เมนู

3. ปูติมุขเปตวัตถุ



ว่าด้วยสำรวมกายแต่ไม่สำรวมวาจา



ท่านพระนารทะถามเปรตตนหนึ่งว่า
[88] ท่านมีผิวพรรณงามดังทิพย์ ยืนอยู่ใน
อากาศกลางหาว แต่ปากของท่านมีกลิ่นเหม็น
หมู่หนอนพากันไชชอนอยู่ เมื่อก่อนท่านทำกรรม
อะไรไว้.

เปรตนั้นตอบว่า
เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นสมณะลามก มีวาจา
ชั่วช้ายิ่งนัก ผู้มักกำจัด (สำรวมกายเป็นปกติ)
ไม่สำรวมปาก อนึ่ง ผิวพรรณดังทอง ข้าพเจ้า
ได้แล้ว เพราะพรหมจรรย์นั้น แต่ปากของ
ข้าพเจ้าเหม็นเน่า เพราะกล่าววาจาส่อเสียด
ข้าแต่ท่านพระนารทะ รูปของข้าพเจ้านี้ ท่าน
เห็นเองแล้ว ท่านผู้ฉลาดผู้อนุเคราะห์กล่าวไว้ว่า
ท่านอย่าพูดส่อเสียดและอย่าพูดมุสา ถ้าท่าน
ละคำส่อเสียดและคำมุสาแล้ว สำรวมวาจา ท่าน
จักเป็นเทพเจ้าผู้สมบูรณ์ด้วยสิ่งที่น่าใคร่.

จบ ปูติมุขเปตวัตถุที่ 3

อรรถกถาปูติมุขเปตวัตถุที่ 3


เมื่อพระศาสดา ประทับอยู่ที่เวฬุวันกลันทกนิวาปวิหาร
พระองค์ทรงปรารภเปรตผู้มีปากเน่า จึงตรัสคำเริ่มต้นว่า นิพฺพํ
สุภํ ธาเรสิ วณฺณธาตุํ
ดังนี้.
ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า กัสสปะ ยังมีกุลบุตร 2 คน บวชในพระศาสนา
ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สมบูรณ์ด้วยศีลและอาจาระ มีความ
ประพฤติขัดเกลา อยู่โดยความพร้อมเพรียงกัน ในอาวาสใกล้บ้าน
ตำบลหนึ่ง. ลำดับนั้น ภิกษุรูปหนึ่ง มีอัธยาศัยชั่ว ชอบส่อเสียด
เข้าไปยังสถานที่ที่อยู่ของภิกษุ 2 รูปนั้น. พระเถระทำปฏิสันถาร
กับเธอ ให้ที่พัก ในวันที่ 2 จึงพาเธอเข้าไปยังบ้านเพื่อบิณฑบาต.
พวกมนุษย์เห็นท่านเหล่านั้นแล้ว ทำการนอบน้อมอย่างยิ่ง ใน
พระเถระเหล่านั้น ได้ต้อนรับ ด้วยอาหารมีข้าวยาคู และภัตรเป็นต้น.
เธอเข้าไปยังวิหารคิดว่า "โคจรคามนี้ ดีหนอ. และพวกมนุษย์ ก็มี
ศรัทธาเลื่อมใส ถวายบิณฑบาตแสนจะประณีต. ก็วิหารนี้ สมบูรณ์
ด้วยร่มเงาและน้ำ เราสามารถจะอยู่ในที่นี้ได้อย่างสบาย แต่เมื่อ
ภิกษุเหล่านี้ อยู่ในที่นี้เราก็จักอยู่ไม่สบาย จักอยู่เหมือนจะอยู่อย่าง
อันเตวาสิก เอาเถอะ. เราจักทำโดยที่ภิกษุเหล่านี้แตกจากกันแล้ว
ไม่ได้อยู่ในที่นี้ต่อไป.
ภายหลังวันหนึ่ง เมื่อพระมหาเถระให้โอวาทแก่ภิกษุทั้ง 2 รูป
แล้ว เข้าไปยังที่พักของตน ภิกษุมักส่อเสียด ยับยั้งอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง