เมนู

อรรถกถาธาตุสูตร


ในธาตุสูตรที่ 7 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า เทฺวมา ตัดบทเป็น เทฺว อิมา. ตัณหาท่านเรียกว่า วานะ.
ชื่อว่า นิพพาน เพราะออกจากตัณหา หรือเป็นที่ไม่มีตัณหา หรือเมื่อ
บรรลุนิพพานแล้วตัณหาไม่มี. ชื่อว่า นิพพานธาตุ เพราะนิพพานนั้นชื่อว่า
ธาตุ เพราะอรรถว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีชีวะ และเพราะอรรถว่า เป็นสภาพทั่วไป.
แม้ผิว่า นิพพานธาตุนั้นไม่ต่างกันโดยปรมัตถ์ แต่ปรากฏโดยปริยาย
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เทฺวมา ภิกฺขเว นิพฺพานธาตุโย
ดังนี้ ทรงหมายถึงความต่างกันโดยปริยายนั้น เพื่อทรงแสดงถึงประเภทตาม
พระประสงค์ จึงตรัสคำมีอาทิว่า สอุปาทิเสสา ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น ขันธบัญจกชื่อว่า อุปาทิ เพราะให้เกิดโดยความเป็น
ผลจากกิเลสทั้งหลายมีตัณหาเป็นต้น. อุปาทิที่เหลือชื่อว่า อุปาทิเสสะ. ชื่อ
ว่า อุปาทิเสสา เพราะพร้อมกับอุปาทิเสสะ. เพราะความไม่มีสอุปาทิเสสะ
นั้น จึงชื่อว่า อนุปาทิเสสา
บทว่า อรหํ ได้แก่ ไกลจากกิเลส อธิบายว่า มีกิเลสอยู่ไกล. สมดัง
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ภิกฺขุ อรหํ โหติ
อารกาสฺส โหนฺติ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา สํกิเลสิกา โปโนพฺภวิกา
สตรีา ทุกฺขวิปากา อายตึ ชาติชรามรณิยา เอวํ โข ภิกฺขเว อรหํ
โหติ
ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชื่อว่าเป็นอรหันต์ นั้นอย่างไร
ภิกษุนั้นเป็นผู้ไกลจากอกุศลธรรมอันลามก ความเศร้าหมอง การมีภพใหม่
ความกระวนกระวาย วิบากแห่งทุกข์ ชาติชรามรณะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย