญาณของพระองค์นี้จงมีแก่
ข้าพระองค์ พระองค์ได้ทรงฟังธรรมที่ข้าพระองค์
กล่าวแล้ว จงทรงได้ความเลื่อมใส ข้าพระองค์มี
ความต้องการอย่างอื่น ไม่ได้มีจิตประทุษร้าย
ข้าพระองค์จะกราบทูลธรรมทั้งหมด ที่ข้าพระ-
องค์ได้สดับแล้วบ้าง หรือไม่สดับแล้วบ้าง แก่
พระองค์ ตามที่ข้าพระองค์รู้.

พระเจ้าอัมพสักขระตรัสว่า :-
ท่านขี่ม้าขาวอันประดับประดาแล้ว เข้า
ไปยังสำนักของบุรุษที่ถูกเสียบหลาว ม้าขาวตัวนี้
เป็นม้าน่าอัศจรรย์ น่าดูน่าชม นี้เป็นผลแห่งกรรม
อะไร.

เปรตนั้นกราลทูลว่า :-
ที่กลางเมืองเวสาลีนั้น มีหลุมที่หนทาง
ลื่น ข้าพระองค์มีจิตเลื่อมใส เอาศีรษะโคศีรษะ
หนึ่งวางทอดที่หลุมให้เป็นสะพาน ข้าพระองค์
และบุคคลอื่นเหยียบบนศีรษะใดนั้นเดินไปได้
สะดวก ม้านี้เป็นม้าน่าอัศจรรย์ น่าดูน่าชม นี้เป็น
ผลแห่งกรรมนั้น.

พระเจ้าอัมพสักขระตรัสถามว่า :-
ท่านมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ และมี
กลิ่นหอมฟุ้งไป ท่านได้สำเร็จฤทธิ์แห่งเทวดา
เป็นผู้มีอานุภาพมาก แต่ท่านเปลือยกาย นี้เป็น
ผลแห่งกรรมอะไร.

เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
เมื่อก่อน ข้าพระองค์เป็นคนไม่มักโกรธ
แต่มีใจเลื่อมใสเป็นนิตย์ พูดกับคนทั้งหลายด้วย
วา อ่อนหวาน ข้าพระองค์มีรัศมีทิพย์สว่างไสว
อยู่เนืองนิตย์ นี้เป็นผลแห่งกรรมนั้น ข้าพระองค์
เห็นยศและชื่อเสียงของบุคคลผู้ตั้งอยู่ในธรรม
มีจิตเลื่อมใสกล่าวสรรเสริญ ข้าพระองค์มีกลิ่น
ทิพย์หอมฟุ้งไปเนืองนิตย์ นี้เป็นผลแห่งกรรมนั้น
เมื่อพวกสหายของข้าพระองค์อาบน้ำที่ท่าน้ำ ข้า-

พระองค์ลักเอาผ้าซ่อนไว้บนบก ไม่มีความ
ประสงค์จะลักขโมย และไม่มีจิตคิดประทุษร้าย
เพราะกรรมนั้นข้าพระองค์จึงเป็นคนเปลือยกาย
เป็นอยู่อย่างฝืดเคือง.

พระเจ้าอัมพสักขระตรัสถามว่า :-
ผู้ใดทำบาปเล่น ๆ นักปราชญ์ทั้งหลาย
กล่าวว่า ผู้นั้นได้รับผลกรรมเช่นนี้ ส่วนผู้ใดตั้งใจ
ทำบาปจริง ๆ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวผลกรรม
ของผู้นั้นว่าเป็นอย่างไร.

เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
มนุษย์เหล่าใดมีความดำริชั่ว เป็นผู้เศร้า-
หมองด้วยกาย และวาจา เมื่อตายไป มนุษย์เหล่า .
นั้นย่อมเข้าถึงนรกในสัมปรายภพโดยไม่ต้อง
สงสัย ส่วนชนเหล่าอื่นปรารถนาสุคติยินดียิ่ง
ในทาน มีอัตภาพอันสงเคราะห์แล้ว เมื่อตายไป
ย่อมเข้าถึงสุคติในสัมปรายภพโดยไม่ต้องสงสัย.

เมื่อเปรตนั้น ชี้แจงจำแนกผลกรรมแต่โดยย่ออย่างนี้ พระ-
ราชาไม่ทรงเชื่อ จึงตรัสถามเปรตนั้นว่า :-
เราจะพึงรู้เรื่องนั้นได้อย่างไรว่า นี้เป็นผล
แห่งกรรมดีและกรรมชั่ว หรือเราะพึงเห็น

อย่างไร จึงจะเชื่อถือได้ หรือแม้ใครจะพึงทำ
ให้เราเชื่อถือเรื่องนั้นได้.

เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
พระองค์ได้ทรงเป็นแล้วและได้ทรงสดับ
มาแล้ว ก็จงทรงเชื่อเถิดว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมดี
และกรรมชั่ว เมื่อมีกรรมดีและกรรมชั่วทั้งสอง
ก็พึงมีสัตว์ไปสู่สุคติและทุคติ ถ้าสัตว์ทั้งหลาย
ในมนุษยโลกนี้ ไม่พึงทำกรรมดีและกรรมชั่ว
สัตว์ผู้ไปสู่สุคติ ทุคติ อันเลว และประณีต
ก็ไม่มีในมนุษยโลกนี้ แต่เพราะสัตว์ทั้งหลาย
ในมนุษยโลกทำกรรมดีและกรรมชั่วไว้ ฉะนั้น
จึงไปสู่สุคติ ทุคติ เลวบ้าง ประณีตบ้าง นัก
ปราชญ์ทั้งทลายกล่าววิบากแห่งกรรมทั้งสองนั้น
ว่า เป็นที่ตั้งแห่งการเสวยสุขและทุกข์ เทวดา
ย่อมพากันห้อมล้อมพวกชนผู้ได้เสวยผลอันเป็น
สุข คนพาลผู้ไม่เห็นบาปและทั้งสอง ย่อม
เดือดร้อน กรรมที่ข้าพระองค์เองทำไว้ในชาติ
ก่อน ซึ่งจะเป็นเหตุให้ได้เครื่องนุ่งห่มเป็นต้น
ในบัดนี้ มิได้มีแก่ข้าพระองค์ และบุคคลผู้ที่ให้
ผ่านุ้งผ้าห่ม ที่นอนที่นั่ง ข้าวและน้ำ แก่สมณ-
พราหมณ์ทั้งหลายแล้วพึงอุทิศส่วนบุญมาให้

ข้าพระองค์มิได้มี เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึง
เป็นคนเปลือยกาย มีความเป็นอยู่อย่างฝืดเคือง.

พระเจ้าอัมพสักขระตรัสถามว่า :-
ดูก่อนยักษ์ เหตุอะไร ๆ ที่จะให้ท่านได้
เครื่องนุ่มห่มพึงมีอยู่หรือ ถ้าเหตุที่ควรเชื่อพอจะ
ฟังเป็นเหตุ ได้มีอยู่ ขอท่านจงบอกเหตุนั้นแก่เรา.

เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
ในเมืองเวสาลีนี้ มีภิกษุรูปหนึ่งนามว่า
กัปปิตกะเป็นผู้ได้ฌาน มีศีลบริสุทธิ์ เป็นพระ-
อรหันต์ผู้หลุดพ้น มีอินทรีย์อันคุ้มครองแล้ว
สำรวมในพระปาติโมกข์ เยือกเย็น บรรลุผลอัน
สูงสุด มีวาจาสละสลวย รู้ความประสงค์ของ
ผู้ขอว่าง่าย มีหน้าเบิกบาน เป็นผู้มาดีไปดี พูดจา
โต้ตอบดี เป็นเนื้อนาบุญของโลก มีปกติอยู่ด้วย
เมตตา เป็นทักขิไณยบุคคลของเทวดาและมนุษย์
สงบระงับ กำจัดมิจฉาวิตกได้ ไม่มีทุกข์ ไม่มี
ตัณหา หลุดพ้นแล้ว ปราศจากลูกศร ไม่ถือเรา
ถือเขา ไม่คดกายวาจาใจ ไม่มีอุปธิ สิ้นกิเลสเป็น
เครื่องเนิ่นช้าทั้งปวง ได้บรรลุวิชา 3 มีความรุ่ง
เรือง ไม่มีชื่อเสียงปรากฏ เพราะความเป็นผู้มี
คุณวิเศษอันปกปิดไว้ แม้ใคร ๆ เป็นก็ไม่รู้ว่า

