เมนู

ชนผู้เห็นแจ้งทั้งหลาย รู้ชัดด้วยดีซึ่ง
มานะอันเป็นเหตุให้สัตว์ผู้ถือตัวไปสู่ทุคติ
แล้วละได้ ครั้นละได้แล้ว ย่อมไม่มาสู่
โลกนี้ในกาลไหน ๆ.

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบมานสูตรที่ 6

อรรถกถามานสูตร


ในมานสูตรที่ 6 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า มานํ ได้แก่ มีใจหยิ่งอาศัยชาติเป็นต้น. ด้วยว่าคนมีใจพอง
นั้น ท่านกล่าวว่า มาโน (ผู้มีความถือตัว) เพราะอรรถว่า เป็นเหตุทำให้
สำคัญโดยนัยเป็นต้นว่า เสยฺโยหมสฺมิ เราเป็นผู้ประเสริฐ หรือสำคัญตนเอง
หรือเป็นผู้ยกย่องการนับถือ. มานะนี้นั้นมี 3 อย่าง คือ มานะว่า เราเป็นผู้
ประเสริฐกว่า 1 มานะว่า เราเป็นผู้เสมอเขา 1 มานะว่า เราเป็นเลว 1. พึง
เห็นมานะมีการหยิ่งเป็นลักษณะอีก 9 อย่าง คือ มานะว่า เราเป็นผู้ประเสริฐ
กว่าผู้ประเสริฐ 1 เสมอกับผู้ประเสริฐ 1 เลวกว่าผู้ประเสริฐ 1 ประเสริฐ
กว่าผู้เสมอ 1 เสมอกับผู้เสมอ 1 เลวกว่าผู้เสมอ 1 ประเสริฐกว่าผู้เลว 1
เสมอกับผู้เลว 1 เลวกว่าผู้เลว 1 มีการถือตัวเป็นกิจรส หรือมีการยกย่อง
เป็นกิจรส มีความเป็นคนพองเป็นอาการปรากฏ หรือมีความยิ่งใหญ่เป็น
อาการปรากฏ เป็นดุจคนบ้า มีความโลภปราศจากทิฏฐิเป็นปทัฏฐาน.

บทว่า ปชหถ มีอธิบายว่า เธอทั้งหลายจงพิจารณาโทษมีประเภท
เป็นต้นอย่างนี้ว่า มานะทั้งหมดนั้นมีการยกตนและข่มผู้อื่นเป็นนิมิต เป็นเหตุ
ไม่ทำการกราบไหว้การต้อนรับ อัญชลีกรรมและสามีจิกรรมเป็นต้นในท่านผู้
อยู่ในฐานะที่ควรเคารพ เป็นเหตุให้ถึงความประมาทโดยความเมาในชาติและ
เมาในคนเป็นต้น และอานิสงส์ของความไม่มีมานะอันตรงกันข้ามกับโทษนั้น
แล้วเริ่มตั้งจิตอ่อนน้อมในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ดุจคนจัณฑาลเข้าไปสู่
ราชสภาแล้วละมานะนั้นด้วยตทังคปหานในส่วนเบื้องต้น เจริญวิปัสสนา ละด้วย
อนาคามิมรรค. ในสูตรนี้ท่านประสงค์มานะอันอนาคามิมรรคพึงฆ่าเท่านั้น.
บทว่า มตฺตาเส ได้แก่เป็นผู้มัวเมาด้วยมานะมีมัวเมาในชาติและมัว
เมาในคนเป็นต้น อันเป็นเหตุให้ถึงความประมาทเป็นต้น ยกย่องตนแล้ว
มัวเมา. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
แต่ใน 6 สูตร หรือในคาถาทั้งหลายตามลำดับเหล่านี้พระผู้มีพระภาคเจ้า
ยังภิกษุทั้งหลายให้ถึงอนาคามิผลแล้วจึงจบเทศนา.
ในท่านผู้บรรลุอนาคามิผลนั้นได้เป็นพระอนาคามี 5 ด้วยอำนาจภพที่
เกิด คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา. บรรดาพระอนาคามี 5
เหล่านั้น ท่านที่เกิดในชั้นอวิหา ชื่อว่า อวิหา. ท่านเหล่านั้นมี 5 คือ
อนฺตราปรินิพฺพายี (ท่านผู้จะปรินิพพานในระหว่างอายุยังไม่ทันถึงกึ่ง) 1
อุปหจฺจปรินิพฺพายี (ท่านผู้จะปรินิพพานต่อเมื่ออายุพันกึ่งแล้วจวนถึงที่สุด) 1
อสํขารปรินิพฺพายี (ท่านผู้จะปรินิพพานด้วยต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรง) 1
สสํขารปรินิพฺพายี (ท่านผู้จะปรินิพพานด้วยต้อใช้ความเพียรเรี่ยวแรง) 1
อุทฺธํโสโตอกนิฏฺฐคามี (ท่านผู้มีกระแสเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ) 1. ท่าน
ที่ชื่ออัตปปา สุทัสสา สุทัสสี ก็เหมือนอย่างนั้น แก่ท่านผู้เป็นอุทธังโสโต
อกนิฏฐคามี ย่อมสิ้นสุดในชั้นอกนิฏฐา.

