เมนู

อรรถกถาชีวิตสูตร


ชีวิตสูตรที่ 2

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้ด้วยอำนาจเหตุที่
เกิดขึ้น.
ดังได้ทราบมาว่า สมัยหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่
นิโครธาราม ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ ภิกษุทั้งหลายพากันปูที่นั่งที่นอนสำหรับภิกษุ
อาคันตุกะทั้งหลาย กำลังเก็บบาตรและจีวรอยู่ และสามเณรทั้งหลายพากันรับ
เอาลาภ ของภิกษุทั้งหลาย ผู้มาแล้วมาถึงแล้ว ในที่ ๆ แจกลาภได้ส่งเสียงอึกทึก
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับเสียงนั้นแล้ว ได้ทรงประณาม (ขับไล่) ภิกษุ
เหล่านั้น. ได้ทราบว่า ภิกษุเหล่านั้น เป็นภิกษุใหม่ทั้งนั้นมาสู่พระธรรมวินัยนี้
ยังไม่นาน. ท้าวมหาพรหมทราบพฤติการณ์นั้นแล้ว ได้เสด็จมาแล้ว ทูลขอ
พระพุทธานุเคราะห์ แก่ภิกษุที่ถูกประณามเหล่านั้นว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงพอพระทัยภิกษุสงฆ์. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรง
เปิดโอกาสให้ท้าวมหาพรหมนั้น. ทีนั้นท้าวมหาพรหมได้กราบทูลพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เปิดโอกาสให้ข้าพระองค์แล้วได้ถวายบังคม
พระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำประทักษิณแล้วได้เสด็จหลีกไป. ครั้งนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงดำริว่า ขอพระภิกษุสงฆ์จงมาเถิด แล้วได้ทรงแสดงอาการแก่
พระอานนทเถระ. เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุเหล่านั้นจึงถูกพระอานนทเถระเรียก
ให้มาหา ได้พากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ยินดีแล้ว ได้นั่งอยู่ ณ ที่สมควร
ข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาหาพระธรรมเทศนาที่จะเป็นสัปปายะ
ของภิกษุเหล่านั้น ทรงพระดำริว่า ภิกษุเหล่านี้ถูกเราตถาคตประณาม เพราะ
เหตุแห่งอามิส ธรรมเทศนาว่าด้วยก้อนข้าวที่ทำเป็นคำ ๆ จะเป็นสัปปายะของ

ภิกษุเหล่านั้น ดังนี้แล้ว จึงได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนานี้ว่า อนฺตมิทํ ภิกฺขเว
ดังนี้เป็นต้น.
ในพระธรรมเทศนานั้น อันต ศัพท์นี้ มาแล้วในความหมายว่าส่วน
เช่นในคำทั้งหลายมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีอยู่สมณพราหมณ์บางพวก
เป็นปุพพันตกับปิกะ (ลัทธิที่อ้างถึงส่วนเบื้องต้นคือผู้สร้าง) มีทิฏฐิคล้อยตาม
ส่วนเบื้องต้น. มาแล้วในความหมายว่าตัดขาด เช่นในคำทั้งหลายมีอาทิว่า
ท่านได้ทำที่สุดแห่งทุกข์แล้ว โลกนี้มีที่สุดหมุนไปรอบๆ. มาแล้วในความหมาย
ว่าครอบงำ เช่นในคำทั้งหลายมีอาทิว่า ปฐวีธาตุอาศัยภูมิภาคที่ปกคลุมด้วย
ของเขียว กั้นด้วยถนน มีภูเขาขวางกั้น. มาแล้วในความหมายว่า อวัยวะ
ในร่างกาย เช่นในคำทั้งหลายมีอาทิว่า ใส้ใหญ่ สายรัดใส้. มาแล้วในความ
หมายว่า จิต เช่นตัวอย่างในคำทั้งหลายมีอาทิว่า
ก็คนบางจำพวกมีบริวารห้อมล้อม
เที่ยวไปอยู่ภายใน (จิต) ไม่บริสุทธิ์ แต่
ภายนอก (กาย) งดงาม.

มาแล้วในความหมายว่า ภายใน เช่นในคำทั้งหลายมีอาทิว่า อุบล
ปทุม หรือบุณฑริก บางเหล่าเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ มีน้ำหล่อเลี้ยงไว้ จม
และพอกพูนอยู่ในภายใน (น้ำ). มาแล้วในความหมายว่า ลามก เช่นในคำ
ทั้งหลายมีอาทิว่า
บรรดามฤคทั้งหลาย สุนัขจิ้งจอก
เป็นสัตว์เลวทราม บรรดาปักษีทั้งหลาย
กาเป็นสัตว์ชั้นต่ำ บรรดาต้นไม้ทั้งหลาย
ต้นระหุ่งเป็นต้นไม่ชนิดเลว ของเลวทราม
ทั้ง 3 อย่างมาประชุมกัน.

