เมนู

จูฬวรรคที่ 3



1. อภิชชมานเปตวัตถุ



ว่าด้วยเปรตเปลือยมีร่างเป็นเปรตกึ่งหนึ่ง



โกสิยมกาอำมาตย์ของพระเจ้าพิมพิสาร ถามเปรตตนหนึ่งว่า
[111] ดูก่อนเปรต ท่านเป็นผู้เปลือยกาย มี
ร่างกายเป็นเปรตกึ่งหนึ่ง ทัดทรงดอกไม้ ตกแต่ง
ร่างกาย เดินไปในน้ำอันไม่ขาดสาย ในแม่น้ำ
คงคานี้ ท่านจักไปไหน ที่อยู่ของท่านอยู่ที่ไหน.

เพื่อจะแสดงเนื้อความที่เปรตนั้นและโกสิยมหาอำมาตย์
กล่าวแล้ว พระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวคาถาความว่า
เปรตนั้นกล่าวว่า ข้าพเจ้าจักไปยังบ้าน
จุนทัฏฐิละ อันอยู่ในระหว่างแห่งวาสภคามกับ
เมืองพาราณสี แต่บ้านนั้นอยู่ใกล้เมืองพาราณสี
มหาอำมาตย์อันปรากฏชื่อว่าโกลิยะเป็นเปรต
นั้นแล้ว ได้ให้ข้าวสัตตูและคู่ผ้าสีเหลืองแก่เปรต
นั้น เมื่อเรือหยุดเดิน ได้ให้ข้าวสัตตูและคู่ผ้าแก่
อุบาสก เมื่อคู่ผ้าอันโกลิยะอำมาตย์ให้ช่างกัลบก
แล้ว ผ้านุ่งผ้าห่มก็ปรากฏแก่เปรตทันที ภายหลัง
เปรตนั้นนุ่งห่มผ้าดีแล้ว ทัดทรงดอกไม้ตบแต่ง

ร่างกายด้วยอาภรณ์ ทักษิณาย่อมเข้าไปสำเร็จ
แก่เปรตนั้น ผู้อยู่แล้วในที่นั้น เพราะฉะนั้น
บัณฑิตผู้มีปัญญา พึงให้ทักษิณาบ่อย ๆ เพื่อ
อนุเคราะห์แก่เปรตทั้งหลาย
เปรตเหล่าอื่น บางพวกนุ่งผ้าขี้ริ้วขาด
รุ่งริ่ง บางพวกนุ่งผม หลีกไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่เพื่อ
หาอาหาร บางพวกวิ่งไปแม้ในที่ไกลไม่ได้แล้ว
กลับมา บางพวกสลบแล้วเพราะความหิวกระ-
หาย นอนกลิ้งไปบนพื้นดิน บางพวกล้มลงที่
แผ่นดินในที่ตนวิ่งไปนั้น ร้องไห้ร่ำไรว่า เมื่อก่อน
เราทั้งหลายไม่ได้ทำกุศลไว้ จึงได้ถูกไฟคือความ
หิวและความกระหายเผาอยู่ ดุจถูกไฟเผาแล้ว
ในที่ร้อน เมื่อก่อน พวกเรามีธรรมอันลามก เป็น
หญิงแม่เรือนมารดาทารกในตระกูล เมื่อไทย
ธรรมทั้งหลายมีอยู่ไม่กระทำที่พึ่งแก่ตน เออ
ก็ข้าวและน้ำมีมากแต่เราไม่กระทำการแจกจ่าย
ให้ทาน และไม่ได้อะไรในบรรพชิตทั้งหลาย
ผู้ปฏิบัติชอบ อยากทำแต่กรรมที่คนดีไม่พึงทำ
เป็นคนเกียจคร้านใคร่แต่ความสำราญและกินมาก
ให้แต่เพียงโภชนะก้อนหนึ่ง ด่าปฏิคาหกผู้รับ
อาหาร เรือน พวกทาสีทาสาและผ้าอาภรณ์ของ

