เมนู

9. กุหนาสูตร


ว่าด้วยการหลอกลวง


[288] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใดเหล่าหนึ่งเป็นผู้หลอกลวง
มีใจกระด้าง ประจบประแจง ประกอบด้วยกิเลสอันปรากฏดุจเขา มีกิเลสดุจ
ไม้อ้อสูงขึ้น มีใจไม่ตั้งมั่น ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้ไม่นับถือเราตถาคต ภิกษุ
เหล่านั้นปราศไปแล้วจากธรรมวินัยนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนภิกษุเหล่าใด
เป็นผู้ไม่หลอกลวง ไม่ประจบประแจง เป็นนักปราชญ์ มีใจไม่กระด้าง มีใจ
ตั้งมั่นดี ภิกษุเหล่านั้นแล เป็นผู้นับถือเราตถาคต ไม่ปราศไปแล้วจากธรรม
วินัยนี้ และย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้.
ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้หลอกลวง มีใจ
กระด้าง ประจบประแจง ประกอบด้วย
กิเลสอันปรากฏดุจเขา มีกิเลสดุจไม้อ้อสูง
ขึ้น มีใจไม่ตั้งมั่น ภิกษุเหล่านั้นย่อมไม่
งอกงามในธรรม อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงแสดงแล้ว ส่วนภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ไม่
หลอกลวง ไม่ประจบประแจง เป็นนัก-
ปราชญ์ มีใจไม่กระด้าง มีใจตั้งมั่นดี
ภิกษุเหล่านั้นแล ย่อมงอกงามในธรรมอัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว.

จบกุหนาสูตรที่ 9

อรรถกถากุหนาสูตร


ในกุหนาสูตรที่ 9 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า กุหา ได้แก่ เป็นผู้หลอกลวงด้วยเครื่องหลอกลวงมีการร่าย
มนต์เป็นต้น อธิบายว่า เป็นผู้ทำการลวง เพื่อต้องการประกาศคุณความดี
ที่ตนไม่มีแล้วให้ผู้อื่นสนเท่ห์. บทว่า ถทฺธา ความว่า เป็นผู้มีใจกระด้าง
เพราะความโกรธและมานะ คือ เป็นผู้ไม่ทำความยำเกรงอย่างยิ่งในครูทั้งหลายผู้
ควรทำความเคารพไม่อ่อนน้อมเที่ยวไปมาเหมือนกลิ่นขี้เหล็กเข้าไปแล้วยืนแข็ง
ทื่ออยู่ฉะนั้น เพราะความโกรธที่ตรัสไว้แล้วอย่างนี้ว่า คนมักโกรธเป็นผู้มาก
ด้วยความแค้นใจ ถูกว่า แม้นิดเดียวก็ข้อจงใจ โกรธ พยาบาท แผ่อำนาจไป
ดังนี้ด้วย เพราะความเป็นผู้ว่ายากที่ตรัสไว้แล้วอย่างนี้ว่า คนว่ายากเป็น
ผู้ประกอบด้วยธรรมที่ทำให้ว่ายาก ไม่อดทน ไม่รับเอาอนุสาสนีด้วยความ
เคารพดังนี้ด้วย เพราะความเมาแยกออกเป็นควานเมาในชาติเป็นต้น ที่ตรัส
ไว้แล้วอย่างนี้ว่า ความเมาในชาติ ความเมาในโคตร ความเมาเพศ ความเมา
ในความไม่มีโรค ความเมาในความหนุ่มสาว (และ) ความเมาในชีวิต ดังนี้
ด้วย. บทว่า ลปา ความว่า เป็นผู้ประจบประแจง คือ เป็นผู้สงเคราะห์
ตระกูลด้วยอำนาจมิจฉาชีพ. อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า เป็นผู้พูด เพื่อปัจจัย
ด้วยสามารถถ้อยคำที่ประดิษฐ์ประดอยแล้ว และด้วยสามารถแห่งอุบายโกง.
บทว่า สิงฺคี ความว่า วาจาที่ประกอบด้วยกิเลสที่เด่นชัด เช่นกับ
เขาสัตว์ที่ตรัสไว้อย่างนี้ว่า คำพูดดุจเขาสัตว์ เป็นไฉน. การพูด มีแง่งอน
ภาวะที่พูดแง่งอน การพูดเป็นสี่เหลี่ยมสี่คม กิริยาที่พูดเป็นสี่เหลี่ยมสี่คม
การพูดมีเหลี่ยมมีคู ภาวะที่พูดมีเหลี่ยมมีคู อันใด นี้เรียกว่าคำพูดดุจเขา