เมนู

5. ติโรกุฑฑเปตวัตถุ



ว่าด้วยเปรตให้พรแก่ผู้ให้ทานแล้วอุทิศให้ตน


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะพระเจ้าพิมพิสารว่า :-
[90] เปรตทั้งหลายพากันมา สู่เรือนของตน
แล้วยืนอยู่ภายนอกฝาเรือนที่ตรอก และทาง
3 แพร่ง และยืนอยู่ที่ใกล้บานประตู เมื่อข้าว
น้ำ ของกิน ของบริโภคเป็นอันมาก เขาเข้าไป
ตั้งไว้แล้ว แต่ญาติไร ๆ ของเปรตเหล่านั้นระลึก
ไม่ได้ เพราะกรรมของสัตว์เป็นปัจจัย เหล่าชน
ผู้อนุเคราะห์ ย่อมให้น้ำและโภชนะอันสะอาด
ประณีต สมควรแก่ญาติทั้งหลายตามกาล ดุจทาน
ที่มหาบพิตรทรงถวายแล้วฉะนั้น ด้วยเจตนาอุทิศ
ว่า ขอทานนี้แลจงสำเร็จผลแก่ญาติทั้งหลายของ
เรา ขอชาติทั้งหลายของเราจงเป็นสุขเถิด ส่วน
เปรตผู้เป็นญาติเหล่านั้น พากันมาชุมนุมในที่นั้น
เมื่อข้าวและน้ำมีอยู่เพียงพอ ย่อมอนุโมทนาโดย
เคารพว่า เราได้สมบัติเพราะเหตุแห่งชาติเหล่าใด
ขอญาติของเราเหล่านั้นจงมีชีวิตอยู่ยืนนาน การ
บูชาเป็นอันพวกญาติได้ทำแล้วแก่เราทั้งหลาย
และญาติทั้งหลายผู้ให้ก็ไม่ไร้ผล เพราะในเปต

วิสัยนั้น ไม่มีกสิกรรม ไม่มีโครักขกรรม การ
ค้าขายเช่นนั้นก็ไม่มี การซื่อการขายด้วยเงินก็
ไม่มี สัตว์ผู้ทำกาละจะไปในปิตติวิสัยนั้นย่อม
ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยทานที่ญาติหรือมิตรให้
แล้วแต่มนุษยโลกนี้ น้ำฝนอันตกลงในที่ดอน
ย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉันใด ทานอันญาติหรือมิตร
ให้แล้วจากมนุษยโลกนี้ ย่อมสำเร็จผลแก่เปรต
ทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน ห้วงน้ำใหญ่เต็มแล้ว
ย่อมยังสาครให้เต็มเปี่ยม ฉันใด ทานอันญาติ
หรือมิตรให้แล้วแต่มนุษยโลกนี้ ย่อมสำเร็จผล
แก่เปรตทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน กุลบุตรเมื่อ
หวนระลึกถึงอุปการะที่ท่านทำแล้วในกาลก่อน
ว่า คนโน้นให้สิ่งของแก่เรา คนโน้นได้ทำอุปการะ
แก่เรา ญาติ มิตรและสหายได้ให้สิ่งของแก่เรา
และได้ช่วยทำกิจของเรา ดังนี้ พึงให้ทักษิณาแก่
เปรตทั้งหลาย ด้วยว่าความร้องไห้ก็ดี ความ
เศร้าโศกก็ดี ความร่ำไร อย่างอื่นก็ดี ไม่ควรทำเลย
เพราะความร้องไห้เป็นต้นนั้น ไม่เป็นประโยชน์
แก่เปรตทั้งหลาย ญาติทั้งหลายย่อมดำรงอยู่อย่าง
นั้น อันทักษิณานี้แลที่ให้แล้ว เข้าไปตั้งไว้ดีแล้ว
ในสงฆ์ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่เปรตนั้นโดย

พลัน สิ้นกาลนาน ญาติธรรมมหาบพิตรได้แสดง
ให้ปรากฏแล้ว การบูชาอันยิ่งเพื่อเปรตทั้งหลาย
มหาบพิตรทรงทำแล้ว และกำลังกายมหาบพิตรได้
เป็นให้แก่ภิกษุทั้งหลายแล้ว บุญมีประมาณไม่
น้อยมหาบพิตรได้ทรงขวนขวายแล้ว.
จบ ติโรกุฑฑเปตวัตถุที่ 5

อรรถกถาติโรกุฑฑเปตวัตถุที่ 5

พระศาสดาเมื่อทรงประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์ ทรงปรารภ
พวกเปรตเป็นอันมาก จึงตรัสพระคาถานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ติโรกุฑฺเฑสุ
ติฏฺฐนฺติ
ดังนี้.
ในข้อนั้น มีกถาพิศดารดังต่อไปนี้ :- ในกัปที่ 92 แต่ภัททกัป
นี้ ได้มีนครหนึ่ง ชื่อว่า กาสี. พระราชาทรงประนามว่า ชัยเสน
ทรงครองราชสมบัติในพระนครนั้น. พระองค์ได้มีพระราชเทวี
ทรงพระนามว่า สิริมา. พระโพธิสัตว์นามว่า ผุสสะ บังเกิดใน
พระครรภ์ของพระนางแล้วตรัสรู้ พระสัมมาสัมโพธิญาณโดยลำดับ.
พระเจ้าชัยเสนเกิดความเห็นแก่ตัวขึ้นว่า บุตรของเรา ออกมหา-
ภิเนกษกรมเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นของเรา พระธรรม
เป็นของเรา พระสงฆ์ก็เป็นของเรา ดังนี้แล้ว ทรงอุปัฏฐากด้วย
พระองค์เองทุก ๆ กาล ไม่ทรงให้โอกาสแก่ชนเหล่าอื่น.

