เมนู

ทรงแสดงว่าคฤหัสถ์มีอุปการะแก่ภิกษุ


ภิกษุทั้งหลาย พราหมณคหบดีทั้งหลาย ผู้มีอุปการะมากแก่เธอทั้งหลาย
ซึ่งได้แก่ ทั้งพราหมณ์ทั้งผู้ครองเรือนที่เหลือ เธอทั้งหลายเท่านั้นที่เขาพากัน
ทำนุบำรุงด้วยปัจจัยทั้งหลายมีจีวรเป็นต้น โดยคิดว่า (นี้) เป็นบุญเขตของ
เราทั้งหลาย ซึ่งพวกเราจะพากันประดิษฐานไว้ซึ่งทักษิณา ให้มีค่าสูง มีผล
อันงามเลิศ มีวิบากเป็นสุข เป็นไปเพื่อให้เกิดในสวรรค์.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงว่า คฤหัสถ์ทั้งหลายเป็นผู้มี
อุปการะแก่ภิกษุทั้งหลาย โดยการถวายอามิส คือ โดยการแจกแบ่งอามิส
ได้แก่ โดยการอนุเคราะห์ด้วยอามิส อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงว่า
แม้ภิกษุทั้งหลาย ก็มีอุปการะแก่คฤหัสถ์เหล่านั้น (เหมือนกัน) โดยการให้ธรรม
คือ การแจกแบ่งพระธรรม ได้แก่ โดยการอนุเคราะห์ด้วยพระธรรม จึงได้ตรัส
คำมีอาทิไว้ว่า ตุมฺเหปิ ภิกฺขเว. คำนั้น ก็มีนัยดุจที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง.
ด้วยคำนี้ พระองค์ตรัสถึงอะไร ? ตรัสถึง ความอ่อนน้อมต่อบิณฑ-
บาต (เคารพบิณฑบาต). ก็ในข้อนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เพราะเหตุที่พราหมณคหบดีเหล่านี้ ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่มิตร ไม่ใช่ลูกหนี้
ของเธอทั้งหลาย โดยที่แท้แล้ว เขาต้องการผลวิเศษ โดยเข้าใจว่า สมณะเหล่านี้
เป็นผู้ประพฤติชอบ ปฏิบัติชอบ บุญที่เราทั้งหลายทำ ในสมณะเหล่านี้ จักมี
ผลานิสงส์มาก ดังนี้ จึงทะนุบำรุงเธอทั้งหลายด้วยปัจจัย 4 มีจีวรเป็นต้น
ฉะนั้น เธอทั้งหลายควรให้ความประสงค์นั้นของพวกเขาเต็มเปี่ยม ถึงพร้อม
ด้วยความไม่ประมาทเถิด แม้ธรรมเทศนา ก็จะงดงามและน่าถือเอาสำหรับเขา
เหล่านั้นผู้ทำตามอยู่นั่นแหละ ไม่ใช่สำหรับคนเหล่าอื่นนอกจากนี้ เธอทั้งหลาย
พึงทำความไม่ประมาทในสัมมาปฏิบัติ ดังที่พรรณามานี้แล.

ในคำทั้งหลายมีอาทิว่า เอวมิทํ ภิกฺขเว มีความย่อดังต่อไปนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งหลาย ต่างก็อาศัยกันด้วยอำนาจ
อามิสทานและธรรมทานมีประการดังที่กล่าวมานี้อย่างนี้แล้ว อยู่ประพฤติ
ศาสนพรหมจรรย์ และมรรคพรหมจรรย์นี้ ด้วยอำนาจการนิยมอุโบสถศีล
เป็นต้น และด้วยอำนาจปาริสุทธศีล 4 เป็นต้น เพื่อต้องการถอนโอฆะ
ทั้ง 4 อย่าง ด้วยสามารถแห่งกาม (โอฆะ) เป็นต้น และเพื่อทำที่สุดแห่ง
วัฏทุกข์แม้ทั้งหมด โดยชอบนั่นเอง.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาทั้งหลายต่อไป. บทว่า สาคารา ได้แก่
คฤหัสถ์ทั้งหลาย. บทว่า อนาคารา ได้แก่ ผู้สละเรือนออกบวช. บทว่า
อุโภ อญฺโญญฺญนิสฺสิตา ความว่า ทั้ง 2 ฝ่ายนั้นต่างก็อาศัยกัน.
อธิบายว่า คฤหัสถ์ ผู้มีเรือนอาศัยธรรมทานของบรรพชิต ผู้ไม่มีเรือน
และบรรพชิตผู้ไม่มีเรือนก็อาศัยการถวายปัจจัยของคฤหัสถ์ผู้มีเรือน. บทว่า
อาราธยนฺติ ความว่า ให้สำเร็จ คือ ให้ถึงพร้อม. บทว่า สทฺธมฺมํ
ได้แก่ ปฏิบัติสัทธรรมและปฏิเวธสัทธรรม. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะ
ทรงแสดงพระธรรมที่สูงสุด ในบรรดาสัทธรรมเหล่านั้น จึงได้ตรัสว่า
โยคกฺเขมํ อนุตฺตรํ (คือ) พระอรหัตและพระนิพพาน. บทว่า สาคาเรสุ
ความว่า จากคฤหัสถ์ผู้มีเรือนทั้งหลาย. บทนี้เป็นสัตตมีวิภัตติ ใช้ในความหมาย
ปัญจมีวิภัตติ. อีกอย่างหนึ่ง (หมายความว่า) ในสำนักของคฤหัสถ์ทั้งหลาย
ผู้มีเรือน. บทว่า ปจฺจยํ ได้แก่ ปัจจัย 2 อย่าง ที่เหลือจากที่กล่าวมาแล้ว
คือ บิณฑบาตและเภสัช. บทว่า ปริสฺสยวิโนทนํ ได้แก่ที่อยู่อาศัยมีวิหาร
เป็นต้น ที่บำบัดอันตรายมีอันตรายที่เกิดจากฤดูเป็นต้น.
บทว่า สุคตํ ได้แก่ พระอริยบุคคล 8 จำพวกพร้อมด้วยกัลยาณ-
ปุถุชนทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติชอบแล้ว. ความจริง พระสาวกพระองค์ทรงประสงค์

