เมนู

8. จูฬเสฏฐีเปตวัตถุ



ว่าด้วยบรรพชิตตระหนี่เป็นเปรตเปลือยผอม



พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสถามจูฬเศรษฐีเปรตว่า :-
[105] ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นบรรพชิต
เปลือยกายซูบผอม เพราะเหตุแห่งกรรมอะไร
ท่านจะไปที่ไหนในราตรีเช่นนี้ ขอท่านจงบอก
การที่ท่านจะไปแก่เราเถิด เราสามารถจะให้
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแก่ท่านด้วยความอุตสาหะ
ทั้งปวง.

จูฬเศรษฐีเปรตกราบทูลว่า
เมื่อก่อนพระนครพาราณสีมีกิตติคุณเลื่อง
ลือไปไกล ข้าพระองค์เป็นคฤหบดีผู้มั่งคั่งอยู่ใน
พระนครนั้น แต่เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่นไม่
เคยให้สิ่งของแก่ใคร ๆ มีใจข้องอยู่ในอามิส
ได้ถึงวิสัยแห่งพญายมเพราะความเป็นผู้ทุศีล
ข้าพระองค์ลำบากแล้วเพราะความหิวเสียดแทง
เพราะบาปกรรมเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น ข้าพระ-
องค์ปรารถนาอามิส จึงได้มาหาหมู่ญาติ มนุษย์
แม้เหล่าอื่นมีปกติไม่ให้ทาน และไม่เชื่อว่า

แห่งทานมีอยู่ในโลกหน้า มนุษย์แม้เหล่านั้นจัก
เกิดเป็นเปรตเสวยทุกข์ใหญ่ เหมือนข้าพระองค์
ฉะนั้น ธิดาของข้าพระองค์ปนอยู่เนื่อง ๆ ว่า เรา
จักให้ทานอุทิศให้มารดา บิดา ลุง ป้า น้า อา
ปู่ ย่า ตา ยาย พวกพราหมณ์กำลังบริโภคทาน
อันธิดาของข้าพระองค์ตกแต่งแล้ว ข้าพระองค์
จะไปยังเมืองอันธกาวินทนคร เพื่อบริโภคอาหาร
พระราชาจึงตรัสสั่งเขาว่า ถ้าท่านไปได้
เสวยผลทานนั้น พึงรีบลับมาบอกเหตุที่มีจริง
แก่เรา เราฟังคำอันมีเหตุผลควรเชื้อถือได้แล้ว
จักทำการบูชาบ้าง จูฬเศรษฐีเปรตทูลรับพระ-
ดำรัสแล้ว ได้ไปยังอันธกาวินทนครนั้น แต่ไม่ได้
รับผลแห่งทานนั้นเพราะพราหมณ์ทั้งหลายที่
บริโภคภัต เป็นผู้ไม่มีศีล ไม่สมควรแก่ทักษิณา
ภายหลังจูฬเศรษฐีเปรตกลับมาสู่นครราชคฤห์
อีก ได้ไปแสดงกายให้ปรากฏ เฉพาะพระพักตร์
ของพระเจ้าอชาตศัตรูผู้เป็นใหญ่กว่าหมู่ชน
พระราชาทอดพระเนตรเห็นเปรตนั้นกลับมาอีก
จึงตรัสถามว่า เราจะให้ทานอะไร ถ้าเหตุที่จะให้
ท่านอิ่มหนำตลอดกาลมีอยู่ไซร้ ขอท่านจงบอก
เหตุนั้นแก่เรา.