บรรดาพระอนาคามี 5 เหล่านั้น ท่านผู้เกิดในชั้นวิหาเป็นต้นแล้ว
ปรินิพพานด้วยการดับกิเลสเพื่อบรรลุพระอรหัต ไม่เกินกึ่งอายุ ชื่อว่า อนุ-
ตราปรินิพฺพายี.
ท่านผู้ปรินิพพานพ้นกึ่งอายุ คือ 500 กัป เป็นเกณฑ์
เริ่มต้นในชั้นอวิหาเป็นต้น ชื่อว่า อุปหจฺจปรินิพพายี. ท่านผู้ปรินิพพาน
ด้วยการดับกิเลสโดยลำบากน้อยไม่ต้องทำความเพียรนัก ชื่อว่า อสํขารปริ-
นิพฺพายี.
ท่านผู้ปรินิพพาน ด้วยความยากลำบากต้องทำความ. เพียรแรงกล้า
ชื่อว่า สํขารปรินิพฺพายี. ส่วนท่านที่ชื่อว่า อุทฺธํโสโต เพราะมีกระแส
คือตัณหา และกระแสคือมรรคในเบื้องบนโดยถือเบื้องบนในชั้นวิหาเป็นต้น.
ชื่อว่า อกนิฏฺฐคามี เพราะไม่อาจเกิดในชั้นอวิหาเป็นต้น แล้วบรรลุพระ-
อรหัตได้ จึงดำรงอยู่ในชั้นนั้นชั่วอายุแล้ว จึงไปสู่ชั้นอกนิฏฐาด้วยการถือเอา
ปฏิสนธิ.
ก็ในสูตรนี้พึงทราบอกนิฏฐคามี 4 หมวดคือ อุทฺธํโสโต อกนิฏฺฐ-
คามี
ท่านผู้มีกระแสเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ) 1 อุทฺธํโสโจ นอกนิฏฺฐ-
คามี
(ท่านผู้มีกระแสเบื้องบนไม่ไปสู่อกนิฏฐภพ) 1 นอุทฺธํโสโต อกนิฏฺฐ-
คามี
(ท่านผู้ไม่มีกระแสเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ) 1 น อุทฺธํโสโต น อก-
นิฏฺฐคามี
(ผู้ไม่มีทั้งกระแสเบื้องบน ทั้งไม่ไปสู่อกนิฏฐภพ) 1. ถามว่า
อย่างไร. ตอบว่า ผู้ที่ชำระเทวโลก 4 ตั้งแต่ชั้นอวิหาแล้วไปสู่ชั้นอกนิฏฐาจึง
ปรินิพพาน ชื่อ อุทฺธํโสโต อกนิฏฺฐคามี. ท่านผู้ชำระเทวโลก 3 แล้ว
ดำรงอยู่ในเทวโลกชั้นสุทัสสี จึงปรินิพพาน ชื่อว่า อุทธํโสโต นอกนิฏฺฐ-
คามี
ท่านผู้ไปสู่อกนิฏฐภพต่อจากนี้นั่นแลชื่อว่า นอุทฺธํโสโต อกนิฏฺฐคามี.
ส่วนผู้ที่ดำรงอยู่ในเทวโลก 4 ชั้นต่ำ แล้วปรินิพพานที่ชั้นนั้น ๆ ชื่อว่า
อุทฺธํโสโต นอกนิฏฺฐคามี.

บรรดาพระอนาคามีเหล่านั้น พระอนาคามี 3 จำพวกคือท่านผู้เกิด

ในชั้นอวิหา แล้วปรินิพพานต่ำกว่า 100 กัป 1 ท่านผู้ปรินิพพานในที่สุด 200
กัป 1 ท่านผู้ปรินิพพาพในเมื่อยังไม่ถึง 500 กัป 1 ชื่อว่าอันตราปรินิพพายี.
สมดังที่ท่านกล่าวว่า อุปฺปนฺนํ วา สมนนฺตรา อปฺปตฺตํ วา เวมชฺฌํ
เกิดขึ้นแล้วในระหว่างหรือว่ายังไม่บรรลุในท่ามกลาง ดังนี้. จริงอยู่ท่าน
สงเคราะห์แม้มรรคที่บรรลุแล้วด้วย วา ศัพท์.
พระอนาคามีผู้เป็นอันตรายปรินิพพายี 3 จำพวกอย่างนี้เป็นอุปหัจจปริ-
นิพพายี พวก 1 เป็นอุทธังโสโต พวก 1. ในท่านเหล่านั้น ท่านที่เป็นอสังขาร
ปรินิพพายี 5 เป็นสสังขารปรินิพพายี 5 รวมเป็น 10. อนึ่ง สุทธาวาส 4 คือ
ในชั้นอตัปปา สุทัสสา สุทัสสี มีอย่างละ 10 หมวดรวมเป็น 40. เพราะไม่มี
กระแสในเบื้องบนในชั้นอกนิฏฐา จึงเป็นอันตราปรินิพพายี 3 เป็นอุปหัจจปริ-
นิพพายี 1 เป็นอสังขารปรินิพพายี เป็นสสังขารปรินิพพายี 4 รวมเป็น 8
จึงเป็นพระอนาคามี 48 เหล่านี้ด้วยประการฉะนี้. พึงเห็นว่าในพระสูตรนี้ท่าน
ถือเอาพระอนาคามีทั้งหมดเหล่านั้น ด้วยคำอันไม่ต่างกัน.
จบอรรถ กถามานสูตรที่ 6

7. สัพพสูตร


ว่าด้วยละสรรพธรรมทั้งปวงล่วงทุกข์ได้


[185] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสเเล้ว เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้าได้สดับมา
แล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่รู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่งทั้งปวง ไม่กำหนด
รู้ธรรมที่ควรกำหนดนั้น ยังละกิแลสวัฏไม่ได้ เป็นผู้ไม่ควรเพื่อความสิ้นทุกข์