เมนู

ไกลเท่านั้น ส่วนบุคคลใดเป็นบัณฑิต รู้
ธรรมด้วยปัญญา เป็นเครื่องรู้ธรรมอันยิ่ง
เป็นผู้หาความหวั่นไหวมิได้ สงบระงับ
เปรียบเหมือนห้วงน้ำที่ไม่มีลมฉะนั้น บุค-
คลนั้นผู้หาความหวั่นไหวมิได้ ทั้งดับความ
เร่าร้อนได้แล้ว ผู้ไม่กำหนัดยินดี ชื่อว่า
พึงเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้หาความ
หวั่นไหวมิได้ ทั้งดับความเร่าร้อนได้แล้ว
ปราศจากความกำหนัดยินดี ในที่ใกล้แท้.

จบสังฆาฏิสูตรที่ 3

อรรถกถาสังฆาฏิสูตร


ในสังฆาฏิสูตรที่ 3

พึงทราบวินิจฉัยต่อไป.
บทว่า สงฺฆาฏิกณฺเณ ได้แก่ ที่ชายจีวร. บทว่า คเหตฺวา ความว่า
เกาะ. บทว่า อนุพนฺโธ อสฺส ความว่า พึงติดตามไป. มีพุทธาธิบายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบางรูป ในพระธรรมวินัยนี้ เป็นเสมือนใช้มือของ
คนเกาะชายสุคตมหาจีวร ที่เราตถาคตห่มแล้ว ติดตามเราตถาคตไป คือ
เป็นผู้อยู่ใกล้ชิดเราตถาคตอย่างนี้.
บทว่า ปาเท ปาทํ นิกฺขิปนฺโต ความว่า ทอดเท้าของตนลง
ที่รอยเท้าของเราตถาคต ผู้กำลังเดินไป คือในที่ ๆ เราตถาคตวางเท้าลง ถัด
จากการยกเท้าขึ้นแล้ว. ด้วยคำทั้ง 2 นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า
ผิว่า เธอจะไม่ละทิ้ง (ห่างเหิน) ที่ยืน ที่เดิน (ของเราตถาคต) อยู่ใกล้เรา
ตถาคตตลอดทุกเวลาไซร้.

บทว่า โส อารกาว มยฺหํ อหญฺจ ตสฺส ความว่า ภิกษุนั้น
เมื่อไม่บำเพ็ญปฏิปทาที่เราตถาคตกล่าวแล้วให้บริบูรณ์ ก็ชื่อว่า เป็นผู้อยู่ไกล
เราตถาคตทีเดียว เราตถาคต ก็ชื่อว่า อยู่ไกลเธอเหมือนกัน. ด้วยคำนี้
พระองค์ทรงแสดงว่า การเห็นพระตถาคตเจ้า ด้วยมังสจักษุก็ดี การอยู่รวมกัน
ทางรูปกายก็ดี ไม่ใช่เหตุ (ของการอยู่ใกล้) แต่การเห็นด้วยญาณจักษุเท่านั้น
และการรวมกันด้วยธรรมกายต่างหาก เป็นประมาณ (ในเรื่องนี้). ด้วยเหตุ
นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าภิกษุ
นั้นไม่เห็นธรรม เมื่อไม่เห็นธรรม ก็ไม่เห็นเราตถาคต. ในคำว่า ธมฺมํ น
ปสฺสติ
นั้น มีอธิบายว่า โลกุตรธรรม 9 อย่าง ชื่อว่า ธรรม ก็เธอไม่
อาจจะเห็นโลกุตรธรรมนั้นได้ ด้วยจิตที่ถูกอภิชฌาเป็นต้นประทุษร้าย เพราะ
ไม่เห็นธรรมนั้น เธอจึงชื่อว่า ไม่เห็นธรรมกาย สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาค-
เจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนวักกลิ เธอจะมีประโยชน์อะไร ด้วยกายอันเปื่อยเน่า
นี้ที่เธอได้เห็นแล้ว ดูก่อนวักกลิ ผู้ใดแล เห็นธรรม ผู้นั้น ก็เห็นเรา
ตถาคต ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้น ก็เห็นธรรม ดังนี้ และว่า เราตถาคตเป็น
พระธรรม เราตถาคตเป็นพระพรหมดังนี้ และว่า เป็นธรรมกายบ้าง เป็น
พรหมกายบ้าง ดังนี้ เป็นต้น.
บทว่า โยชนสเต ความว่า ในพื้นที่มีประมาณร้อยโยชน์ อธิบาย
ว่า ในที่มีร้อยโยชน์เป็นที่สุด. คำที่เหลือ พึงทราบ โดยบรรยายที่ผิดจากที่
กล่าวมาแล้ว. และพึงทราบความที่ท่านเป็นผู้ไม่มีการเพ็งเล็งเป็นปกติ ด้วย
สามารถแห่งการบรรลุอริยมรรค.
พึงทราบวินิจฉัยคาถาทั้งหลาย ดังต่อไปนี้ บทว่า มหิจฺโฉ
ความว่า ชื่อว่าผู้มีความมักมาก เพราะมีความกำหนัดแรงกล้าในกามทั้งหลาย.
บทว่า วิฆาตวา ความว่า ชื่อว่าผู้มีความคับแค้น เพราะมีความดำริด้วยใจ

ที่ถูกความอยากประทุษร้ายแล้ว เพราะเป็นผู้มีความมักมาก ด้วยอำนาจแห่ง
การอาฆาตในสัตว์ทั้งหลาย และเพราะไม่ได้ตามที่ต้องการ. บทว่า เอชานุโค
ความว่า เมื่อติดตามตัณหานั้นไป เหมือนเป็นทาสของตัณหา กล่าวคือความ
หวั่นไหวยังไม่ดับ เพราะถูกความกระวนกระวายเกิดแต่กิเลส มีราคะเป็นต้น
ครอบงำแล้ว คือติดอยู่แล้ว ด้วยความจำนงอารมณ์มีรูปเป็นต้น. บทว่า ปสฺส
ยาวญฺจ อารกา
มีอธิบายว่า ผู้มีความมักมาก ถึงอยู่ แม้ใกล้พระสัมมาสัม-
พุทธเจ้า ผู้ไม่หวั่นไหว ผู้ดับ (ทุกข์) ได้แล้ว ผู้ปราศจากความกำหนัดแล้ว
ตามอำนาจแห่งโอกาส แต่ยังเป็นผู้คับแค้น ติดตามกิเลสชื่อตัณหาไป ยัง
ดับทุกข์ไม่ได้ ยังกำหนัดคือยังเป็นพาลปุถุชนตามสภาวธรรม ชื่อว่า เห็น
พระองค์ได้ตลอดเวลาที่ประทับอยู่ในที่ไกล แม้การจะกราบทูล ก็ไม่ใช่ทำ
ได้ง่าย. สมจริงตามที่ตรัสไว้ว่า
นักปราชญ์กล่าวว่า ท้องฟ้ากับแผ่น
ดินอยู่ไกลกัน ฝั่งมหาสมุทรก็อยู่ไกลกัน
เหมือนกัน แต่ท่านกล่าวว่า ธรรมของ
สัตบุรุษกับธรรมของอสัตบุรุษไกลกัน
ยิ่งกว่านั้น.

บทว่า ธมฺมมภิญฺญาย ความว่า เพราะรู้ยิ่ง คือเข้าใจได้แก่ทราบ
สัจธรรมทั้งสี่ในตอนต้น ด้วยญาตปริญญา และตีรณปริญญาตามสมควร.
บทว่า ธมฺมมญฺญาย ความว่า รู้ธรรมนั้นนั่นแหละ ในตอนต่อมาด้วย
มรรคญาณตามขอบเขต ด้วยอำนาจปริญญาเป็นต้น. บทว่า ปณฺฑิโต ได้แก่
ผู้เป็นบัณฑิต เพราะเป็นพหูสูตในทางปฏิเวธ. บทว่า รหโทว นิวาเต จ
ความว่า เป็นผู้ไม่หวั่นไหว คือเว้น จากการหวั่นไหว เพราะกิเลสเงียบสงบอยู่
เหมือนห้วงน้ำในที่สงัดลมฉะนั้น. (อธิบายว่า) ห้วงน้ำนั้นในที่สงัดลม ไม่ถูก

ลมพัด จะเรียบราบอยู่ (ไม่มีคลื่น) ฉันใด แม้ภิกษุนี้ผู้มีกิเลสสงบแล้ว
เว้นจากความหวั่นไหว เพราะกิเลสจะสงบอยู่ด้วยสมาธิที่สัมปยุตด้วยอรหัตผล
ในที่ทุกแห่ง คือ จะเป็นผู้มีสภาพสงบทีเดียวตลอดกาลทุกเมื่อ. บทว่า อเนโช
ความว่า ภิกษุนั้นเป็นพระอรหันต์ มีสภาพไม่หวั่นไหวเป็นต้น โดยโอกาส
ถึงจะอยู่ไกลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีสภาพไม่หวั่นไหว ก็เหมือนกับอยู่ไม่ไกล
คือในสำนักนั่งเอง ตามสภาวธรรม ดังนี้.
จบอรรถกถาสังฆาฏิสูตรที่ 3

4. อัคคิสูตร


ว่าด้วยไฟ 3 กอง


[273] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฟ 3 กองนี้ 3 กองเป็นไฉน ? คือ
ไฟคือราคะ 1 ไฟคือโทสะ 1 ไฟคือโมหะ 1 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฟ 3
กองนี้แล.
ไฟคือราคะ ย่อมเผาสัตว์ผู้กำหนัด
แล้วหมกมุ่นแล้วในกามทั้งหลาย ส่วนไฟ
คือโทสะ ย่อมเผานรชนผู้พยาบาท มี
ปกติฆ่าสัตว์ ส่วนไฟคือโมหะ ย่อมเผา
นรชนผู้ลุ่มหลง ไม่ฉลาดในอริยธรรม
ไฟ 3 กองนี้ย่อมตามเผาหมู่สัตว์ผู้ไม่รู้สึก
ว่าเป็นไฟ ผู้ยินดียิ่งในกายตน ทั้งในภพนี้
และภพหน้า สัตว์เหล่านั้นย่อมเพิ่มพูน