เมนู

9. กูฏวินิจฉยีกเปตวัตถุ



ว่าด้วยเปรตจิกกินเนื้อหลังของตนกิน



พระนารทเถระถามเปรตตนหนึ่งว่า
[119] ตัวท่านทัดทรงดอกไม้ ใส่ชฏา สวมกำไล
ทอง ลูบไล้ด้วยจุณจันทน์ มีสีหน้าผ่องใส
งดงามดุจสีพระอาทิตย์อุทัยขึ้นมาในอากาศ
มีนางฟ้าหมื่นหนึ่งเป็นบริวารบำรุงบำเรอท่าน
นางฟ้าเหล่านั้นล้วนสวมกำไลทอง นุ่งห่มผ้าอัน
ขลิบด้วยทองคำ ท่านเป็นผู้มีอานุภาพมาก มีรูป
เป็นที่ให้เกิดขนชูชันแก่ผู้พบเห็น แต่ท่านจิกเนื้อ
ที่หลังของตนกินเป็นอาหาร ท่านได้ทำกรรมชั่ว
อะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ เพราะวิบากแห่งกรรม
อะไร ท่านจึงจิกเนื้อหลังของตนเองกินเป็น
อาหาร.

เปรตนั้นตอบว่า
กระผมได้ประพฤติทุจริตด้วยการส่อเสียด
พูดเท็จและหลอกลวง เพื่อความฉิบหายแก่ตน
ในมนุษยโลก กระผมไปแล้วบริษัทในมนุษย-
โลกนั้น เมื่อเวลาควรจะพูดความจริงปรากฏแล้ว

ละเหตุละผลเสีย ประพฤติคล้อยตามอธรรม ผู้
ใดประพฤติทุจริตมีคำส่อเสียดเป็นต้น ผู้นั้นต้อง
จิกเนื้อหลังของตนกิน เหมือนกระผมจิกเนื้อ
หลังของตนกินในวันนี้ ฉะนั้น ข้าแต่พระนารทะ
ทุกข์ที่กระผมได้รับอยู่นี้ท่านได้เห็นเองแล้ว
ชนใดเป็นคนฉลาด มีความอนุเคราะห์ ชนเหล่า
นั้นพึงกล่าวตักเตือนว่า ท่านอย่าพูดส่อเสียด
อย่าพูดเท็จ อย่าเป็นผู้มีเนื้อหลังของตนเป็น
อาหารเลย.

จบ กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุที่ 9

อรรถกถากูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุที่ 9



เมื่อพระศาสดา ประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน มหาวิหาร ทรง
ปรารภเปรตผู้วินิจฉัยโกง จึงตรัสคำเริ่มต้นว่า มาลี กิริฏี กายูรี
ดังนี้.
ในกาลนั้น พระเจ้าพิมพิสาร เข้าจำอุโบสถเดือนละ 6 วัน
มนุษย์เป็นอันมากคล้อยตามท้าวเธอ จึงพากันเข้าจำอุโบสถ. พระ-
ราชาตรัสถาม พวกมนุษย์ผู้มายังสำนักของพระองค์ว่า พวกเธอ
เข้าจำอุโบสถหรือ หรือว่า ไม่เข้าจำ. ในบรรดามนุษย์เหล่านั้น
ผู้พิพากษาตัดสินความคนหนึ่ง เป็นผู้มีวาจาส่อเสียด เป็นผู้
หลอกลวง ผู้รับเอาสินบน ไม่อดกลั้นเพื่อจะกล่าวว่า หม่อมฉัน