พี่น้อง 3 คน ผู้ต่างมารดากัน เป็นพระกนิฐภาดา ของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า พากันคิดว่า ธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ย่อมอุบัติเพื่อประโยชน์แก่ชาวโลกทั้งมวล มิใช่เพื่อประโยชน์
เฉพาะบุคคลผู้เดียว และพระบิดาของพวกเราก็ไม่ย่อมให้โอกาส
แก่ชนเหล่าอื่นเลย ทำอย่างไรหนอ พวกเราจะพึงได้อุปัฏฐาก
พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์. พี่น้องทั้ง 3 พระองค์นั้นได้มี
ความคิดอย่างนี้ว่า เอาเถิด พวกเราจะทำอุบายสักอย่างหนึ่งให้ได้.
พี่น้อง 3 พระองค์เหล่านั้น ได้สร้างสถานการณ์ชายแดน ประหนึ่ง
ว่า เกิดการปั้นป่วน. แต่นั้น พระราชาทรงสดับว่า แถบชายแดน
เกิดความปั่นป่วน จึงได้ส่งพระโอรสทั้ง 3 พระองค์ไปปราบ
สงบจันตชนบท. พี่น้อง 3 พระองค์เหล่านั้น ไปปราบให้ปัจจันตชนบท
สงบแล้วกลับมา. พระราชาทรงพอพระทัย ได้ประทานพรว่า
พวกลูกปรารถนาสิ่งใด ก็จงถือเองสิ่งนั้นเถิด. พี่น้องทั้ง 3 พระองค์
นั้น กราบทูลว่า ข้าพระองค์ปรารถนาจะอุปัฏฐากพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า. พระราชาตรัสว่า เว้นพระผู้มีพระภาคเจ้านี้เสีย เธอจง
เลือกเอาอย่างอื่นเถิด. พี่น้อง 3 พระองค์นั้นกราบทูลว่า พวก
ข้าพระองค์ไม่ต้องการสิ่งอื่น. พระราชาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น พวก
เธอจงกำหนดเวลามาแล้วถือเอาเถิด. พี่น้อง 3 พระองค์นั้นทูลขอ
ถึง 7 ปี พระราชาไม่ทรงอนุญาต. พี่น้อง 3 พระองค์กราบทูลว่า
ขอ 6 ปี 5 ปี 4 ปี 3 ปี 2 ปี 1 ปี 7 เดือน 6 เดือน 5 เดือน
4 เดือน จนกระทั่งขอเพียง 3 เดือน ด้วยประการฉะนี้. ในกาลนั้น

พระราชาได้ทรงอนุญาตว่า จงถือเอาเถิด.
พี่น้อง 3 พระองค์นั้น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบ
ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ปรารถนาจะอุปัฏฐาก
พระผู้มีพระภาคเจ้าตลอด 3 เดือน, ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอ
พระผู้มีพระภาคเจ้า จงทรงรับการอยู่จำพรรษาตลอด 3 เดือนนี้
แก่ข้าพระองค์เถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับด้วยดุษฎีภาพ.
พี่น้อง 3 พระองค์นั้น จึงส่งลิขิตไปถึงนายเสมียนในชนบทของตนว่า
พวกเราพึงอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอด 3 เดือนนี้, ขอท่าน
จงจัดแจงสัมภาระสำหรับอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกอย่าง
เริ่มตั้งแต่วิหารไป. นายเสมียนนั้นได้จัดแจงทุกอย่างแล้ว ส่งลิขิต
ตอบไป. พี่น้อง 3 พระองค์นั้น ต่างนุ่งผ้ากาสายะ พร้อมกับบุรุษ
1,00 คน ผู้ทำการขวนขวาย ได้พากันอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า
และภิกษุสงฆ์โดยเคารพ นำไปยังชนบท มอบถวายวิหารให้อยู่
จำพรรษา.
บุตรคฤหบดีคนหนึ่ง ผู้เป็นภัณฑาคาริกของพี่น้อง 3 พระองค์
นั้น พร้อมด้วยภริยา เป็นผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใส. เขาได้ถวาย
ทานวัตรแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานโดยเคารพ.
นายเสมียนในชนบท พาเขาไปพร้อมกับชาวชนบทประมาณ
11,000 คน ได้ให้ทานเป็นไปโดยเคารพทีเดียว. ในคนเหล่านั้น
ชาวชนบทบางพวก ได้เกิดขัดใจกันขึ้น. เขาเหล่านั้น จึงพากัน
ทำอันตรายแก่ทาน พากันกินไทยธรรมด้วยตนเอง และเอาไฟเผา

โรงครัว. ราชบุรุษผู้ปรารถนาแล้วก็พากันทำสักการะแด่พระ
ผู้มีพระภาคเจ้า นำพระผู้มีพระภาคเจ้าไว้เบื้องหน้า แล้วกลับ
มาหาบิดาตามเดิม. บรรดาท่านเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จ
ไปแล้ว ก็ปรินิพพาน. ส่วนราชบุตร เสมียนในชนบท และผู้เป็น
ภัณฑาคาริกพร้อมด้วยบริษัททำกาละแล้ว ไปบังเกิดในสวรรค์
ตามลำดับ. เหล่าชนผู้ขัดใจกัน ก็พากันเกิดในนรก. เมื่อชนทั้ง 2
พวกนั้น จากสวรรค์เข้าถึงสวรรค์ จากนรกเข้าถึงนรก ด้วยอาการ
อย่างนี้ ผ่านไป 92 กัป.
ครั้นในภัททกัปนี้ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรง
พระนามว่า กัสสปะ คนผู้ขัดใจกันเหล่านั้น เกิดในพวกเปรต.
ในกาลนั้น พวกมนุษย์พากันให้ทานอุทิศเพื่อประโยชน์แก่พวกเปรต
ผู้เป็นญาติของตนว่า ขอทานที่ให้นี้ จงสำเร็จแก่พวกญาติของ
พวกเราเถิด. เปรตเหล่านั้น ได้เสวยสมบัติ. ลำดับนั้น เปรตเหล่านี้
ได้เห็นดังนั้น จึงเข้าไปเฝ้าพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทูลถามว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้พวกข้าพระองค์จะพึงได้สมบัติเห็นปานนี้
หรือไม่หนอ ? พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า บัดนี้ ท่านยังไม่ได้
แต่ในอนาคต จักมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า โคตม
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น จักมีพระราชาทรง
พระนามว่า พิมพิสาร, ใน 92 กัปแต่ภัททกัปนี้ พระองค์ได้เป็น
ญาติของพวกท่าน พระองค์ได้ถวายทานแด่พระพุทธเจ้ากลัวจัก
อุทิศแก่พวกท่าน. พวกท่านจักได้ในกาลนั้น. ได้ยินว่า เมื่อพระ-

กัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแล้วอย่างนี้ พระดำรัสนั้น ได้เป็น
เหมือนตรัสแก่พวกเปรตเหล่านั้นว่า จักได้ในวันพรุ่งนี้.
ครั้นพุทธันดรหนึ่งผ่านไป พระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเรา
ทรงอุบัติขึ้นแล้ว. ราชบุตรทั้ง 3 แม้เหล่านั้น พร้อมด้วยบุรุษ
1,000 คน ยุติจากเทวโลกแล้ว เกิดในสกุลพราหมณ์ ในมคธรัฐ
พากันบวชเป็นฤาษีตามลำดับ ได้เป็นชฎิล 3 พี่น้อง ณ คยาสีส-
ประเทศ. นายเสมียนในชนบท ได้เป็นพระเจ้าพิมพิสาร คฤหบดีบุตร
ผู้เป็นขุนคลัง ได้เป็นเศรษฐี ชื่อว่า วิสาขะ. ภริยาของคฤหบดีบุตร
นั้น ได้เป็นธิดาของเศรษฐี นามว่าธรรมทินนา. ฝ่ายคนนอกนั้น
บังเกิดเป็นบริวารของพระราชานั่นเอง.
พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ของพวกเรา ก็ทรงอุบัติขึ้นในโลก
ล่วงไป 7 สัปดาห์ ก็เสด็จมายังกรุงพาราณสีโดยลำดับ ทรง
ประกาศธรรมจักร ทรงแนะนำตั้งต้นแต่พระปัญจวัคคีย์ จนถึง
ชฎิล 3 พี่น้อง พร้อมด้วยบริวาร 1,000 คน แล้วได้เสด็จไปยัง
กรุงราชคฤห์. ก็ในบรรดาชนเหล่านั้น พระองค์ทรงให้พระเจ้า
พิมพิสาร ผู้เข้าไปเฝ้าในวันนั้นนั่นเอง พร้อมกับพราหมณ์และ
คฤหบดีชาวอังคะและมคธะ 110,000 คน ให้ดำรงอยู่ในโสดา-
ปัตติผลแล้ว. ลำดับนั้น พระราชาทรงนิมนต์ด้วยภัตต์เพื่อเสวย
พระกระยาหารในวันพรุ่งนี้ พระองค์ทรงรับแล้วในวันที่ 2 อัน
ท้าวสักกะจอมเทพผู้แปลงเพศเป็นมาณพน้อยนำเสด็จไป ชมเชย
ด้วยพระคาถามีอาทิอย่างนี้ว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงฝึกพระองค์
แล้ว พ้นวิเศษแล้ว มีวรรณะเพียงดังว่าลิ่มทอง
สิงคี พร้อมด้วยปุราณชฎิล ผู้ฝึกตนแล้ว ผู้พ้น
วิเศษแล้ว ได้เสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์ดังนี้.

จึงเสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์ ทรงรับมหาทานในพระ-
ราชนิเวศน์. ส่วนพวกเปรตเหล่านั้น ได้พากันยืนล้อมด้วยหวังใจว่า
บัดนี้ พระราชาจักอุทิศทานแก่พวกเรา. บัดนี้พระราชาจักอุทิศ.
พระราชาทรงถวายทานแล้ว ทรงพระดำริเฉพาะสถานที่
ประทับอยู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า จะพึง
ประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ ดังนี้ จึงไม่ได้อุทิศทานนั้นแก่ใคร ๆ.
พวกเปรตเมื่อไม่ได้ทานนั้น อย่างนั้น ก็สิ้นหวัง ในเวลากลางคืน
จึงพากันส่งเสียงร้องอันน่าสะพึงกลัวอย่างยิ่ง ใกล้พระราชนิเวศน์.
พระราชาทรงถึงความสังเวชอันน่าสะพึงกลัว น่าหวาดเสียว เมื่อ
ราตรีผ่านไปจึงได้กราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าพระองค์
ได้สดับเสียงเห็นปานนี้, จักมีเหตุอะไรแก่ข้าพระองค์ พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อย่าทรงกลัวเลยมหาบพิตร จักไม่มี
ความชั่วช้าลามกอะไรแก่พระองค์ดอก อนึ่ง ญาติเก่าก่อนของ
พระองค์ที่เกิดในพวกเปรตก็มี, ญาติเหล่านั้น หวังจะพบเฉพาะ
พระองค์แต่ผู้เดียวถึงพุทธันดรหนึ่ง ท่องเที่ยวไปด้วยหวังใจว่า
พระองค์ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าแล้ว จักอุทิศแก่พวกเราบ้าง
เพราะพระองค์ถวายท่านเมื่อวันวานแล้ว มิได้อุทิศจึงพากันสิ้นหวัง

ส่งเสียงร้องเห็นปานนั้น. พระราชาตรัสถามว่า เมื่อหม่อมฉันถวาย
ทานแม้ในบัดนี้ เปรตเหล่านั้นจะพึงได้รับหรือ พระเจ้าข้า ? พระ-
ศาสดาตรัสว่า ได้ มหาบพิตร. พระราชากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้นขอพระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดรับทานของ
ข้าพระองค์เพื่อเสวยในวันนี้, ข้าพระองค์จักอุทิศแก่พวกเปรต
เหล่านั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับนิมนต์ด้วยดุษฎีภาพ.
พระราชาเสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ ทรงให้จัดแจงมหาทาน
แล้ว ให้กราบทูลกาลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ประทับนั่งบน
อาสนะที่บรรจงจัดไว้. เปรตเหล่านั้นไปด้วยหวังว่า วันนี้ พวกเรา
จะพึงได้อะไรเป็นแน่ ดังนี้ จึงได้พากันยืนอยู่ในที่ต่าง ๆ มีภายนอก
ฝาเรือนเป็นต้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงการทำโดยที่พวกเปรต
เหล่านั้นทั้งหมดมาปรากฏแด่พระราชา. พระราชาเมื่อจะทรงหลั่ง
น้ำทักษิโณทก จึงอุทิศว่า ทานที่ข้าพเจ้าให้นี้ จงสำเร็จแก่พวกญาติ
เถิด. ในบัดดลนั้นเอง สระโบกขรณีอันดาระดาษด้วยกลุ่มดอกกมล
ได้บังเกิดแก่พวกเปรต. เปรตเหล่านั้นพากันอาบและดื่มในสระ
โบกขรณีนั้น ได้สงบระงับความกระวนกระวาย ความลำบาก และ
ความกระหาย ได้เป็นผู้มีสีดั่งทองคำ. พระราชา ถวายข้าวยาคู
ของเคี้ยว และของบริโภคแล้วทิศให้. ขณะนั้นนั่นเอง ข้าวยาคู
ของเคี้ยวและอาหารอันเป็นทิพย์ก็บังเกิดแก่เปรต เหล่านั้น. เปรต
เหล่านั้นพากันบริโภคข้าวยาคูเป็นต้นนั้นแล้ว ก็ได้เป็นผู้มีอินทรีย์

กระปรี้กระเปร่า. ลำดับนั้น พระองค์ได้ถวายผ้า, ที่นอน, และที่นั่ง
แล้วอุทิศให้. เครื่องประดับมีชนิดต่าง ๆ เช่น ผ้า ปราสาท เครื่องลาด
และที่นอน เป็นต้น อันเป็นทิพย์ ได้บังเกิดแก่เปรตเหล่านั้น. และ
สมบัติของเปรตเหล่านั้นทั้งหมดนั้น ได้ปรากฏแก่พระราชา โดย
ประการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานไว้. พระราชาทรง
ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรงพอพระทัยยิ่งนัก. ลำดับนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้า เสวยพระกระยาหารแล้ว ทรงห้ามภัตรแล้ว เพื่อจะ
ทรงอนุโมทนาแก่พระเจ้าพิมพิสาร จึงได้ตรัสติโรกุฑฑเปตวัตถุว่า
เปรตทั้งหลายพากันมาเรือนของตน
แล้วยืนอยู่ภายนอกฝาเรือน ที่ตรอก กำแพง และ
ทางสามแพร่ง และยืนอยู่ที่ใกล้บานประตู เมื่อ
ข้าว น้ำ ของกิน ของบริโภคเพียงพอ เขาเข้าไป
ตั้งไว้แล้ว แต่ญาติไร ๆ ของเปรตเหล่านั้นระลึก
ไม่ได้ เพราะกรรมของสัตว์เป็นปัจจัย เหล่าชน
ผู้อนุเคราะห์ ย่อมให้น้ำและโภชนะอันสะอาด
ประณีต สมควรแก่ญาติทั้งหลายตามกาล ดุจทาน
ที่มหาบพิตรถวายแล้วฉะนั้น ด้วยเจตนาอุทิศว่า
ขอทานนี้แล จงสำเร็จผล แก่ญาติทั้งหลายของ
เรา ขอญาติทั้งหลายของเรา จงเป็นสุขเถิด ส่วน
เปรตผู้เป็นญาติเหล่านั้น พากันมาชุมนุมในที่นั้น
เมื่อข้าวและน้ำมีอยู่เพียงพอ ย่อมอนุโมทนาโดย