จูฬเศรษฐีเปรตกราบทูลว่า
ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์จงทรงอังคาส
พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ ด้วยข้าวและน้ำ และ
จงทรงถวายจีวร แล้วทรงอุทิศกุศลนั้นเพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูลแก่ข้าพระองค์ ด้วยการทรง
บำเพ็ญกิจอย่างนี้ ข้าพระองค์จะพึงอิ่มหนำตลอด
กาลนาน. ลำดับนั้น พระราชาเสด็จออกจาก
ปราสาททันที ทรงถวายทานอันประณีตยิ่งแก่
สงฆ์ ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วทรงกราบ
ทูลเรื่องราวแด่พระตถาคต ทรงอุทิศส่วนกุศล
ให้จูฬเศรษฐีเปรต
จูฬเศรษฐีเปรตนั้นอันพระราชาทรงบูชา
แล้ว เป็นผู้งดงามยิ่งนัก ได้มาปรากฏเฉพาะ
พระพักตร์ของพระราชาผู้เป็นใหญ่กว่าชน แล้ว
กราบทูลว่า ข้าพระองค์เป็นเทวดา มีฤทธิ์อย่าง
ยอดเยี่ยมแล้ว มนุษย์ทั้งหลายผู้มีฤทธิ์เสมอด้วย
ข้าพระองค์ไม่มี ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตรดู
อานุภาพอันหาประมาณมิได้ของข้าพระองค์นี้เถิด
ซึ่งเกิดจากผลที่พระองค์ทรงถวายทานอันจะนับ
มิได้แก่สงฆ์ อุทิศส่วนพระราชกุศลให้แก่ข้า-
พระองค์ด้วยทรงอนุเคราะห์ ข้าแต่พระองค์ผู้

เป็นเทพแห่งมนุษย์ ข้าพระองค์เป็นผู้อันพระองค์
ยังพระอริยสงฆ์ให้อิ่มหนำด้วยไทยธรรมมีข้าว
และน้ำ และผ้าผ่อนเป็นต้นเป็นอันมาก จึงได้อิ่ม
หนำแล้วเนือง ๆ บัดนี้ข้าพระองค์มีความสุขแล้ว
ขอทูลลาพระองค์ไป.

จบ จูฬเสฏฐิเปตวัตถุที่ 8

อรรถกถาจูฬเสฏฐิเปตวัตถุที่ 8

เมื่อพระศาสดา ประทับอยู่ที่เวฬุวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภจูฬเศษฐีเปรต ตรัสพระคาถานี้ มีคำเริ่มต้นว่า นคฺโค กิโส
ปพฺพชิโตสิ ภนฺเต
ดังนี้.
ได้ยินว่า ในกรุงพาราณสี มีคฤหบดีผู้หนึ่ง เป็นคนไม่มี
ศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น ไม่เอื้อเฟื้อ
ต่อการบำเพ็ญบุญ ได้นามว่า จูฬเศรษฐี. เขาทำกาละแล้ว บังเกิด
ในหมู่เปรต. ร่างกายของเขาปราศจากเนื้อและเลือด มีเพียงกระดูก
เส้นเอ็นสละหนัง ศีรษะโล้น ปราศจากผ้า. แต่ธิดาของเขา ชื่อว่า
อนุลา อยู่ในเรือนของสามี ในอันธกวินทนคร มีความประสงค์จะ
ให้พราหมณ์บริโภคอาหารอุทิศบิดา จึงจัดแจงเครื่องอุปกรณ์ทาน
มีข้าวสารเป็นต้น. เปรตรู้ดังนั้น ไปในที่นั้นโดยอากาศ โดยความ
หวัง ถึงกรุงราชคฤห์. ก็สมัยนั้น พระเจ้าอชาตศัตรู ถูกพระเจ้า-
เทวทัตต์ส่งไป ให้ปลงพระชนมชีพพระบิดา ไม่เข้าถึงความหลับ

เพราะความเดือดร้อน และความฝันร้ายนั้น จึงขึ้นไปบนปราสาท
จงกรมอยู่ เห็นเปรตนั้น เหาะไปอยู่จึงถามด้วยคาถานี้ว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นบรรพชิต
เปลือยกาย ซูบผอม เพราะเหตุแห่งกรรมอะไร
ท่านจะไปไหนในราตรีเช่นนี้ ขอท่านจงบอก
กาลที่ท่านจะไปแก่เราเถิด เราสามารถจะให้
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแก่ท่าน ด้วยความอุตสาหะ
ทุกอย่าง