เป็นคนดีในหมู่ชนชาววัชชี เขาพากันเรียกท่าน
ว่ามุนี รู้กันว่าท่านเป็นผู้ประเสริฐ หนักแน่น ไม่
หวั่นไหว มีธรรมอันดีงาม เที่ยวไปในโลก ถ้า
พระองค์ทรงถวายผ้าคู่หนึ่งหรือสองคู่แก่ภิกษุนั้น
แล้วทรงอุทิศส่วนกุศลให้ข้าพระองค์ เมื่อ
พระองค์ทรงถวายแล้ว และท่านรับผ้านั้นแล้ว
พระองค์ก็จะทรงเห็นข้าพระองค์นุ่งห่มผ้าเรียบ
ร้อย.

พระเจ้าอัมพสักขระตรัสถามว่า :-
บัดนี้ สมณะนั้นอยู่ที่ประเทศไหน เราจัก
ไปพบท่านที่ไหน ใครจะพึงแก้ไขความสงสัย
สนเท่ห์ อันเป็นเสี้ยนหนามแห่งความเห็นของเรา
ได้ในวันนี้.

เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
ท่านอยู่ที่เมืองกปินัจจนา มีหมู่เทวดาเป็น
อันมากห้อมล้อม เป็นผู้มีนามจริงแท้ และเป็น
ผู้ไม่ประมาท แสดงธรรมีกถาอยู่ในหมู่ของตน.

พระเจ้าอัมพสักขระตรัสว่า :-
เราจักไปทำตามที่ท่านสั่งเดี๋ยวนี้ จักให้
สมณะนั้นนุ่งห่มผ้า ขอท่านจงดูคู่ผ้าเหล่านั้น อัน

สมณะนั้นรับประเคนแล้ว และเราจักคอยดูท่าน
นุ่งห่มผ้าเป็นอันดี.

เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
ข้าแต่พระเจ้าลิจฉวี ข้าพระองค์ขอประ-
ทานพระวโรกาส ขอพระองค์อย่าเสด็จเข้าไปหา
บรรพชิตในเวลาไม่ควร การเสด็จเข้าไปหา
บรรพชิตในเวลาไม่ควรนี้ ไม่เป็นธรรมเนียมที่ดี
ของพระองค์ ก็เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปหาใน
เวลาสมควร ก็จักทรงเห็นภิกษุนั้นนั่งอยู่ในที่
สงัดในที่นั้นเอง

เพื่อจะแสดงความเห็น พระสังคีติกาจารย์ได้กล่าวคาถา
ทั้งหลายว่า :-
พระเจ้าลิจฉวีตรัสอย่างนั้นแล้ว ก็
แวดล้อมด้วยหมู่ข้าราชบริพาร เสด็จไป
ในนครนั้น ครั้นเสด็จเข้าไปยังนครนั้นแล้ว จึง
เสด็จเข้าไปยังที่ประทับในนิเวศน์ของพระองค์
ทรงกระทำกิจของคฤหัสถ์ทั้งหลาย ทรงสรง
สนาน และทรงดื่มน้ำแล้วได้เวลาอันควร จึงทรง
เลือกผ้า 8 คู่จากหีบ รับสั่งให้หมู่ข้าราชบริพาร
ถือไป พระราชาครั้นเสด็จเข้าไปในประเทศนั้น
แล้ว ได้ทอดพระเนตรเห็นสมณะรูปหนึ่งผู้มีจิต

สงบระงับกลับจากที่โคจร เป็นผู้เยือกเย็นนั่งอยู่
ที่โคนต้นไม้ ครั้นแล้วได้ตรัสถามสมณะนั้นถึง
ความเป็นผู้มีอาพาธน้อย การอยู่สำราญและตรัส
บอกนามของพระองค์ให้ทราบว่า ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ ดิฉันเป็นกษัตริย์ลิจฉวีอยู่ในเมืองเวสาลี
ชาวลิจฉวีเรียกดิฉันว่าอัมพสักขระ ขอท่านจง
รับผ้า 8 คู่นี้ของดิฉัน ดิฉันขอถวายท่าน ดิฉัน
มาในที่นี้ด้วยความประสงค์เพียงเท่านี้ ดิฉันมี
ความปลื้มใจนัก.

พระเถระทูลถามว่า :-
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย พากันละเว้น
พระราชนิเวศน์ของมหาบพิตรแต่ที่ไกลทีเดียว
เพราะในพระราชนิเวศน์ของมหาบพิตร บาตร
ย่อมแตก แม้สังฆาฏิก็ถูกเขาฉีก เมื่อก่อนสมณะ
ทั้งหลายมีศีรษะห้อยลง ตกลงไปจากเคียงเท้า
มหาบพิตรได้เบียดเบียนบรรพชิตเช่นนี้ สมณะ
ทั้งหลายเคยถูกมหาบพิตรทำการเบียดเบียนแล้ว
มหาบพิตรไม่เคยพระราชทานแม้แต่น้ำมันสัก
หยดหนึ่งเลย ไม่ตรัสบอกทางให้คนหลงทาง ชิง
เอาไม้เท้าจากมือคนตาบอดเสียเอง มหาบพิตร
เป็นคนตระหนี่ ไม่สำรวมเช่นนี้ แต่บัดนี้ เพราะ

เหตุอะไร มหาบพิตรทรงเห็นผลอะไร จึงทรง
จำแนกแจกจ่ายกับอาตมภาพทั้งหลายเล่า.

พระราชาตรัสว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันขอรับผิด ดิฉันได้
เบียดเบียนสมณะทั้งหลาย ดังคำที่ท่านพูด ข้าแต่
ท่านผู้เจริญ ดิฉันมีความประสงค์จะล้อเล่น ไม่ได้
มีจิตประทุษร้าย แต่กรรมอันชั่วช้านั้นดิฉันทำ
แล้ว เด็กหนุ่มเปลือยกาย มีโภคะน้อย ได้สั่งสม
บาปเพื่อจะล้อเล่น จึงต้องเสวยทุกข์ ก็ทุกข์อะไร
เล่าที่เป็นทุกข์กว่าความเปลือยกาย ย่อมมีแก่
เปรตนั้น ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเห็นเหตุอันน่า
สังเวชและเศร้าหมองนั้นแล้วจึงให้ทาน เพราะ
เหตุนั้นเป็นปัจจัย ขอท่านจงรับผ้า 8 คู่นี้ ทักษิณา
ที่ดิฉันถวายนี้ จงสำเร็จผลแก่เปรตนั้น
พระเถระทูลว่า เพราะการให้ทาน นัก
ปราชญ์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น สรรเสริญแล้วโดย
มากแน่แท้ และพระองค์ผู้ให้จงอย่ามีความหมด
เปลืองเป็นธรรม อาตมภาพจะรับผ้า 8 คู่ของ
มหาบพิตร ขอทักษิณาทานเหล่านี้ จงสำเร็จผล
แก่เปรตนั้น.

ลำดับนั้น พระเจ้าลิจฉวีทรงชำระพระ-
หัตต์และพระบาทแล้ว ทรงถวายผ้า 8 คู่แก่
พระเถระ พอพระเถระรับประเคนผ้าเหล่านั้น
แล้ว พระราชาทรงเห็นเปรตนุ่งห่มผ้าเรียบร้อย
ลูบไล้ด้วยจันทร์แดง มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง
ประดับประดา นุ่งผ้าดี ขี่ม้าอาชาไนย มีบริวาร
ห้อมล้อม สำเร็จมหิทธิฤทธิ์ของเทวดา ครั้นทรง
เห็นเช่นนั้นแล้ว ทรงปลื้มพระทัย เกิดปีติปรา-
โมทย์ มีพระทัยร่าเริงเบิกบาน พระเจ้าลิจฉวีได้
ทรงเห็นกรรมและวิบากแห่งกรรม แจ้งประจักษ์
ด้วยพรมองค์เองแล้ว จึงเสด็จเข้าไปใกล้ แล้ว
ตรัสกะเปรตนั้นว่า เราจักให้ทานแก่สมณ-
พราหมณ์ทั้งหลาย เราควรให้ทานทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่มีอยู่ ดูก่อนเปรต ท่านมีอุปการะแก่เรามาก.

เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
ข้าแต่กษัตริย์ลิจฉวี ก็พระองค์ได้พระ-
ราชทานเพื่อข้าพระองค์ส่วนหนึ่ง แต่การพระ-
ราชทานนั้นมิได้ไร้ผล ข้าพระองค์เป็นเทวดา
ทำความเป็นสหายกับพระองค์ผู้เป็นมนุษย์.

พระราชตรัสว่า :-
ท่านเป็นคติ เป็นเผ่าพันธุ์ เป็นที่ยึดเหนี่ยว
เป็นมิตร และเป็นเทวดาของเรา ดูก่อนเปรต เรา
ขอทำอัญชลีท่าน ปรารถนาเพื่อจะเห็นท่านแม้
อีก.

เปรตกราบทูลว่า :-
ถ้าพระองค์จักเป็นผู้ไม่มีศรัทธา มีความ
ตระหนี่ มีจิตไม่เลื่อมใส พระองค์จักไม่ได้เห็น
ข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็จักไม่ได้เห็นไม่ได้
เจรจากะพระองค์อีก ถ้าพระองค์จะทรงเคารพ
ธรรม ทรงยินดีในการบริจาคทาน ทรงสงเคราะห์
ทรงเป็นดังบ่อน้ำของสมณพราหมณ์ทั้งหลาย
ด้วยอาการอย่างนี้ พระองค์ก็จักได้ทรงเห็นข้า-
พระองค์ และข้าพระองค์จักได้เห็นได้เจรจากะ
พระองค์ ขอพระองค์โปรดทรงปล่อยบุรุษนี้จาก
หลาวโดยเร็วเถิด เพราะการปล่อยบุรุษนี้ เรา
ทั้งสองจักได้เป็นสหายกัน ข้าพระองค์เข้าใจว่า
เราทั้งสองจักได้เป็นสหายกันและกัน เพราะเหตุ
แห่งบุรุษถูกหลาวเสียบ ก็บุรุษถูกหลาวเสียบนี้
อันพระองค์ทรงรีบปล่อยแล้ว พึงเป็นผู้ประพฤติ
ธรรมโดยเคารพ พึงพ้นจากนรกนั้นแน่นอน พึง

พ้นจากกรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งเวทนา พระองค์
เสด็จเข้าไปหากัปปิตกภิกษุแล้ว ทรงจำแนกทาน
กับท่าน ในเวลาที่ควรจงเสด็จเข้าไปหาแล้วตรัส
ถามด้วยพระองค์เอง ท่านจักกราบทูลเนื้อความ
นั้นแก่พระองค์ ก็พระองค์ทรงประสงค์บุญ มี
จิตไม่ประทุษร้ายก็เชิญเสด็จเข้าไปหาภิกษุนั้นเถิด
ท่านจักแสดงธรรมทั้งปวงที่ทรงสดับแล้ว และยัง
ไม่ได้ทรงสดับ แก่พระองค์ตามความรู้เห็น
พระองค์ได้ทรงฟังธรรมนั้นแล้ว จักทรงเห็น
สุคติ.
พระเจ้ารหัส ทรงเจรจาทำความเป็นสหาย
กับเทวดานั้นแล้วเสด็จไป ส่วนเปรตนั้นได้กล่าว
กะบริษัทแห่งกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายพร้อมกับ
บุตรของตน ซึ่งนั่งประชุมกันอยู่ว่า ท่านผู้เจริญ
ทั้งหลาย ขอจงฟังคำอย่างหนึ่งของเรา เราจัก
เลือกพร จักได้ประโยชน์ บุรุษที่ถูกเสียบหลาว
มีกรรมอันหยาบช้า มีอาชญาอันตั้งไว้แล้ว ถูก
หลาวร้อยจะตายหรือไม่ตาย ประมาณ 20 ราตรี
เท่านี้ เดี๋ยวนี้ เราจักปล่อยเขาตามความชอบใจ
ของเรา ขอหมู่ท่านจงอนุญาต จงรีบปล่อยบุรุษ
นั้น และบุรุษอื่นที่พระราชารับสั่งให้ลงอาชญา

โดยเร็วเถิด ใครพึงบอกท่านผู้ทำกรรมอย่างนั้น
ท่านรู้อย่างไร จึงทำอย่างนั้น หมู่ท่านย่อม
อนุญาตตามชอบใจ พระเจ้าลิจฉวีเสด็จเข้าไปสู่
ประเทศนั้นแล้ว รีบปล่อยบุรุษที่ถูกเสียบหลาว
โดยเร็วและได้ตรัสกะบุรุษนั้นว่า อย่ากลัวเลย
เพื่อนและรับสั่งให้หมอพยาบาล แล้วเสด็จเข้า
ไปหากัปปิตกภิกษุ แล้วทรงถวายทานกับท่าน
ในเวลาอันควร มีพระประสงค์จะทรงทราบเหตุ
จึงเสด็จเข้าไปใกล้แล้วตรัสถามด้วยพระองค์เอง
ว่า บุรุษผู้ถูกเสียบหลาว มีกรรมอันหยาบช้า มี
อาชญาอันตั้งไว้แล้ว ถูกหลาวร้อยจะตายหรือ
ไม่ตายประมาณ 20 ราตรีเท่านี้ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
เดี๋ยวนี้ ดิฉันปล่อยเขาไปแล้ว เขาไปบอกเปรต
นั้น เหตุอะไร ๆ ที่จะไม่ต้องไปสู่นรกนั้น พึง
หรือหนอ ถ้ามีขอท่านโปรดแก่ดิฉัน ดิฉันรอฟัง
เหตุที่ควรเชื่อถือจากท่าน.

กัปปิตกภิกษุทูลว่า :-
ความพินาศแห่งกรรมเหล่านั้นย่อมไม่มี
ความพินาศในโลกนี้เกิดขึ้นเพราะความไม่รู้แจ้ง
ถ้าเขาพึงเป็นผู้ไม่ประมาท ประพฤติธรรม
ทั้งหลายโดยเคารพตลอดคืนและวัน เขาพึงพ้น

จากนรกนั้นได้แน่ กรรมอันเว้นจากการให้ผล
พึงมี.

พระราชาตรัสว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้เจริญผู้มีปัญญากว้างขวาง
ประโยชน์ของบุรุษผู้นี้ ดิฉันรู้ทั่วถึงแล้ว บัดนี้
ขอท่านอนุเคราะห์ดิฉันบ้าง ขอท่านได้กล่าวตัก-
เตือนพร่ำสอนดิฉัน โดยวิธีที่ดิฉันจะไม่พึงไปสู่
นรกด้วยเถิด.