เราเหล่านั้น ไม่สำเร็จประโยชน์แก่พวกเรา พวก
เขาไปบำเรอคนอื่นหมด เรามีแต่ส่วนแห่งทุกข์
เราจุติจากเปรตนี้แล้ว จักไปเกิดในตระกูลอัน
ต่ำช้าเลวทราม คือ ตระกูลจักสาน ตระกูลช่างรถ
ตระกูลนายพราน ตระกูลคนจัณฑาล ตระกูลคน
กำพร้า ตระกูลช่างกัลบก นี้เป็นคติแห่งความ
ตระหนี่ ส่วนทายกทั้งหลายผู้มีกุศลอันทำไว้แล้ว
ในชาติก่อน ปราศจากความตระหนี่ ย่อมยัง
สวรรค์ให้บริบูรณ์ และย่อมยังนันทนวันให้
สว่างไสวรื่นรมย์แล้วในเวชยันตปราสาทสำเร็จ
ความปรารถนา ครั้นจุติจากเทวโลกแล้ว ย่อม
เกิดในตระกูลสูง มีโภคะมาก คือในตระกูลแห่ง
บุคคลมีเรือนยอด และปราสาทราชมณเฑียร มี
บัลลังก์อันลาดแล้วด้วยผ้าโกเชาว์ มีเหล่าบุรุษ
และสตรีถือพัดอันประดับแล้วด้วยแววหางนกยูง
คอยพัดอยู่ ในเวลาเป็นทารกก็ทัดทรงดอกไม้
ตบแต่งร่างกาย หมู่ญาติและพี่เลี้ยงนางนมผลัด
ก็น้อม ไม่ต้องลงสู่พื้น อันชนทั้งหลายผู้
ปรารถนาความสุข เข้าไปบำรุงอยู่ทั้งเช้าและเย็น
ตลอดชาติ ส่วนใหญ่แห่งเทวดาเหล่าไตรทศ
ชื่อว่านันทนวัน อันเป็นสถานไม่เศร้าโศก น่า


รื่นรมย์นี้ ย่อมไม่มีแก่ชนทั้งหลายผูไม่ได้ทำบุญ
ไว้ ย่อมมีแต่เฉพาะเหล่าชนผู้มีบุญอันทำไว้แล้ว
เท่านั้น ความสุขในโลกนี้และในปรโลก ย่อมไม่
มีแก่เหล่าชนผู้ไม่ทำบุญ ความสุขในโลกนี้และ
โลกหน้า ย่อมมีเฉพาะแก่เหล่าชนผู้ทำบุญไว้
ปรารถนาความเป็นสหายแห่งเทวดาเหล่าไตร-
ทศเทพ พึงทำบุญกุศลไว้ให้มาก เพราะว่าบุคคล
ผู้ทำบุญไว้แล้ว ย่อมบันเทิงใจอยู่ในสวรรค์
เพียบพร้อมไปด้วยโภคสมบัติ.

จบ อภิชชมานเปตวัตถุที่ 1

จูฬวรรคที่ 3



อรรถกถาอภิชชมานเปตวัตถุที่ 1



เมื่อพระศาสดาเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภเปรตพรานตนหนึ่ง จึงตรัสพระคาถานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
อภิชฺชมาเน วาริมฺหิ ดังนี้.
ได้ยินว่าในกรุงพาราณสี ได้มีพรานคนหนึ่งอยู่ในบ้าน
ชื่อว่า จุนทัฏฐิละ เลยวาสภคาม ฝั่งแม่น้ำคงคาในด้านอีกทิศหนึ่ง
เขาล่าเนื้อในป่าย่างเนื้อล่ำ ๆ กิน ที่เหลือเอาห่อใบไม้หามมาเรือน
พวกเด็กเล็ก ๆ เห็นเขาที่ประตูบ้านจึงวิ่งเหยียดมือร้องขอว่า จง