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปพฺพชิโต ได้แก่ สมณะ. ได้ยินว่า
พระราชากล่าวกะเขาว่า ท่านเป็นบรรพชิตเปลือยกายซูบผอม
เป็นต้น ด้วยความสำคัญว่า ผู้นี้เป็นสมณะเปลือย เพราะเขาเป็น
คนเปลือยกายและเป็นคนศีรษะโล้น. บทว่า กิสฺสเหตุ แปลว่า
มีอะไรเป็นเหตุ. บทว่า สพฺเพน วิตฺตํ ปฏิปาทเย ตุวํ ความว่า
เราจะมอบทรัพย์เครื่องปลื้มใจ อันเป็นเครื่องอุปกรณ์แห่งทรัพย์
เครื่องปลื้มใจ พร้อมด้วยโภคะทุกอย่าง หรือด้วยความอุตสาหะ
ทุกอย่าง ตามความเหมาะสมแก่อัธยาศัยของท่าน ไฉนหนอเรา
พึงสามารถเช่นนั้นได้ เพราะฉะนั้น ท่านจงบอกข้อนั้นแก่เรา
คือ จงบอกเหตุแห่งการมาของท่านนั้นแก่เรา.
เปรตถูกพระราชาถามอย่างนี้แล้ว เมื่อจะบอกประวัติ
ของตน จึงได้กล่าวคาถา 3 ถาคาว่า :-

เมื่อก่อนกรุงพาราณสี มีกิตติคุณเลื่องลือ
ไปไกล ข้าพระองค์เป็นคฤหบดี ผู้มั่งคั่งอยู่ใน
กรุงพาราณสีนั้น แต่เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น
ไม่เคยให้สิ่งของแก่ใคร ๆ มีใจข้องอยู่ในอามิส
ได้ถึงวิสัยแห่งพญายม เพราะความเป็นผู้ทุศีล
ข้าพระองค์ลำบากแล้ว เพราะความหิวเสียดแทง
เพราะกรรมชั่วเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น ข้าพระ-
องค์ปรารถนาอามิส จึงได้มาหาหมู่ญาติ มนุษย์
แม้เหล่าอื่น มีปกติไม่ให้ทานและไม่เชื่อว่า ผล
แห่งทานมีอยู่ในโลกหน้า มนุษย์แม้เหล่านั้นจัก
เกิดเป็นเปรตเสวยทุกข์ใหญ่ เหมือนข้าพระองค์
ฉะนั้น ธิดาของข้าพระองค์ บ่นอยู่เนือง ๆ ว่า
เราจักให้ทานอุทิศให้มารดา บิดา ลุง ป้า น้า
อา ปู่ ย่า ตา ยาย พวกพราหมณ์กำลังบริโภค
ทาน อันธิดาของข้าพระองค์ตบแต่งแล้ว ข้า-
พระองค์จะไปยังเมือง อันธกวินทนคร เพื่อ
บริโภคอาหาร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทูรฆุฏฺฐํ ได้แก่ เลื่องลือ ด้วย
อำนาจกิตติคุณไปไกลทีเดียว, อธิบายว่า ขจรไป คือปรากฏในที่
ทุกสถาน. บทว่า อฑฺฒโก แปลว่า เป็นคนมั่งคั่ง คือมีสมบัติมาก.
บทว่า ทีโน แปลว่า มีจิตตระหนี่ คือมีอัธยาศัยในการไม่ให้. ด้วย

เหตุนี้ ท่านจึงกล่าวว่า อทาตา ผู้ไม่ให้. บทว่า เคธิตมโน อามิสสฺมึ
ได้แก่ ผู้มีจิตข้องอยู่ คือ ถึงความติดอยู่ ในอามิสคือกาม. บทว่า
ทุสฺสีเลน ยมวิสยมฺหิ ปตฺโต ความว่า ข้าพเจ้าได้ถึงวิสัยแห่งพญายม
คือ เปตโลก ด้วยกรรมคือความเป็นผู้ทุศีลที่ตนได้ทำไว้.
บทว่า โส สูจิกาย กิลมิโต ความว่า ข้าพเจ้านั้น ลำบาก
เพราะความหิว อันได้นามว่า สูจิกา เพราะเป็นเสมือนเข็ม เพราะ
อรรถว่า เสีย แทง เสียดแทงอยู่ไม่ขาดระยะ. อีกอย่างหนึ่ง บาลีว่า
กิลมโถ ดังนี้ก็มี. บทว่า เตหิ ความว่า ด้วยบาปกรรม อันเป็น
เหตุที่กล่าวแล้ว โดยนัยมีอาทิว่า ทีโน ดังนี้. จริงอยู่ เมื่อเปรตนั้น
ระลึกถึงกรรมชั่วนั้น โทมนัสอย่างยิ่ง เกิดขึ้นแล้ว เพราะเหตุนั้น
เปรตจึงกล่าวอย่างนั้น. บทว่า เตเนว ได้แก่ เพราะความทุกข์
อันเกิดแต่ความหิวนั้นนั่นเอง. บทว่า ญาตีสุ ยามิ ความว่า ข้าพเจ้า
จึงไป คือ ไปถึงที่ใกล้ของหมู่ญาติ. บทว่า อานิสกิญฺจิกฺขเหตุ ได้แก่
เพราะเหตุแห่งข้าพระองค์ปรารถนาอามิส อธิบายว่า ปรารถนา
อามิสบางอย่าง. บทว่า อทานสีลา น จ สทฺทหนฺติ ทานผลํ โหติ
ปรมฺหิ โลเก
ความว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มีปกติไม่ให้ทานฉันใด แม้
คนเหล่าอื่นก็มีปกติไม่ให้ทานฉันนั้นเหมือนกัน และไม่เชื่อว่า ผล
แห่งทาน จะมีในปรโลกอย่างแท้จริง, อธิบายว่า แม้พวกชนเหล่านั้น
เป็นเปรตเสวยทุกข์อย่างใหญ่หลวงเหมือนข้าพเจ้า.
บทว่า ลปเต แปลว่า ย่อมกล่าว. บทว่า อภิกฺขณํ แปลว่า
เนือง ๆ คือโดยส่วนมาก. เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามว่า เปรตกล่าวว่า

กระไร เปรตจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าจักให้ทานเพื่อมารดาบิดา ปู่ ย่า
ตา ยาย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปิตูนํ ได้แก่ มารดาและบิดา หรือ
อา และลุง. บทว่า ปิตามหานํ ได้แก่ ปู่ ย่า ตา ละยาย. บทว่า
อุปกฺขฏํ ได้แก่ จัดแจง. บทว่า ปริวิสยนฺติ แปลว่าให้บริโภค.
บทว่า อนฺธกวินฺทํ ได้แก่ นครอันมีชื่อย่างนั้น. บทว่า ภุตฺตุํ ได้แก่
เพื่อบริโภค. เบื้องหน้าแต่นั้น พระสังคีติกาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า :-
พระราชาจึงตรัสสั่งเขาว่า ถ้าท่านไปได้
เสวยผลทานนั้น พึงรีบกลับมาบอก เหตุที่มีจริง
แก่เรา เราฟังคำอันมีเหตุผล ควรเชื่อถือได้แล้ว
จักทำการบูชาบ้าง จูฬเศรษฐีเปรตทูลรับพระ-
ดำรัสแล้ว ได้ไปยังอันธกวินทนครนั้น แต่ไม่ได้
รับผลแห่งทานนั้น เพราะพราหมณ์ทั้งหลายที่
บริโภคภัตร เป็นผู้ไม่มีศีล ไม่สมควรแก่ทักษิณา
ภายหลังจูฬเศรษฐีเปรต กลับมายังกรุงราชคฤห์
อีก ได้ไปแสดงกายให้ปรากฏ เฉพาะพระพักตร์
ของพระเจ้าอชาตศัตรูผู้เป็นใหญ่กว่าหมู่ชน
พระราชาทอดพระเนตรเห็นเปรตนั้น กลับมาอีก
จึงตรัสถามว่า เราจะให้ทานอะไร ถ้าเหตุที่จะให้
ท่านอิ่มหนำตลอดกาลนานมีอยู่ไซร้ ขอท่านจง
บอกเหตุนั้นแก่เรา