เคารพว่า เราได้สมบัติเพราะเหตุแห่งญาติเหล่าใด
ขอญาติของเราเหล่านั้น จงมีอายุยืนนาน การ
บูชาเป็นอันพวกญาติได้ทำแล้ว แก่เราทั้งหลาย
และญาติทั้งหลาย ผู้ให้ก็ไม่ไร้ผล เพราะในเปต
วิสัยนั้น กสิกรรมและโครักขกรรมไม่มี การ
ค้าขายเช่นนั้นก็ไม่มี การซื้อการขายด้วยเงินตรา
ก็ไม่มี สัตว์ทั้งหลายผู้ทำกาละละไปแล้วในเปรต
วิสัยนั้น ย่อมยังอัตตภาพให้เป็นไปด้วยทานที่
ทายกให้แล้ว จากมนุษยโลกนี้ น้ำฝนอันตกลง
ในที่ดอนย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉันใด ทานอันญาติ
หรือมิตรให้แล้ว จากมนุษยโลกนี้ ย่อมสำเร็จผล
แก่เปรตทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน ห้วงน้ำใหญ่
เต็มแล้วย่อมยังสาครให้เต็มเปี่ยม ฉันใด ทานอัน
ญาติหรือมิตรให้แล้ว แต่มนุษยโลกนี้ ย่อมสำเร็จ
ผลแก่เปรตทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน กุลบุตร
เมื่อหวนระลึกถึงอุปการคุณที่ท่านทำแล้วในกาล
ก่อนว่า คนโน้นได้ให้สิ่งของแก่เราแล้ว คนโน้น
ได้ทำอุปการคุณแก่เราแล้ว ญาติมิตรและสหาย
ได้ให้สิ่งของแก่เราและได้ช่วยทำกิจของเรา ดังนี้
พึงให้ทักษิณาแก่เปรตทั้งหลาย ด้วยว่า การ
ร้องไห้ก็ดี ความเศร้าโศกก็ดี การพิไรร่ำไรก็ดี

ไม่ควรทำเลย เพราะการร้องไห้เป็นต้นนั้น ไม่
เป็นไปเพื่อประโยชน์ แก่เปรตทั้งหลาย ญาติ
ทั้งหลายก็คงดำรงอยู่อย่างนั้น อันทักษิณานี้แล
ที่ให้แล้ว ตั้งไว้ดีแล้วในสงฆ์ ย่อมสำเร็จเพื่อ
ประโยชน์แก่เปรตนั้นโดยพลัน สิ้นกาลนาน.
ญาติธรรม มหาบพิตร ได้แสดงให้ปรากฏแล้ว
การบูชาอันยิ่งเพื่อเปรตทั้งหลาย มหาบพิตรก็
ทรงกระทำแล้ว และพลังกายมหาบพิตรก็ได้เพิ่ม
ให้แก่ภิกษุทั้งหลายแล้ว บุญมีประมาณไม่น้อย
มหาบพิตรก็ได้ทรงขวนขวายแล้วแล.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ติโรกุฑฺเฑสุ ได้แก่ ที่ส่วนอื่น
ของฝา (เรือน). คำว่า ติฏฺฐนฺติ นี้ เป็นคำกำหนดการยืน โดย
ปฏิเสธการนั่งเป็นต้น, อธิบายว่า ยืนอยู่ภายนอกประตูบ้าน กำแพง
และฝาเรือน. บทว่า สนธิสงฺฆาฏเกสุ จ ได้แก่ ที่ตรอก 4 แพร่ง
และที่ทาง 3 แพร่ง. บทว่า สนฺธิ ได้แก่ ตรอก 4 แพร่ง. เรียก
ที่ต่อเรือน ที่ต่อฝา และที่ต่อหน้าต่างก็มี. บทว่า สิงฺฆาฏกา ได้แก่
ตรอก 3 แพร่ง. บทว่า ทฺวารพาหาสุ ติฏฺฐนฺติ ได้แก่ ยืนพิงฝา
ประตูเมืองและประเรือน. บทว่า อาคนฺตฺวาม สกํ ฆรํ ความว่า
เรือนของญาติในครั้งก่อนก็ดี เรือนที่ตนครอบครอง โดยความเป็น
เจ้าของก็ดี ชื่อว่าเรือนของตน เพราะเหตุที่พวกเปรตเหล่านั้น

มายังเรือนแม้ทั้งสองชนิดนั้น ด้วยความเข้าใจว่าเรือนของตน ฉะนั้น
จึงตรัสว่า มายังเรือนของตน.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงแก่พระราชาถึงพวกเปรต
เป็นอันมาก ผู้มีรูปแปลกไม่น่าดู ทั้งดูน่าสะพึงกลัวอย่างยิ่ง ผู้เสวย
ผลของความริษยาและความตระหนี่ ผู้มายังพระราชนิเวศน์ของ
พระเจ้าพิมพิสาร แม้ตนจะไม่เคยครอบครองอยู่ในกาลก่อน ด้วย
สำคัญว่าเป็นเรือนของตน เพราะเป็นเรือนของญาติในกาลก่อน
แล้ว ยืนอยู่ภายนอกฝาเรือนเป็นต้น ด้วยประการอย่างนี้ จึงตรัส
คาถาว่า ติโรกุฑฺเฑสุ ติฏฺฐนฺติ เมื่อจะทรงแสดงซ้ำว่า กรรมที่
พวกเปรตเหล่านั้นทำเป็นของโหดร้าย จึงตรัสคาถาที่ 2 ว่า ปหูเต
อนฺนปานมฺหิ
ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปหูเต แปลว่า ไม่น้อย คือ มาก,
อธิบายว่า เพียงพอแก่ความต้องการ. จริงอยู่ แปลง อักษร เป็น
อักษรก็ได้ เหมือนในประโยคทีมีอาทิว่า ปหุ สนฺโต น ภราติ
สัปบุรุษเป็นจำนวนมาก ย่อมไม่เต็ม (ด้วยความรู้). ส่วนอาจารย์
บางพวกกล่าวว่า พหุเก ดังนี้. ก็นั่น เป็นการกล่าวด้วยความเลินเล่อ.
บทว่า อนฺนปานมฺหิ แปลว่า เมื่อข้าวและน้ำ. บทว่า ขชฺชโภชฺเช
แปลว่า เมื่อของเคี้ยวและของบริโภค. ด้วยคำนี้ ทรงแสดงอาหาร
ทั้ง 4 ชนิดคือ ของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว และของลิ้ม. บทว่า
อุปฏฺฐิเต แปลว่า เข้าไปตั้งไว้ คือ ตระเตรียมไว้, อธิบายว่า
จัดแจงไว้. บทว่า น เตสํ โกจิ สรติ สตฺตานํ ความว่า ใคร ๆ

จะเป็นมารดา บิดา บุตร หรือหลานก็ตาม ของสัตว์เหล่านั้น คือ
ผู้เกิดในเปตวิสัยระลึกไม่ได้. ถามว่า เพราะเหตุไร ? ตอบว่า
เพราะกรรมเป็นปัจจัย, อธิบายว่า เพราะกรรมคือความตระหนี่
อันต่างโดยการไม่ให้และการปฏิเสธการให้เป็นต้น ที่ตนทำไว้
เป็นเหตุ. กรรมนั้นแหละ ทำให้พวกญาติเหล่านั้น ระลึกไม่ได้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงความไม่มีแม้แต่การ
หวนระลึก ของพวกญาติเพราะผลกรรมของพวกเปรต ผู้หวังเฉพาะ
ต่อพวกญาติ ในเมื่อข้าวและน้ำเป็นต้น แม้มีประมาณไม่น้อย ก็มีอยู่
อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงสรรเสริญทานที่พระราชาถวาย
อุทิศพวกญาติผู้เกิดในเปตวิสัย จึงตรัสคาถาที่ 3 ว่า เอวํ ททนฺติ
ญาตีนํ
ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ เป็นคำอุปมา. บทว่า เอวํ นั้น
เชื่อมความได้ 2 ประการ คือ บรรดาญาติบางพวก แม้ที่ระลึกไม่ได้
เพราะกรรมของสัตว์เหล่านั้นเป็นปัจจัย ญาติบางพวกผู้อนุเคราะห์
อย่างนั้น ก็ย่อมให้แก่พวกญาติ และคือพวกญาติผู้อนุเคราะห์ ย่อม
ให้น้ำและข้าวอันสะอาด ประณีต อันสมควรตามกาลแก่ญาติทั้งหลาย
เหมือนทานที่มหาบพิตรถวายแล้วฉะนั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
ททนฺติ แปลว่า ย่อมให้ คือ อุทิศให้ มอบให้. บทว่า ญาตีนํ ได้แก่
ชนผู้เกี่ยวเนื่องกัน ทางมารดาและบิดา. บทว่า เย ได้แก่ ชนเหล่าใด
เหล่าหนึ่งมีบุตรเป็นต้น. บทว่า โหนฺติ แปลว่า ย่อมเป็น. บทว่า
อนุกมฺปกา ได้แก่ ผู้ต้องการประโยชน์ คือ ผู้แสวงหาประโยชน์

เกื้อกูล. บทว่า สุจึ ได้แก่ บริสุทธิ์ ชื่นใจ และประกอบด้วยธรรม.
บทว่า ปณีตํ ได้แก่ โอฬาร. บทว่า. กาเลน ได้แก่ โดยกาลอัน
เหมาะสมแก่การบริโภคของพระทักขิไณยบุคคลทั้งหลาย หรือโดย
กาลที่เปรตผู้เป็นญาติมายืนอยู่ที่ภายนอกฝาเรือนเป็นต้น. บทว่า
กปฺปิยํ ได้แก่ ควร คือเหมาะสม ได้แก่ สมควรเพื่อการบริโภค.
ของพระอริยเจ้าทั้งหลาย. บทว่า ปานโภชนํ แปลว่า น้ำ และข้าว.
ก็ในที่นี้โดยการแสดงอ้างถึงบทว่า ปานโภชนะ นั้น พระองค์ตรัส
ถึงไทยธรรมทุกอย่าง.
บัดนี้ เพื่อจะแสดงประการอันเป็นเหตุ ชื่อว่าเป็นอันญาติ
ให้แล้วแก่เปรตเหล่านั้น จึงตรัสกึ่งคาถาเบื้องต้น ด้วยคาถาที่ 4 ว่า
อิทํ โว ญาตีนํ โหตุ สุขิตา โหนฺตุ ญาตโย ดังนี้เป็นต้น. กึ่งเบื้องต้น
แห่งคาถาที่ 4 นั้น พึงเชื่อมกับกึ่งเบื้องต้นแห่งคาถาที่ 3 ว่า :-
ญาติผู้อนุเคราะห์ ย่อมให้แก่พวกญาติ
ด้วยเจตนาอุทิศอย่างนี้ว่า ขอทานนี้แลจงสำเร็จ
แก่ญาติทั้งหลาย ขอญาติทั้งหลาย จงได้รับ
ความสุขเถิด.

ด้วย เอวํ ศัพท์นั้น อันมีอาการเป็นอรรถว่า ญาติทั้งหลาย
ย่อมให้โดยประการอย่างนี้ว่า ขอทานนี้แลจงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลาย
ไม่ให้โดยประการอื่น เป็นอันชื่อว่า กระทำการแสดงออกถึงอาการ
ที่จะพึงให้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทํ เป็นบทแสดงออกถึงไทยธรรม.
บทว่า โว เป็นเพียงนิบาต, เหมือน โว อักษร ในประโยคมีอาทิว่า
เยหิ โว อริยา. บทว่า ญาตีนํ โหตุ แปลว่า จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลาย
ผู้เกิดในเปตวิสัย. แต่บางอาจารย์กล่าวว่า โน ญาตีนํ, อธิบายว่า
แก่ญาติทั้งหลาย ของพวกเรา. บทว่า สุขิตา โหนฺตุ ญาตโย ความว่า
พวกญาติผู้เข้าถึงเปตวิสัยเหล่านั้น เมื่อเสวยผลนี้ คือ จงมีความสุข
ได้แก่ ได้รับความสุข.
เพราะเหตุที่กรรมอันบุคคลอื่นกระทำ แม้ในเมื่อพวกญาติ
กล่าวว่า ขอทานนี้แล จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลาย ดังนี้ ย่อมไม่ให้ผล
แก่คนอื่น ก็สิ่งนั้นที่เขาให้อุทิศอย่างนั้น ล้วนเป็นปัจจัยแก่กุศลกรรม
แก่พวกเปรตผู้เป็นญาติ ฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงประการที่กุศลกรรม
อันบังเกิดผลแก่เปรตเหล่านั้นในที่นั้น คือ ในขณะนั้นนั่นเอง จึงตรัส
คำมีอาทิว่า เต จ ตตฺถ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เต ได้แก่ เปรตผู้เป็นญาติ.
บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในที่ที่พวกญาติให้ทาน. บทว่า สมาคนฺตฺวา
ได้แก่ เป็นผู้ประชุมกันในที่นั้น เพื่ออนุโมทนาว่า พวกญาติเหล่านี้
ของพวกเรา อุทิศทานเพื่อประโยชน์แก่พวกเรา. บทว่า ปหูเต
อนฺนปานมฺหิ
ได้แก่ เมื่อสิ่งของนั้น ที่พวกญาติให้อุทิศตน. บทว่า
สกฺกจฺจํ อนุโมทเร ความว่า เชื่อกรรมและผลของกรรม ไม่ละ
ความยำเกรง เป็นผู้มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมบันเทิงใจ ย่อมเบิกบานใจ

