เมนู

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบธรรมสูตรที่ 5

อรรถกถาธรรมสูตร


ในธรรมสูตรที่ 5 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สุกฺกา ชื่อว่า สุกธรรมเพราะเป็นธรรมขาว ก็สุกธรรม
ย่อมเป็นไปเพื่อความผ่องแผ้วอย่างยิ่ง โดยความเป็นธรรมขาว เพราะเหตุนั้น
ธรรมทั้งหลายชื่อว่า ขาว เพราะเป็นธรรมขาวบริสุทธิ์ . ธรรมทั้งหลายที่เป็น
กุศลทั้งปวง แม้โดยพร้อมด้วยรสชื่อว่า ธรรมขาว เพราะตรงข้ามกับความเป็น
ธรรมดำ. ด้วยว่าเพราะธรรมขาวเกิดขึ้น จิตจึงเป็นประภัสสรบริสุทธิ์. บทว่า
ธมฺมา ได้แก่ธรรมเป็นกุศล. บทว่า โลกํ ได้แก่สัตวโลก. บทว่า ปาเลนฺติ
ได้แก่ วางขอบเขตรักษาด้วยการรองรับไว้ ทรงไว้.
ในบทว่า หิริ จ โอตฺตปฺปญฺจ นี้พึงทราบอธิบายดังต่อไปนี้
ชื่อว่า หิริ เพราะอันเขาละอาย. หรือชื่อว่า หิริ เพราะเป็นเหตุละอาย.
แม้ข้อนี้ท่านก็กล่าวไว้ว่า ข้อที่อันบุคคลละอายด้วยสิ่งที่ควรละอาย คือ ละอาย
ต่อความเกิดแห่งอกุศลธรรมอันลามก ท่านเรียกว่า หิริ. ชื่อว่า โอตตัปปะ
เพราะกลัว. หรือชื่อว่า โอตตัปปะ เพราะเป็นเหตุกลัว. แม้ข้อนี้ท่านก็กล่าว
ไว้ว่า ข้อที่กลัวสิ่งที่ควรกลัว คือ กลัวต่อความเกิดแห่งอกุศลธรรมอันลามก
ท่านเรียกว่า โอตตัปปะ.