จูฬเศรษฐีเปรตกราบทูลว่า :-
ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์จงทรงอังคาส
พระพุทธเจ้า และพระสงฆ์ด้วยข้าวและน้ำ และ
จงทรงถวายจีวรแล้ว จงอุทิศกุศลนั้น เพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูลแก่ข้าพระองค์ ด้วยทรงการ
บำเพ็ญกิจอย่างนี้ ข้าพระองค์จะพึงอิ่มหนำ ตลอด
กาลนาน ลำดับนั้นพระราชา เสด็จออกจาก
ปราสาททันที ทรงถวายทานอันประณีตยิ่งแก่
สงฆ์ ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์แล้วทรงกราบ
ทูลเรื่องราว แด่พระตถาคต ทรงอุทิศส่วนกุศล
ให้แก่จูฬเศรษฐีเปรต, จูฬเศรษฐีเปรตนั้น อัน
พระราชาทรงบูชาแล้ว เป็นผู้งดงามยิ่งนัก ได้มา
ปรากฏเฉพาะพระพักตร์ของพระราชา ผู้เป็นใหญ่
กว่าหมู่ชน แล้วกราบทูลว่า ข้าพระองค์เป็น
เทวดา มีฤทธิ์อย่างยอดเยี่ยมแล้ว มนุษย์ทั้งหลาย
ผู้มีฤทธิ์เสมอด้วยข้าพระองค์ไม่มี ขอพระองค์
ทรงทอดพระเนตรดูอานุภาพอันหาประมาณมิได้
ของข้าพระองค์นี้เถิด ซึ่งเกิดจากผลที่พระองค์
ทรงถวายทาน อันจะนับมิได้แก่สงฆ์ อุทิศส่วน
พระราชกุศลให้แก่ข้าพระองค์ ด้วยทรงอนุ-
เคราะห์ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเทพแห่งมนุษย์

ข้าพระองค์เป็นผู้อันพระองค์ ยังพระอริยสงฆ์
ให้อิ่มหนำ ด้วยไทยธรรมมีข้าวและน้ำ และ
ผ้าผ่อนเป็นต้น เป็นอันมาก จึงได้อิ่มหนำแล้ว
เนือง ๆ บัดนี้ ข้าพระองค์มีความสุขแล้ว จึง
ขอทูลลาพระองค์ไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตมโวจ ราชา ความว่า พระเจ้า-
อชาตศัตรูได้ตรัสสั่งเปรตนั้น ผู้ยืนกล่าวอยู่อย่างนั้น. บทว่า
อนุภวิยาน ตมฺปิ ความว่า เสวยทานแม้นั้นที่ธิดาของท่านเข้าไป
ตั้งไว้. บทว่า เอยฺยาสิ แปลว่า พึงมา. บทว่า กริสฺสํ แปลว่า จัก
กระทำ. บทว่า อาจิกฺข เม ตํ ยทิ อตฺถิ เหตุ ความว่า ถ้าคำอะไร
มีเหตุที่ควรเชื่อได้จงบอกเล่าแก่เรา. บทว่า สทฺธายิตํ แปลว่า
ควรเชื่อได้. บทว่า เหตุวโจ. ได้แก่ คำที่ควรแก่เหตุ. อธิบายว่า
ท่านจงกล่าวคำที่มีเหตุว่า เมื่อบำเพ็ญทานในที่ชื่อโน้น โดยประการ
โน้น จะสำเร็จแก่เรา.
บทว่า ตถาติ วตฺวา ความว่า จูฬเศรษฐีเปรตทูลรับพระ-
ดำรัสแล้ว. บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในที่เป็นที่อังคาสในอันธกวินทนคร
นั้น. บทว่า ภุญฺชึสุ ภตฺตํ น จ ทกฺขิณารหา ความว่า พราหมณ์
ผู้ทุศีลบริโภคภัตตาหารแล้ว แต่ว่าพราหมณ์บริโภคนั้น เป็นผู้
ไม่ควรทักษิณา ไม่มีศีล. บทว่า ปุนาปรํ ความว่า ภายหลัง
จูฬเศรษฐีเปรตกลับมายังกรุงราชคฤห์อีก.