เกิดปีติโสมนัสขึ้นว่า ขอทานของพวกเรานี้ จงเป็นไปเพื่อประโยชน์
สุขเถิด.
บทว่า จิรํ ชีวนฺตุ ได้แก่ ขอจงมีชีวิตยืนนาน คือมีอายุยืนนาน.
บทว่า โน ญาตี ได้แก่ ญาติทั้งหลายของพวกเรา. บทว่า เยสํ เหตุ
ได้แก่ เพราะเหตุแห่งญาติเหล่าใด คือ เพราะอาศัยญาติเหล่าใด.
บทว่า ลภามเส ความว่า ย่อมได้สมบัติเช่นนี้. จริงอยู่ บทนี้ เป็นบท
แสดงอาการที่พวกเปรตผู้เสวยสมบัติที่ได้ด้วยการอุทิศชมเชยพวก
ญาติของตน. จริงอยู่ ทักษิณาย่อมบังเกิดผลแก่พวกเปรตในขณะนั้น
ด้วยองค์ 3 ประการคือ ด้วยตนอนุโมทนา 1 ด้วยทายกอุทิศให้
ด้วยการถึงพร้อมด้วยพระทักขิไทยบุคคล 1. ในองค์ทั้ง 3 นั้น
ทายกเป็นเหตุพิเศษ. เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า เยสํ เหตุ ลภามเส
ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า อมฺหากญฺจ กตา ปูชา ความว่า การบูชา เป็นอันทายก
ผู้อุทิศให้อย่างนี้ว่า ขอทานนี้แล จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายเถิด
กระทำแก่พวกเรา และทายกเหล่านั้น ก็ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ไร้ผล เพราะ
ให้ผลในสันดานเป็นที่บังเกิดแห่งกรรมอันสำเร็จด้วยการบริจาค
นั้นนั่นแล.
ก็ในข้อนี้มีผู้ท้วงถามว่า ก็เฉพาะพวกญาติผู้เข้าถึงเปตวิสัย
ย่อมได้เหตุสมบัติเท่านั้นหรือ หรือว่า คนอื่นก็ได้. ก็ในข้อนี้ พวกเรา
ไม่จำต้องกล่าว เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพยากรณ์ไว้แล้ว.

สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน (ทสกนิบาต
อังคุตรนิกาย) ว่า :-
ชานุสโสณีพราหมณ์ ทูลถามว่า "ท่านพระโคดมผู้เจริญ
พวกข้าพเจ้า ได้นามว่าเป็นพราหมณ์ ย่อมให้ทาน ย่อมทำบุญด้วย-
เชื่อว่า ทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้ว ขอญาติ-
สาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้ว จงบริโภคทานนี้. ท่านโคดมผู้เจริญ ทานนั้น
ย่อมสำเร็จแก่ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วละหรือ ญาติสาโลหิต
ผู้ล่วงลับไปแล้วเหล่านั้น ย่อมได้บริโภคทานนั้นละหรือ ? พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อน พราหมณ์ ทานนั้นย่อมสำเร็จใน
ฐานะอันควรแล ย่อมไม่สำเร็จในฐานะที่ไม่ควร.
ชานุสโสณี. ท่านโคดมผู้เจริญ ก็ฐานะที่ควรเป็นไฉน ฐานะ
ที่ไม่ควรเป็นไฉน ?
พระผู้มีพระภาคเจ้า ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ฯลฯ เป็นมิจฉาทิฏฐิ บุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตาย
เพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงนรก เขาย่อมยังอัตตภาพให้เป็นไปในนรก
นั้น เขาตั้งอยู่ในนรกนั้น ด้วยอาหารของพวกสัตว์นรก ดูก่อน
พราหมณ์ นี้แลเป็นฐานะอันไม่สมควร ไม่เป็นที่สำเร็จแห่งทาน
แก่ผู้สถิตย์อยู่เลย.
ดูก่อนพราหมณ์ ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ฯลฯ
เป็นมิจฉาทิฏฐิ. เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึง
กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน เขาย่อมยังอัตตภาพให้เป็นไปในกำเนิดสัตว์

ดิรัจฉานนั้น ตั้งอยู่ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนั้น ด้วยอาหารของ
สัตว์ผู้เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ดูก่อนพราหมณ์. นี้แล ก็จัด
เป็นฐานะอันไม่สมควร ไม่เป็นที่สำเร็จแห่งทานแก่ผู้สถิตย์อยู่เลย.
ก่อนพราหมณ์ ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เว้นขาดจาก
ปาณาติปาต ฯลฯ เป็นสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของพวกมนุษย์ ฯลฯ ย่อมเข้าถึง
ความเป็นสหายของเทวดา เขาย่อมยังอัตภาพให้เป็นไปในเทวโลก
นั้น ย่อมตั้งอยู่ในเทวโลกนั้น ด้วยอาหารของเทวดา ดูก่อนพราหมณ์
แม้นี้ก็เป็นฐานะอันไม่สมควร ไม่เป็นที่สำเร็จแห่งทาน แก่ผู้สถิตย์
อยู่เลย.
ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทำปาณา-
ติบาต ฯลฯ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขา
ย่อมเข้าถึงเปตวิสัย เขาย่อมยังอัตภาพให้เป็นไปในเปตวิสัยนั้น
ย่อมตั้งอยู่ในเปตวิสัยนั้น ด้วยอาหารของเหล่าสัตว์ ผู้เกิดในเปต-
วิสัยนั้น ก็หรือว่าย่อมยังอัตภาพให้เป็นไป ในเปตวิสัยนั้น ย่อม
ตั้งอยู่ในเปตวิสัยนั้น ด้วยปัตติทานมัย ที่พวกมิตร อำมาตย์ หรือ
พวกญาติสาโลหิตของเขา เพิ่มให้จากมนุษยโลกนี้, ดูก่อนพราหมณ์
นี้แล เป็นฐานะอันสมควร อันเป็นที่เข้าไปสำเร็จแห่งทาน แก่ผู้
สถิตย์อยู่แล.
ชานุสโสณีพราหมณ์. ท่านโคดมผู้เจริญ ก็ถ้าญาติสาโลหิต
ผู้ละไปแล้วนั้น ย่อมไม่เข้าถึงฐานะอันสมควรนั้นไซร้ ใครเล่าจะ

บริโภคฐานะอันสมควรนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า. ดูก่อนพราหมณ์ พวกญาติสาโลหิต
ผู้ละไปแล้วแม้เหล่าอื่น ของเขาย่อมเข้าถึงฐานะอันสมควรนั้น
ญาติสาโลหิตผู้ละไปแล้วเหล่านั้น ย่อมบริโภคฐานะอันควรนั้น.
ชานุสโสณีพราหมณ์. ท่านโคดมผู้เจริญก็ถ้าญาติสาโลหิต
ผู้ละไปแล้วนั้นนั่นแล ย่อมไม่เข้าถึงฐานะอันสมควรนั้นไซร้ ทั้ง
ญาติสาโลหิตผู้ละไปแล้ว แม้เหล่าอื่นของเขาก็ย่อมไม่เข้าถึงฐานะ
อันควรนั้น ใครเล่า จะบริโภคฐานะอันควรนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า. ดูก่อนพราหมณ์ นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่
โอกาสแล ที่จะพึงว่าจากญาติสาโลหิตผู้ละไปแล้ว โดยกาลนาน
เช่นนี้. ดูก่อนพราหมณ์ อนึ่ง ถึงทายกก็ย่อมเป็นผู้ไม่ไร้ผลแล.
บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดง ความไม่มีเหตุที่พวกผู้เกิดในเปรต-
วิสัย จะได้รับสมบัติ มีกสิกรรมและโครักขกรรมเป็นต้น อย่างอื่น
ในเปตวิสัยนั้น และการยังอัตภาพให้เป็นไป ด้วยทานที่พวกญาติ
ให้แล้วแต่มนุษยโลกนี้ จึงตรัสคำมีอาทิว่า น หิ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น หิ ตตฺถ กสิ อตฺถิ ความว่า
ในเปตวิสัยนั้น กสิกรรมที่พวกเปรตจะอาศัยเลี้ยงชีพอย่างสบาย
ไม่มีเลย. บทว่า โครกฺเขตฺถ น วิชฺชติ ความว่า ในเปตวิสัยนั้น
ไม่ใช่จะไม่มีแต่กสิกรรมอย่างเดียวเท่านั้น ถึงโครักขกรรม ที่
พวกเปรตเหล่านั้น อาศัยเลี้ยงชีพอย่างสบายก็ไม่มีเช่นกัน. บทว่า
วณิชฺชา ตาทิสี นตฺถิ ความว่า ถึงพาณิชยกรรมอันเป็นเหตุให้

เปรตเหล่านั้น ได้รับสมบัติ ก็ไม่มีเช่นกัน. บทว่า หิรญฺเญน กยากยํ
ความว่า ในเปตวิสัยนั้น แม้การซื้อขายด้วยเงินตรา อันจะเป็นเหตุ
ให้เปรตเหล่านั้น ได้รับสมบัติก็ไม่มีเช่นกัน. บทว่า อิโต ทินฺเนน
ยาเปนฺติ เปตา กาลคตา ตหึ ความว่า อนึ่ง เปรตเหล่านั้น ย่อม
เลียงชีพคือ ยังอัตตภาพให้เป็นไป ด้วยทานที่ญาติหรือมิตร อำมาตย์
ให้แล้ว จากมนุษยโลกนี้อย่างเดียว. บทว่า เปตา ได้แก่ เหล่าสัตว์
ผู้เกิดในเปตวิสัย. บทว่า กาลคตา ได้แก่ ผู้จะไปตามเวลาตาย
ของตน. ปาฐะว่า กาลกตา ดังนี้ก็มี. ความว่า ผู้ทำกาละแล้ว คือ
ผู้ตายไปแล้ว ได้แก่ ผู้ถึงมรณะ. บทว่า ตหึ ได้แก่ ในเปตวิสัยนั้น.
บัดนี้ เมื่อจะทรงประกาศความตามที่กล่าวแล้ว โดยอุปมา
จึงตรัส 2 คาถาว่า อุนฺนเม อุทกํ จุฏฺฐํ ดังนี้เป็นต้น. ความ 2 คาถา
นั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้ :- ฝนตกลงในที่ดอน คือ ในประเทศที่ดอน
ย่อมไหลไปตามที่ลุ่ม คือ ย่อมไหลไปตามภูมิภาคที่ลุ่ม ฉันใด
ทานที่พวกญาติให้จากมนุษยโลกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมสำเร็จ
แก่พวกเปรต คือ ย่อมไม่พรากพ้นไปจากการเกิดผล. จริงอยู่
เปตโลก เป็นฐานะอันสมควร เพื่อการสำเร็จแห่งทานเหมือนที่ตุ่ม
เป็นฐานะอันสมควรแก่การไหลไปแห่งน้ำ. สมจริงดังที่พระองค์
ตรัสไว้ว่า ก่อนพราหมณ์ นี้แหละ เป็นฐานะอันสมควร ซึ่งเป็นที่
สำเร็จแห่งทานของผู้สถิตอยู่. อนึ่งทานที่พวกมนุษย์ให้แล้วแต่
มนุษยโลกนี้ ย่อมสำเร็จแก่พวกเปรต โดยนัยดังกล่าวแล้วในก่อน
เหมือนห้วงน้ำ คือแม่น้ำใหญ่ เต็มด้วยน้ำที่ไหลมาจากซอกเขา

ห้วงระแหง หนอง และบึงแล้ว ไหลบ่าไปเต็มสาครฉะนั้น.
เพราะเหตุที่เปรตทั้งหลายจกความหวังครอบงำว่า พวกเรา
จะได้อะไรอย่างจากที่นี้ แม้มายังเรือนของญาติก็ไม่อาจขอร้องว่า
ท่านทั้งหลายจงให้สิ่งชื่อนี้แก่พวกเรา ฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงว่า
กุลบุตรเมื่อหวนระลึกถึงวัตถุที่ระลึกเหล่านี้ของญาติเหล่านั้น
จึงพึงให้ทักขิณา จึงตรัสคาถาว่า อทามิ เม ดังนี้เป็นต้น
คำแห่งคาถานั้นมีอธิบายดังนี้ กุลบุตรเมื่อหวนระลึกถึงสิ่งนี้
ทั้งหมดว่า คนโน้นให้ทรัพย์หรือธัญญาหารชื่อนี้แก่เรา คนโน้น
ถึงความพยายามด้วยตนเอง ได้กระทำกิจชื่อนี้แก่เรา คนโน้นชื่อว่า
เป็นญาติเพราะเกี่ยวพันทางฝ่ายมารดาหรือบิดาของเรา คนโน้น
ชื่อว่าเป็นมิตร เพราะสามารถรักษาด้วยอำนาจความสิเนหา
คนโน้นชื่อว่าเป็นสหายเพื่อนเล่นฝุ่นด้วยกันของเรา จึงพึงให้
ทักษิณา คือพึงมอบให้ทานแก่เปรตทั้งหลาย. บาลีว่า ทกฺขิณา
ทชฺชา
ดังนี้ก็มี. แปลว่า พึงให้ทักษิณาแก่เปรตทั้งหลาย. ด้วย
บทว่า ทกฺขิณา ทชฺชา นั้น ท่านกล่าวอธิบายว่า กุลบุตรเมื่ออนุสรณ์
คือ หวนระลึกถึงอุปการะที่ญาติกระทำไว้ในกาลก่อน โดยนัย
มีอาทิว่า คนโน้นได้ให้เรา. จริงอยู่ บทว่า อนุสฺสรํ นี้ เป็นปฐมาวิภัติ
ใช้ในอรรถแห่งตติยาวิภัติ.
เมื่อจะทรงแสดงว่า ก็สัตว์เหล่าใดเป็นผู้มีทุกขธรรม มี
ความร้องไห้และความเศร้าโศกเป็นต้น เป็นเบื้องหน้า เพราะ