ในหิริและโอตตัปปะนั้น หิริ เกิดขึ้นในภายใน โอตตัปปะเกิดขึ้น
ในภายนอก. หิริ ถือตนเป็นใหญ่ โอตตัปปะถือโลกเป็นใหญ่. หิริตั้งอยู่ใน
ความละอายเป็นสภาพ. โอตตัปปะตั้งอยู่ในความกลัวเป็นสภาพ. หิริ มีลักษณะ
ยำเกรง. โอตตัปปะ มีลักษณะเห็นภัยอันเป็นโทษที่น่ากลัว.
ในหิริและโอตตัปปะนั้น หิริ เกิดขึ้นในภายในย่อมเกิดด้วยเหตุ 4
อย่าง คือ นึกถึงชาติ นึกถึงวัย นึกถึงความเป็นผู้กล้า นึกถึงความเป็น
ผู้คงแก่เรียน
ถามว่า อย่างไร. ตอบว่า บุคคลนึกถึงชาติอย่างนี้ก่อนว่า ชื่อ
ว่าการกระทำความชั่วนี้ ไม่ใช่เป็นการกระทำของตนผู้มีชาติเจริญ เป็นการ
กระทำของชาวประมงเป็นต้น ผู้มีชาติต่ำ ผู้เจริญด้วยชาติเช่นท่านไม่ควรกระ
ทำกรรมนี้ ดังนี้ แล้วไม่กระทำกรรมชั่ว เกิดหิริขึ้น. อนึ่ง นึกถึงวัยอย่าง
นี้ว่า ชื่อว่า การกระทำกรรมชั่วนี้เป็นกรรมที่คนหนุ่ม ๆ ควรกระทำ คนที่
ตั้งอยู่ในวัยเช่นท่านไม่ควรทำกรรมนี้ แล้วไม่กระทำกรรมชั่วมีปาณาติบาต
เป็นต้นเกิดหิริขึ้น. อนึ่ง นึกถึงความเป็นผู้กลัวอย่างนี้ว่า ชื่อว่า การกระทำ
ความชั่วนี้เป็นการกระทำของผู้ที่มีกำลังอ่อนแอ ผู้ที่สมบูรณ์ด้วยกำลังเช่นท่าน
ไม่ควรกระทำกรรมนี้ ดังนี้แล้ว ไม่กระทำกรรมชั่วมีปาณาติบาตเป็นต้น เกิด
หิริขึ้น. อนึ่ง นึกถึงความเป็นผู้คงแก่เรียนอย่างนี้ว่า ชื่อว่าการกระทำความ
ชั่วนี้เป็นการกระทำของอันธพาล. มิใช่เป็นการกระทำของบัณฑิต ผู้เป็น
บัณฑิตคงแก่เรียนเช่นท่านไม่ควรกระทำกรรมนี้ ดังนี้แล้ว ไม่กระทำความชั่วมี
ปาณาติบาตเป็นต้น เกิดหิริขึ้น. บุคคลยังหิริอันเกิดในภายในให้เกิดขึ้นด้วย
เหตุ 4 ประการอย่างนี้ ก็และครั้นให้เกิดแล้ว พิจารณาถึงหิริในจิตของตน
แล้วไม่กระทำกรรมชั่ว. หิริ ชื่อว่าเกิดขึ้นในภายในด้วยประการฉะนี้.
ถามว่า โอตตัปปะ ชื่อว่า เกิดในภายนอกเป็นอย่างไร. ตอบว่า
บุคคลนึกอยู่ว่า หากว่าท่านจักกระทำกรรมชั่วนั้น ท่านจักได้รับความติเตียน
ในบริษัท 4

วิญญูชนทั้งหลาย จักติเตียนท่าน
เหมือนชาวเมือง รังเกียจของสกปรก ท่าน
ถูกผู้มีศีลกำจัดเสียแล้ว จักเป็นภิกษุอยู่ได้
อย่างไร ดังนี้

ย่อมไม่กระทำกรรมชั่ว ด้วยโอตตัปปะอันเกิดแล้วในภายนอก. โอตตัปปะ
ชื่อว่า ตั้งขึ้นในภายนอก ด้วยประการฉะนี้.
ถามว่า หิริ ชื่อว่า ถือตนเป็นใหญ่เป็นอย่างไร. ตอบว่า กุลบุตร
บางคนในโลกนี้ กระทำตนให้เป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า แล้วไม่ทำกรรมชั่ว ด้วย
เห็นว่า ผู้บวชด้วยศรัทธาเป็นผู้คงแก่เรียน ผู้กล่าวสอนธุดงค์ เช่นท่านไม่ควร
ทำกรรมชั่ว ดังนี้. หิริ ชื่อว่า ถือคนเป็นใหญ่ ด้วยประการฉะนี้. ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า โส อตฺตานํเยว อธิปตึ กตฺวา อกุสลํ
ปชหติ กุสลํ ภาเวติ สาวชฺชํ ปชหติ อนวชฺชํ ภาเวติ สทฺธมตฺตานํ
ปริหรติ
ความว่า บุคคลนั้นนึกทำตนเป็นใหญ่ แล้วละอกุศล เจริญกุศล
ละสิ่งมีโทษ เจริญสิ่งไม่มีโทษ รักษาตนให้บริสุทธิ์ ดังนี้.
ถามว่า โอตตัปปะ ชื่อว่า ถือโลกเป็นใหญ่ เป็นอย่างไร. ตอบว่า
กุลบุตรบางคนในโลกนี้ นึกถึงโลกเป็นใหญ่เป็นผู้เจริญ แล้วไม่กระทำความชั่ว.
ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า โลกสันนิวาสนี้ใหญ่นักแล ในโลกสันนิวาสใหญ่มี
สมณพราหมณ์ ผู้มีฤทธิ์ มีทิพยจักษุ รู้จิตของผู้อื่น ท่านเหล่านั้นย่อมเห็น
แต่ไกล ไม่เห็นแม้ในที่ใกล้ ย่อมรู้จิตด้วยจิต ท่านเหล่านั้นก็จักประกาศให้รู้
จักเรา อย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงดูกุลบุตรนี้ เขามีศรัทธาออกบวชแล้วยัง
เกลือกกลั้วด้วยอกุศลธรรมอันลามกอยู่อีก ดังนี้. มีเทวดาผู้มีฤทธิ์ มีทิพยจักษุ
รู้จิตของผู้อื่น เทวดาเหล่านั้นย่อมเห็นแม้แต่ไกล เขาไม่ปรากฏแม้ในที่ใกล้
ย่อมรู้จิตด้วยจิต เทวดาเหล่านั้นก็จักประกาศให้รู้จักเราอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย

จงดูกุลบุตรนี้มีศรัทธาออกบวช แล้วยังเกลือกกลั้วด้วยอกุศลธรรมอันลามก
อยู่อีกดังนี้ กุลบุตรนั้นกระทำโลกให้เป็นใหญ่ แล้วจึงละอกุศล ดังนี้.
โอตตัปปะถือโลกเป็นใหญ่ ด้วยประการฉะนี้.
ในบทว่า สชฺชาสภาวสณฺฐิตา นี้ พึงทราบอธิบายดังต่อไปนี้
อาการแห่งความละอายชื่อว่า ลชฺชา. หิริตั้งอยู่โดยสภาพนั้น ความกลัวใน
อบายชื่อว่า ภัย. โอตตัปปะตั้งอยู่โดยสภาพนั้น ทั้งสองอย่างนั้นเป็นอันปรากฏ
ในการเว้นจากความชั่ว.
ในหิริและโอตตัปปะนั้น มีวินิจฉัยว่า เหมือนอย่างว่า ก้อนเหล็ก 2
ก้อน ก้อนหนึ่งแม้เย็นก็เปื้อนคูถ ก้อนหนึ่งร้อนจัด ใน 2 ก้อนนั้น วิญญูชน
เกลียดก้อนที่เย็นเพราะเปื้อนคูถ จึงไม่จับ อีกก้อนหนึ่งไม่จับเพราะกลัว
ความร้อน ฉันใด บัณฑิตเกลียด ไม่ทำความชั่วเพราะละอาย กลัวอบาย
ไม่ทำความชั่วเพราะเกรงกลัว ก็ฉันนั้น. หิริตั้งอยู่ในสภาพแห่งความละอาย
โอตตัปปะตั้งอยู่ในสภาพแห่งความกลัว.
ถามว่า หิริ มีลักษณะยำเกรง โอตตัปปะมีลักษณะเห็นภัยอันเป็นโทษ
ที่น่ากลัวนั้นอย่างไร. ตอบว่า จริงอยู่ บุคคลบางคนยังหิริอันมีลักษณะยำเกรง
ให้เกิดขึ้น ด้วยเคารพในผู้นั้น โดยอาการ 4 อย่าง คือ นึกถึงความเป็นใหญ่
โดยชาติ 1 นึกถึงความเป็นใหญ่โดยเป็นผู้สอน 1 นึกถึงความเป็นใหญ่ใน
มรดก 1 นึกถึงความเป็นใหญ่ในทางประพฤติพรหมจรรย์ 1 แล้วไม่ทำ
ความชั่ว. บางคนกลัวโดยความเป็นโทษ ด้วยเหตุ 4 อย่าง คือ อัตตานุวาทภัย
(กลัวถูกติเตียนตน) 1 ปรานุวาทภัย (กลัวผู้อื่นติเตียน) 1 ทัณฑภัย (กลัวถูก
ลงอาญา) 1 ทุคติภัย (กลัวตกนรก) 1 แล้วเกิดโอตตัปปะอันมีลักษณะ
เห็นภัย อันมีโทษน่ากลัว แล้วจึงไม่ทำกรรมชั่ว. อนึ่ง ในข้อนี้เมื่อท่านกล่าว
ถึงหิริโอตตัปปะ อันเกิดในภายในเป็นต้น โดยความเป็นสิ่งปรากฏในที่นั้น ๆ