บทว่า กึ ททามิ ความว่า พระราชาตรัสถามเปรตนั้นว่า
เราจักให้ทานเช่นไรแก่ท่าน. บทว่า เยน ตุวํ ความว่า ท่านให้
อิ่มหนำด้วยเหตุใด. บทว่า จิรตรํ แปลว่า ตลอดกาลนาน. บทว่า
ปิณิโต. ความว่า ถ้าท่านอิ่มหนำแล้วท่านจงบอกข้อนั้น.
บทว่า ปริวิสิยาน แปลว่า ให้บริโภค. จูฬเศรษฐีเปรต
เรียกพระเจ้าอชาตศัตรูว่า ราชา. บทว่า เม หิตาย ได้แก่ เพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูลแก่ข้าพระองค์ คือ เพื่อให้ข้าพระองค์พ้นจาก
ความเป็นเปรต.
บทว่า ตโต แปลว่า เพราะเหตุนั้น คือ เพราะคำนั้น. อีก
อย่างหนึ่ง บทว่า ตโต แปลว่า จากปราสาทนั้น. บทว่า นิปติตฺวา
แปลว่า ออกไปแล้ว. บทว่า ตาวเท ได้แก่ ในกาลนั้นเอง คือ
ในเวลาอรุณขึ้น, อธิบายว่า พระราชาได้ถวายทานเฉพาะในเวลา
ก่อนภัตรที่เปรตกลับมาแสดงตนแก่พระราชา. บทว่า สหตฺถา
แปลว่า ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์. บทว่า อตุลํ แปลว่า ประมาณ
ไม่ได้ คือ ประณีตยิ่ง. บทว่า ทตฺวา สงฺเฆ ได้แก่ ถวายแก่สงฆ์.
บทว่า อาโรเจสิ ปกตํ ตถาคตสฺส ความว่า พระราชากราบทูล
เรื่องราวนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์เจริญ ทาน
นี้หม่อมฉันได้บำเพ็ญมุ่งหมายอุทิศเปรตตนหนึ่ง. ก็แลครั้นกราบทูล
แล้ว ทานนั้นก็สำเร็จแก่เปรตนั้น โดยประการนั้น และข้าพระองค์
ถวายอุทิศส่วนบุญแก่เปรตนั้น ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า โส ได้แก่ เปรตนั้น. บทว่า ปูชิโต ได้แก่ ผู้อัน
พระราชาทรงบูชาด้วยทักษิณาที่ทรงทิศให้. บทว่า อติวิย
โสภมาโน. แปลว่า เป็นผู้งดงามยิ่งนักด้วยอานุภาพของเทวดา.
บทว่า ปาตุรโหสิ แปลว่า ปรากฏแล้ว คือ แสดงตนเฉพาะพระพักตร์
ของพระราชา. บทว่า ยกฺโขหมสฺมิ ความว่า ข้าพระองค์พ้นจาก
ความเป็นเปรตกลายเป็นเทวดา คือ ถึงความเป็นเทพ. บทว่า
น มยฺหมตฺถิ สมา สทิสา มานุสา ความว่า มนุษย์ทั้งหลายผู้เสมอ
ด้วยอานุภาพสมบัติ หรือเสมือนโภคสมบัติของข้าพเจ้าไม่มี.
บทว่า ปสฺสานุภาวํ อปริมิตํ มมยิทํ ความว่า จูฬเศรษฐีเปรต
กราบทูลแสดงสมบัติของตนแก่พระราชาโดยประจักษ์ว่า ขอ
พระองค์โปรดทอดพระเนตรดูอานุภาพแห่งเทวดาอันหาประมาณ
มิได้นี้ของข้าพระองค์เถิด. บทว่า ตยานุทิฏฺฐํ อตุลํ ทตฺวา สงฺเฆ
ความว่า ซึ่งพระองค์ถวายทานอันโอฬารหาสิ่งเปรียบปานมิได้
แด่พระอริยสงฆ์ แล้วทรงอุทิศด้วยความอนุเคราะห์ข้าพระองค์.
บทว่า สนฺตปฺปิโต สตตํ สทา พหูหิ ความว่า ข้าพระองค์เมื่อให้
พระอริยสงฆ์อิ่มหนำด้วยไทยธรรมเป็นอันมากมีข้าว น้ำ และผ้า
เป็นต้น ชื่อว่าให้อิ่มหนำติดต่อกัน คือ ไม่ขาดระยะ แม้ในที่นั้น
ทุกเมื่อ คือทุกเวลา ตลอดชีวิต. บทว่า ยามิ อหํ สุขิโต มนุสฺสเทว
ความว่า จูฬเศรษฐีเปรตทูลถามพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช
เป็นเทพของมนุษย์ เพราะฉะนั้น บัดนี้ ข้าพระองค์มีความสุขแล้ว
ขอกลับไปยังที่ตามที่ปรารถนา.