เอาว่า สุคต ในพระคาถานี้. บทว่า ฆรเมสิโน ได้แก่ ผู้แสวงหาเรือน.
อธิบายว่า ผู้มีปกติอยู่บ้านครอบครองเรือนแสวงหาอุปกรณ์แห่งโภคทรัพย์
และคุณธรรมมีศีลของคฤหัสถ์เป็นต้น. บทว่า สทฺทหนฺตา อรหตํ ความว่า
ผู้เชื่อถ้อยคำของพระอริยเจ้าทั้งหลายผู้เป็นพระอรหันต์ หรือเชื่อข้อ
ปฏิบัติชอบของท่านเหล่านั้น. อธิบายว่า เชื่อมั่นอยู่ว่า ท่านเหล่านี้เป็นผู้ปฏิบัติ
ชอบแน่นอน สำหรับผู้ปฏิบัติตามที่ท่านเหล่านี้บอก การปฏิบัตินั้นก็จะเป็นไป
เพื่อสวรรคสมบัติและนิพพานสมบัติ. ปาฐะว่า สทฺทาตา ดังนี้ก็มี. บทว่า
อริยปญฺญาย ความว่า ด้วยปัญญาที่บริสุทธิ์ดีแล้ว. บทว่า ฌายิโน ความว่า
ผู้เพ่งด้วยฌานทั้ง 2 คือ อารัมมณูปนิชฌานและลักขณูปนิชฌาน. บทว่า
อิธ ธมฺนํ จริตฺวาน ความว่า ครั้นปฏิบัติธรรมมีศีลเป็นต้น ที่เป็นทาง
แห่งโลกิยสุขและโลกุตรสุข ในอัตภาพนี้ หรือในศาสนานี้แล้ว จะไปสู่สุคติ
ตลอดเวลาที่ยังไม่บรรลุปรินิพพาน. บทว่า นนฺทิโน ความว่า ชื่อว่า ผู้มีปกติ
เพลิดเพลิน เพราะประกอบด้วยปีติและโสมนัส. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า
บทว่า ธมฺมํ จริตฺวาน มคฺคํ ความว่า บรรลุโสดาปัตติมรรค. บทว่า
เทวโลกสฺมึ ความว่า ในเทวโลกชั้นกามาพจรทั้ง 6 ชั้น. บทว่า โมทนฺ-
ติ กามกามิโน
ความว่า ชื่อว่า เป็นผู้ใคร่กาม คือ เป็นผู้ประสงค์บรรเทิงอยู่
เพราะสำเร็จตามวัตถุที่ประสงค์แล้ว.
จบอรรถกถาพหุการสูตรที่ 8

9. กุหนาสูตร


ว่าด้วยการหลอกลวง


[288] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใดเหล่าหนึ่งเป็นผู้หลอกลวง
มีใจกระด้าง ประจบประแจง ประกอบด้วยกิเลสอันปรากฏดุจเขา มีกิเลสดุจ
ไม้อ้อสูงขึ้น มีใจไม่ตั้งมั่น ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้ไม่นับถือเราตถาคต ภิกษุ
เหล่านั้นปราศไปแล้วจากธรรมวินัยนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนภิกษุเหล่าใด
เป็นผู้ไม่หลอกลวง ไม่ประจบประแจง เป็นนักปราชญ์ มีใจไม่กระด้าง มีใจ
ตั้งมั่นดี ภิกษุเหล่านั้นแล เป็นผู้นับถือเราตถาคต ไม่ปราศไปแล้วจากธรรม
วินัยนี้ และย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้.
ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้หลอกลวง มีใจ
กระด้าง ประจบประแจง ประกอบด้วย
กิเลสอันปรากฏดุจเขา มีกิเลสดุจไม้อ้อสูง
ขึ้น มีใจไม่ตั้งมั่น ภิกษุเหล่านั้นย่อมไม่
งอกงามในธรรม อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงแสดงแล้ว ส่วนภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ไม่
หลอกลวง ไม่ประจบประแจง เป็นนัก-
ปราชญ์ มีใจไม่กระด้าง มีใจตั้งมั่นดี
ภิกษุเหล่านั้นแล ย่อมงอกงามในธรรมอัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว.

จบกุหนาสูตรที่ 9