แม้ในพระสูตรนี้ พึงทราบความหมายในสิ่งที่เลวทรามเท่านั้น เพราะ
ฉะนั้น บทว่า อนฺตมิทํ ภิกฺขเว ชีวิกานํ จึงมีอรรถาธิบายว่า ดูก่อน-
ภิกษุทั้งหลาย ชีวิต (ความเป็นอยู่) นี้ เป็นชีวิตที่ต่ำทราม คือ ล้าหลัง
ได้แก่ ลามก หมายความว่า เลวกว่าความเป็นอยู่ทุกชนิด ของผู้เลี้ยงชีพ
ทั้งหลาย.
บทว่า ยทิทํ ปิณฺโฑลฺยํ ความว่า ชีวิตของผู้เลี้ยงชีพด้วยการ
แสวงหาก้อนข้าว คือ ด้วยการเที่ยวขอเขา นี้ใด. ก็ในบทว่า ปิณฺโฑลฺยํ
นี้ มีอรรถแห่งบทดังต่อไปนี้ บุคคลชื่อว่า ปิณโฑละ เพราะเที่ยวไปเพื่อ
ก้อนข้าว. กิจกรรมของผู้เที่ยวไปเพื่อก้อนข้าวนั้น ชื่อว่า ปิณโฑลยะ
อธิบายว่า ผู้เลี้ยงชีพด้วยการแสวงหาก้อนข้าว.
การด่า ชื่อว่า อภิลาปะ อธิบายว่า มนุษย์ทั้งหลาย โกรธแล้ว
จะด่าคนที่เป็นศัตรูของตนว่า แกควรจะนุ่งผ้าเก่า ๆ มีมือถือกระเบื้อง
เที่ยวแสวงหาก้อนข้าว (ขอทาน). อีกอย่างหนึ่ง จะด่าอย่างนี้ทีเดียวว่า แก
ไม่มีอะไรที่จะต้องทำแล้วหรือ จึงได้ละทิ้งหิริโอตตัปปะทั้งที่ยังมีกำลังและ
ความเพียรแล้วเป็นคนกำพร้ามีมือถือบาตร ขอทานเขากิน.
บทว่า ตญฺจโข เอตํ ความว่า (ย่อมเข้าถึง) แม้ซึ่งการสาปแช่ง
คือความเป็นอยู่ด้วยการแสวงหาก้อนข้าวนี้นั้น. บทว่า กุลปุตฺตา อุเปนฺติ
อตฺถวสิกา
ความว่า กุลบุตรโดยกำเนิด และกุลบุตรผู้มีอาจาระในศาสนา
ของเรา เป็นผู้อยู่ในอำนาจอรรถ คือ เป็นผู้อยู่ในอำนาจเหตุ คืออาศัย
อำนาจเหตุแล้วเข้าถึง คือ ประสบ. พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า ราชาภินีตา
เป็นต้น (ดังต่อไปนี้) คนเหล่าใดถูกพระราชาให้จองจำไว้ในเรือนจำ เพราะ