เมื่อเปรตทูลลากลับไปอย่างนี้ พระเจ้าอชาตศัตรูตรัส
บอกความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายเข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้าแล้วกราบทูลความนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำ
เรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ ทรงแสดงธรรมแก่บริษัทผู้ถึงพร้อม
แล้ว มหาชนฟังธรรมนั้นแล้ว ละมลทินคือความตระหนี้ ได้เป็น
ผู้ยินดียิ่งในบุญมีทานเป็นต้นแล.
จบ อรรถกถาจูฬเสฏฐิเปตวัตถุที่ 8

9. อังกุรเปตวัตถุ



ว่าด้วยบุญสำเร็จที่ฝ่ามือ



พราหมณ์พ่อค้าคนหนึ่ง เห็นของทิพย์ออกจากมือรุกขเทวดา
จึงเกิดความโลภขึ้น ได้บอกแก่อังกุรพาณิชว่า :-
[106] เราทั้งหลายเที่ยวหาทรัพย์ ไปสู่แคว้น
กันโพชเพื่อประโยชน์สิ่งใด เทพบุตรนี้เป็นผู้ให้
สิ่งที่เราอยากได้นั้น พวกเราจักนำเทพบุตรนี้ไป
หรือจักจับเทพบุตรนี้ ข่มขี่เอาด้วยการวิงวอน
หรืออุ้มใส่ยานรีบนำไปสู่ทวารกะนครโดยเร็ว.

อังกุรพาณิชเมื่อจะห้ามพราหมณ์พ่อค้านั้น จึงได้กล่าว
คาถาความว่า :-
บุคคลอาศัยนั่งนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด
ไม่ควรหักรานกิ่งของต้นไม้นั้น เพราะการ
ประทุษร้ายมิตร เป็นความเลวทราม.

พราหมณ์พ่อค้ากล่าวว่า :-
บุคคลอาศัยนั่งนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด
พึงตัดแม้ลำต้นของต้นไม้นั้นได้ ถ้ามีความต้อง
การเช่นนั้น.