ความตายของญาตินั่นเอง คงดำรงอยู่ ไม่ให้อะไร ๆ แก่ญาติผู้
ล่วงลับไปแล้วนั้น ทุกขธรรมมีความร้องไห้และความเศร้าโศก
เป็นต้น นั้นของสัตว์เหล่านั้น เป็นเพียงทำตนให้เดือดร้อนอย่างเดียว
เท่านั้น ทุกขธรรมมีความร้องไห้สละความเศร้าโศกเป็นต้นนั้น
ย่อมไม่ยังประโยชน์อะไร ๆ ให้สำเร็จแก่เปรตทั้งหลาย จึงตรัส
คาถาว่า น หิ รุณฺณํ วา ดังนี้ เพื่อจะทรงแสดงย้ำถึงทักษิณาที่
พระเจ้ามคธถวายว่ามีประโยชน์ จึงตรัสความของคำเหล่านั้นมี
อาทิว่า อยญฺจ โข ดังนี้ในภายหลัง.
เพราะเหตุที่พระราชาเมื่อทรงถวายทักษิณานี้ ชื่อว่าแสดง
ออกถึงญาติธรรม โดยกระทำกิจที่พวกญาติพึงกระทำแก่พวกญาติ
ให้ปรากฏแก่ชนเป็นอันมาก คือทรงกระทำการแสดงออกให้ปรากฏ
ว่า แม้ท่านทั้งหลายก็พึงบำเพ็ญญาติธรรมในญาติทั้งหลายให้
บริบูรณ์ ด้วยอาการอย่างนี้แหละ. อนึ่ง เมื่อพระองค์ทำให้พวกเปรต
เหล่านั้นได้รับทิพยสมบัติ ชื่อว่าทำการบูชาแก่เปรตทั้งหลายให้ยิ่ง,
เมื่อให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานให้สำราญด้วยข้าว
และน้ำเป็นต้น ชื่อว่าตามเพิ่มให้พลังแก่ภิกษุทั้งหลาย, เมื่อทำ
จาคเจตนาอันมีคุณมีการอนุเคราะห์เป็นต้น เป็นเครื่องประกอบ
ให้เกิด ชื่อว่าทรงขวนขวายปัญหาประมาณมิได้ ฉะนั้น บัดนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงทำพระราชาให้ร่าเริงด้วยคุณ
ตามที่เป็นจริงเหล่านี้ จึงตรัสคาถาสุดท้ายว่า โส ญาติธมฺโม
ดังนี้เป็นต้น

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ญาติธมฺโม ได้แก่ การกระทำ
กิจที่พวกญาติพึงกระทำแก่พวกญาติ. บทว่า อุฬารา แปลว่า
ให้แพร่หลาย กว้างขวาง. บทว่า พลํ ได้แก่ กำลังกาย. บทว่า
ปสุตํ แปลว่า สั่งสมแล้ว. ก็ในคำเหล่านี้ ด้วยคำว่า โส ญาติธมฺโม
จ อยํ นิทสฺสิโต นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอ้างธรรมิกถา
กะพระราชา. จริงอยู่ การแสดงอ้างในที่นี้ หมายถึงการแสดง
ญาติธรรม. พระองค์ทรงชักชวนด้วยคำนี้ว่า และทรงกระทำ
การบูชาแก่พวกเปรตให้ยิ่ง. ก็การสรรเสริญในคำว่า ยิ่ง นี้ เป็น
การชักชวนให้ทำการบูชาบ่อย ๆ. ทรงให้อาจหาญด้วยคำนี้ว่า
และทรงเพิ่มให้พลังแก่ภิกษุทั้งหลาย. จริงอยู่ ในที่นี้ การเพิ่ม
ให้พลังแก่ภิกษุทั้งหลาย เป็นการให้อาจหาญโดยการเพิ่มอุตสาหะ
ในการเพิ่มให้พลังแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการอย่างนี้. ทรง
ให้ร่าเริงด้วยคำนี้ว่า พระองค์ชื่อว่าทรงขวนขวายบุญหาประมาณ
มิได้. ในที่นี้ พึงทราบโยชนาอย่างนี้ว่า ก็ในที่นี้ การระบุถึงการ
ประสพบุญ ก็คือการทำให้ร่าเริง โดยการสรรเสริญคุณตาม
ความเป็นจริงของบุญนั้น.
ก็ในเวลาจบเทศนา ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ 84,000
ผู้มีใจสลดด้วยการพรรณนาโทษของการเกิดในเปตวิสัย ผู้เริ่ม
โดยอุบายอันแยบคาย. แม้ในวันที่ 2 ก็ทรงแสดงติโรกุฑฑเทศนา
กัณฑ์นี้แหละ แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย. ธรรมาภิสมัย เช่นนั้น
นั่นแหละได้มีด้วยอาการอย่างนี้ ถึง 7 วันแล.
จบ อรรถกถาติโรกุฑฑเปตวัตถุที่ 5

6. ปัญจปุตตขาทิกเปติวัตถุ



ว่าด้วยความหิวของนางเปรต



พระสังฆเถระถามว่า :-
[91] ท่านเปลือยกาย มีผิวพรรณเลวทราม มี
กลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งไป หมู่แมลงวันพากันตอม
เกลื่อนกล่น ท่านเป็นใครหนอมายืนอยู่ในที่นี้.
หญิงเปรตนั้นตอบว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเปรต ถึงทุคติ
เกิดในยมโลก เพราะทำกรรมอันลามกจึงต้อง
จากโลกนี้ไปสู่เปตโลก เวลาเช้าคลอดบุตร 5 คน
เวลาเย็นอีก 5 คน แล้วกินลูกเหล่านั้นหมด ถึง
บุตร 10 คนเหล่านั้นก็ยังไม่อาจบรรเทาความหิว
ของดิฉัน หัวใจของดิฉันเร่าร้อนอยู่เป็นนิจเพราะ
ความหิว ดิฉันไม่ได้ดื่มน้ำที่ควรดื่ม ขอท่านจงดู
ดิฉันผู้ถึงความพินาศเช่นนี้เถิด.
พระเถระถามว่า :-
เมื่อก่อน ท่านได้ทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วย
กาย วาจา ใจ หรือท่านกินเนื้อบุตรทั้งหลาย
เพราะวิบากแห่งกรรมอะไร.
หญิงเปรตนั้นตอบว่า :-