กินของหลวง หนีไปบวช คนเหล่านั้น ชื่อว่า ราชาภินีตา เพราะถูกนำไป
ยังที่จองจำ. ส่วนคนเหล่าใดถูกพวกโจรจับในดง เมื่อบางเหล่าถูกฆ่าให้ตาย
(แต่) บางเหล่าขอร้องว่านายขอรับ (ถ้า) พวกผมถูกพวกท่านปล่อยไปแล้ว
จักครองเรือนแล้วบวช จักทำบุญใด ๆ มีพุทธบูชาเป็นต้นในที่นั้น ๆ จักให้
ส่วนบุญจากบุญนั้น ๆ แก่ท่านทั้งหลาย ดังนี้แล้ว เป็นผู้อันโจรเหล่านั้นปล่อย
ไปแล้วบวช คนเหล่านั้นชื่อว่า โจราภินีตา เพราะเป็นผู้ถูกโจรนำไปยังที่ ๆ
จะถูกฆ่าให้ตาย แต่คนเหล่าใดกู้หนี้แล้วไม่สามารถใช้หนี้ได้หนีไปบวช คน
เหล่านั้น ชื่อว่า อีณัฏฏา (เป็นลูกหนี้) เชื่อมบทว่า ก็แลกุลบุตรทั้งหลายใน
ศาสนาของเราตถาคต ได้ถูกพระราชาให้นำไป ฯลฯ มีการเลี้ยงชีพตามปกติ
เข้าถึงความเป็นผู้ขอทานนี้นั้น อีกอย่างหนึ่ง เข้าถึงด้วยคิดว่า เราทั้งหลายถูก
ชาติ ฯลฯ ครอบงำแล้วแม้ไฉน. . .จะพึงปรากฏ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอติณฺณมฺหา ตัดบทเป็น โอติณฺณา
อมฺหา
(เราทั้งหลาย เป็นผู้ถูกชาติ ฯลฯ ครอบงำแล้ว).
ในบทว่า ชาติยา เป็นต้น (พึงทราบวินิจฉัย ดังต่อไปนี้) การก่อเกิด
ครั้งแรกของขันธ์ทั้งหลาย ในหมู่สัตว์นั้น ๆ ชื่อว่า ชาติ ความหง่อมชื่อว่า
ชรา ความแตกดับ ชื่อว่า มรณะ. ความเร่าร้อน คือ การแผดเผาภายใน (ใจ)
ของผู้ถูกความเสื่อม เพราะญาติ โรค โภคะ ศีลและทิฏฐิ กระทบกระทั่ง ชื่อว่า
โสกะ. ความพิลาบร่ำทางวาจา ของผู้ถูกความเสื่อมเสียกระทบกระทั่งแล้วชื่อ
ว่า ปริเทวะ. การเบียดเบียนทางกาย ของผู้มีกายถูกโผฎฐัพพะที่ไม่น่าปรารถนา
กระทบ ชื่อว่า ทุกข์. การเบียดเบียนทางใจ ของผู้มีจิตถูกกระทบกระเทือนใน
อาฆาตวัตถุทั้งหลาย ชื่อว่า โทมนัส. ความลำบากแรงกล้า ที่เกิดจากกลุ้มใจ
ของผู้ถูกความเสื่อมแห่งญาติเป็นต้นกระทบ ผู้ไม่สามารถจะยับยั้งไว้ได้ แม้
ด้วยการครวญคราง ชื่อว่า อุปายาส. ผู้ถูกทุกข์ทั้งหลายมีชาติเป็นต้นครอบงำ

แล้ว ชื่อว่า ถูกทุกข์ติดตามแล้ว คือ ผู้ถูกทุกข์ทั้งหลายมีชาติทุกข์เป็นต้นสอดแทรก
เข้าไปภายใน. บทว่า ทุกฺขปเรตา ความว่า ผู้ถูกทุกข์และเหตุเป็นที่ตั้งแห่ง
ความทุกข์ ครอบงำแล้ว. อธิบายว่า ชาติเป็นต้น ชื่อว่า ทุกข์ เพราะเป็นที่ตั้ง
แห่งความทุกข์ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ชื่อว่า ทุกข์ เพราะเป็น
ตัวทุกข์. บทว่า อปฺเปวนาม ฯเปฯ ปญฺญาเยถ ความว่า ชื่อแม้ไฉน
การทำการตัดขาด คือ กิริยาที่สิ้นสุดลงแห่งกองทุกข์ในวัฏฏะทั้งสิ้นนี้ จะพึง
ปรากฏ.
คำว่า โส จ โหติ อภิชฺฌาลุ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้
เพื่อทรงแสดงถึงกุลบุตรผู้ให้ความคิดเกิดขึ้นในเบื้องต้นว่า เราจักทำที่สุดแห่ง
ทุกข์ แล้วบวช แต่ภายหลังไม่สามารถทำการบวชนั้นให้เป็นแบบนั้นได้ (ทำที่
สุดแห่งทุกข์ไม่ได้). บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิชฺฌาลุ ได้แก่ผู้เพ่งสิ่งของๆ
ผู้อื่น. บทว่า ติพฺพสาราโค ความว่า ผู้มีราคะมาก. บทว่า พฺยาปนฺนจิตฺโต
ความว่า ผู้มีจิตวิบัติ เพราะเป็นจิตเสียด้วยพยาบาท. บทว่า ปทุฏฺฐมน-
สงฺกปฺโป
ความว่า ผู้มีจิตถูกโทสะประทุษร้ายแล้ว ด้วยสามารถแห่งการ
เข่นฆ่าพวกอื่น เหมือนโคดุมีเขาแหลม. บทว่า มุฏฺฐสฺสติ ความว่า เป็นผู้
มีสติหลงลืม คือ ทำ (อะไร) ไว้ที่นี้แล้ว ก็ระลึกในที่นี้ไม่ได้เหมือนกาซ่อน
ก้อนข้าวไว้ และเหมือนสุนัขซ่อนเนื้อไว้แล้ว นึกไม่ได้ฉะนั้น. บทว่า
อสมฺปชาโน ความว่า ไม่มีปัญญา คือ เว้นจากการกำหนดขันธ์เป็นต้น.
บทว่า อสมาหิโต ความว่า หยุดนิ่งอยู่ไม่ได้ เหมือนเรือที่ผูกไว้ที่กระแส
น้ำเชี่ยว. บทว่า วิพฺภนฺตจิตฺโต ความว่า ตื่นตกใจเหมือนเนื้อขึ้นสู่ทาง.
บทว่า ปากตินฺทฺริโย ความว่า เป็นผู้ไม่สำรวมอินทรีย์เหมือนคฤหัสถ์ทั้งหลาย
ผู้ไม่สำรวมอินทรีย์มองดูคนที่ตนหวงแหน เพราะไม่มีการสำรวม.