กัปปิตกภิกษุทูลว่า
วันนี้ ขอมหาบพิตรทรงมีพระทัยเลื่อมใส
ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ เป็น
สรณะ จงทรงสิกขาบท อย่าให้ขาดและด่าง
พร้อย จงทรงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์
ทรงยินดีด้วยพระมเหสีของพระองค์ ไม่ทรง
พูดเท็จ ไม่ทรงดื่มน้ำจัณฑ์ และทรงสมาทาน
อุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ 8 ประการอัน
ประเสริฐ เป็นกุศล มีสุขเป็นกำไร จงทรงพระ-
ราชทานจีวร บิณฑบาต ที่นอน ที่นั่ง คิลาน-
ปัจจัย ข้าว น้ำ ของกิน ของเคี้ยว ผ้า เสนาสนะ
ในภิกษุผู้มีจิตซื่อตรงทั้งหลาย บุญย่อมเจริญ
ทุกเมื่อ ทรงอังคาสภิกษุทั้งหลายผู้สมบูรณ์ด้วย

ศีล ปราศจากราคะ เป็นพหูสูต ให้อิ่มหนำด้วย
ข้าวและน้ำ บุญย่อมเพิ่มพูนทุกเมื่อ เมื่อบุคคล
เป็นผู้ไม่ประมาท ประพฤติธรรมโดยเคารพ
ตลอดคืนและวันอย่างนี้ พึงพ้นจากนรกนั้น
กรรมที่เว้นจากการให้ผลพึงมี.

พระราชาตรัสว่า :-
วันนี้ ดิฉันมีจิตเลื่อมใส ขอถึงพระพุทธ-
เจ้าพระธรรมและพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ขอ
สมาทานสิกขาบท 5 ไม่ให้ขาดและด่างพร้อย
ของดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ยินดีด้วย
ภรรยาของตน ไม่กล่าวเท็จ ไม่ดื่มน้ำเมา และจัก
สมาทานอุโบสถศีล อันประกอบด้วยองค์ 8
ประการ อันประเสริฐ เป็นกุศล มีสุขเสนาสนะ
จักถวายจีวร บิณฑบาต ที่นอนที่นั่ง คิลานปัจจัย
ข้าว น้ำ ของกิน ของเคี้ยว ผ้า และเสนาสนะ
แก่ภิกษุทั้งหลายผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ปราศจาก
ราคะ เป็นพหูสูต จักไม่กำหนัด ยินดีแต่ใน
ศาสนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
พระเจ้าลิจฉวีทรงพระนามว่าอัมพสักขระ
ได้เป็นอุบาสกคนหนึ่งในเมืองเวสาลี ทรงมี
ศรัทธามีพระฤทัยอ่อนโยน ทรงทำอุปการะแก่

ภิกษุ ทรงบำรุงสงฆ์โดยความเคารพ ในกาลนั้น
บุรุษผู้ถูกเสียบหลาว หายโรค เป็นสุขสบายดี
ได้เข้าถึงบรรพชา แม้ชนทั้งสองอาศัยกัปปิตก-
ภิกษุผู้ประเสริฐ ได้บรรลุสามัญผล การคบหา
สัปบุรุษเช่นนี้ย่อมมีผลมากตั้งร้อย แก่วิญญูชน
ผู้รู้แจ้ง บุรุษผู้ถูกเสียบหลาวได้บรรลุผลอัน
ยอดเยี่ยม ส่วนพระเจ้าอัมพสักขระได้บรรลุ
โสดาปัตติผล.

จบ อัมพสักขรเปตวัตถุที่ 1

มหาวรรคที่ 4



อรรถกถาอัมพสักขรเปตวัตถุที่ 1



เรื่องอัมพสักขรเปรตนี้ มีคำเริ่มต้นว่า เวสาลี นาม นครตฺถิ
วชฺชีนํ
ดังนี้. เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร เจ้าลิจฉวีนามว่า อัมพสักขระ
เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นนัตถิกวาทะ ครองราชย์ในเมืองเวสาลี.
ก็สมัยนั้น ในพระนครเวสาลี มีเปือกตมอยู่ในที่ใกล้ร้าน
ตลาดของพ่อค้าคนหนึ่ง. ชนเป็นอันมากในที่นั้น โดดข้ามไปลำบาก
บางคนเปื้อนโคลน. พ่อค้านั้นเห็นดังนั้น จึงคิดว่า คนเหล่านี้อย่า