บทว่า ฉวาลาตํ ได้แก่ ดุ้นฟืน ในที่ที่เผาศพ. บทว่า อุภโต
ปทิตฺตํ มชฺเฌ คูลคตํ
ความว่า ดุ้นฟืนยาวประมาณ 8 นิ้ว ไฟติดทั้ง
2 ข้าง ตรงกลางก็เปื้อนคูถ. บทว่า เนว คาเม ความว่า จริงอยู่ ถ้าหาก
ดุ้นฟืนนั้น เป็นของที่ใคร ๆ (นึกว่า) สามารถนำเข้าไปใช้เพื่อประโยชน์แก่
แอกไถ ไม้จันทันและไม้ฝ้าได้ไซร้ ก็ต้องผ่าเพื่อเป็นฟืนใช้ในบ้าน ถ้าเป็น
ของที่ใคร ๆ (นึกว่า) สามารถนำเข้าไปใช้เพื่อประโยชน์แก่ไม่ปูพื้นและเตียง
เป็นต้นที่กระท่อมนาได้ไซร้ ก็ต้องผ่าเพื่อใช้เป็นฟืนในป่า. แต่เพราะเหตุที่
แม้ประโยชน์ทั้ง 2 อย่างนั้น ใคร ๆ ไม่อาจ (นำมาใช้ได้) ฉะนั้นพระผู้มี-
พระภาคเจ้า จึงตรัสไว้อย่างนี้.
บทว่า ตถูปมาหํ ความว่า เราตถาคตเรียกบุคคลตามที่กล่าวมาแล้ว
นี้ว่า อุปมาเหมือนอย่างนั้น คือ เช่นฟืนเผาศพ. บทว่า คิหิโภคา จ
ปริหีโน
ความว่า เป็นผู้เสื่อมจากโภคะที่จะต้องได้เมื่อคฤหัสถ์ทั้งหลายผู้
ครองเรือนอยู่ แบ่งมรดกอยู่ และโดยประการอื่นด้วย. บทว่า สามญฺญตฺถญฺจ
ความว่า จะไม่ยังสามัญผลที่สัทธิวิหาริกเเละอันเตวาสิก ดำรงอยู่ในโอวาทของ
อุปัชฌาย์และอาจารย์ทั้งหลายแล้ว จะพึงถึงด้วยสามารถแห่งปริยัติและปฏิเวธ
ให้บริบูรณ์.
อนึ่ง พึงทราบว่า พระศาสดาไม่ได้ทรงนำอุปมานี้มา ด้วยสามารถ
แห่งบุคคลผู้ทุศีล แต่ทรงนำมาด้วยสามารถแห่งบุคคลผู้มีศีลบริสุทธิ์ ผู้ไม่
เกียจคร้าน ผู้มีจิตถูกโทษทั้งหลาย มีอภิชฌาเป็นต้น ประทุษร้ายแล้ว.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาทั้งหลาย ดังต่อไปนี้ บทว่า คิหิโภคา
ความว่า จากเครื่องอุปโภคที่ให้เกิดกามสุข. บทว่า ปริหีโน ได้แก่ เสื่อม

โทรมแล้ว. บทว่า สามญฺญตฺถํ ได้แก่ ทั้งพหูสูตในทางปฏิเวธ ทั้งพหูสูต
ในทางปริยัติ. เพราะว่าคนเช่นนั้น ไม่สามารถจะได้ฟังเรื่องที่ยังไม่ได้ฟัง และ
ยังเรื่องที่ได้ฟังแล้วให้แจ่มกระจ่าง เพราะเป็นผู้เกียจคร้าน. คนชั่วหมดสง่า
เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า เสื่อมจากโภคะ คือคนไม่มีบุญ ได้แก่บุรุษกาลกรรณี.
บทว่า ปริธํสมาโน ความว่า พินาศอยู่. บทว่า ปกิเรติ ความว่า เรี่ยราด คือ
กระจัดกระจายไป. คำทั้งหมดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอา การไม่
เกิดขึ้นแห่งความเจริญ คือสามัญผลนั้นเอง. บทว่า ฉวาลาตํ วินสฺสติ
ความว่า บุคคลนั้นคือชนิดนั้น จะไม่ประกอบประโยชน์ให้แก่ใคร ๆ เลย
พินาศไปเหมือนดุ้นฟืนเผาศพดังที่กล่าวมาแล้ว เพราะเป็นผู้พลาดจากประโยชน์
ทั้ง 2. ถึงจะไม่ได้ทำการละเมิดทางกายและวาจา แต่เมือไม่ชำระจิตให้สะอาด
ก็พินาศ จะป่วยกล่าวไปไยถึงได้ทำการละเมิดทางกายและทางวาจาเล่า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงโทษในความทุศีล โดยการทรง
แสดงถึงส่วนแห่งทุกข์ในอบายของเขาแล้ว ด้วยคำว่า ทุสฺสีโล เมื่อทรงพระ
ประสงค์ จะให้สัตว์ทั้งหลายสงัดจากโทษของความทุศีลนั้น จึงตรัสพระคาถา
ไว้โดยนัยมีอาทิว่า กาสาวกณฺฐา ดังนี้. เนื้อความของพระคาถาทั้ง 2 นั้น
ได้กล่าวไว้แล้ว ในหนหลังที่เดียวแล.
จบอรรถกถาชีวิตสูตรที่ 2

3. สังฆาฏิสูตร


ว่าด้วยผู้ประพฤติธรรมอยู่ไกลเหมือนอยู่ใกล้พระองค์


[272] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้ภิกษุจับชายสังฆาฏิแล้วพึงเป็นผู้
ติดตามไปข้างหลัง ๆ เดินไปตามรอยเท้าของเราอยู่ไซร้ แต่ภิกษุนั้นเป็นผู้มี
อภิชฌาเป็นปกติ มีความกำหนัดแรงกล้าในกามทั้งหลาย มีจิตพยาบาท มี
ความดำริแห่งใจชั่วร้าย มีสติหลงลืม ไม่รู้สึกตัว มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุน
ไปผิด ไม่สำรวมอินทรีย์ โดยที่แท้ ภิกษุนั้นอยู่ห่างไกลเราทีเดียว และเราก็
อยู่ห่างไกลภิกษุนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะภิกษุนั้นย่อมไม่เห็นธรรม
เมื่อไม่เห็นธรรมย่อมเชื่อว่าไม่เห็นเรา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้ภิกษุนั้นพึง
อยู่ในที่ประมาณ 100 โยชน์ไซร้ แต่ภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่มีอภิชฌา ไม่มีความ
กำหนัดอันแรงกล้าในกามทั้งหลาย ไม่มีจิตพยาบาท ไม่มีความดำริแห่งใจชั่ว
ร้าย มีสติมั่น รู้สึกตัว มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว สำรวมอินทรีย์
โดยที่แท้ ภิกษุนั้นอยู่ใกล้ชิดเราทีเดียว และเราก็อยู่ใกล้ชิดภิกษุนั้น ข้อนั้น
เพราะเหตุไร ? เพราะภิกษุนั้น ย่อมเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรมย่อมชื่อว่าเห็นเรา.
บุคคลผู้มักมาก มีความคับแค้น ยัง
เป็นไปตามตัณหา ดับความเร่าร้อนไม่ได้
แม่หากว่าพึงเป็นผู้ติดตามพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้าผู้หาความหวั่นไหวมิได้ ผู้ดับความ
เร่าร้อนได้แล้วไซร้ บุคคลนั้นผู้กำหนัด
ยินดี ชื่อว่าพึงเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ปราศจากความกำหนัดยินดี เพียงในที่