บางครั้งหิริโอตตัปปะนั้นไม่พรากจากกันและกันเลย. เพราะความละอายไม่มี
กลัวย่อมมีไม่ได้ หรือความกลัวต่อบาปไม่มี ความละอายย่อมมีไม่ได้ ด้วย
ประการฉะนี้.
บทว่า อิเม เจ ภิกฺขเว เทฺว สุกฺกา ธมฺมา โลกํ น ปาเลยฺยุํ
ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผิว่า ธรรมไม่มีโทษ 2 อย่างเหล่านี้ ไม่พึง
รักษาโลก คือ ผิว่า ธรรมรักษาโลกไม่พึงมี. บทว่า นยิธ ปญฺญาเยถ
มาตา
ความว่า ในโลกนี้มารดาผู้บังเกิดเกล้า ก็จะไม่พึงปรากฏด้วยความ
เคารพว่า นี้มารดาของเรา ดังนี้ คือ ไม่พึงได้ชื่อว่า นี้เป็นมารดา. แม้ใน
บทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า มาตุจฺฉา ได้แก่ น้า. บทว่า มาตุลานี
ได้แก่ ภรรยาของลุง (ป้า). บทว่า ครูนํ ได้แก่ ผู้อยู่ในฐานะควรเคารพ
มีลุง อา และพี่ชายใหญ่เป็นต้น. บทว่า สมฺเภทํ ได้แก่ ปะปนกันหรือ
ทำลายมารยาทอันดี. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงข้ออุปมา ด้วยบทเป็นต้นว่า
ยถา อเชฬกา ดังนี้. จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมไม่รู้ด้วยความเคารพ
ยำเกรงว่า นี้มารดาของเรา หรือน้าของเรา ดังนี้ . สัตว์ทั้งหลายย่อมปฏิบัติผิด
แม้ในวัตถุที่อาศัยเกิด. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงนำการ
เปรียบเทียบมา จึงได้นำแพะและแกะเป็นต้นมา. ความย่อในข้อนี้มีดังนี้.
สัตว์เดียรัจฉานทั้งหลายมีแพะแกะเป็นต้น เว้นจากหิริและโอตตัปปะ ไม่สำคัญ
มารดาเป็นต้น ทำลายประเพณีสมสู่กันได้ทุกหนแห่ง ฉันใด มนุษยโลกนี้
ก็ฉันนั้น ผิว่า ไม่มีธรรมคุ้มครองโลก ก็จะพึงสมสู่กันได้ทุกหนทุกแห่ง.
เพราะธรรมคุ้มครองโลกเหล่านี้ ยังคุ้มครองโลกอยู่ ฉะนั้น จึงไม่มีการสมสู่กัน
ด้วยประการฉะนี้.

ในคาถาทั้งหลายมีอธิบายดังต่อไปนี้. บทว่า เว ในบทว่า เยสํ เว
หิริโอตฺตปฺปํ
เป็นเพียงนิบาต. ความว่า สัตว์เหล่าใดไม่มี คือ ไม่ได้เข้าถึง
หิริและโอตตัปปะ ในกาลทุกเมื่อ คือตลอดกาล. บทว่า โวกฺกนฺตา สุกฺกมูลา
เต
ความว่า สัตว์เหล่านั้นก้าวล่วง คือพ้นจากกุศล เพราะทำกรรมอันตัดขาด
กุศลมูล หรือเพราะไม่มีหิริและโอตตัปปะอันเป็นที่ตั้งแห่งกุศลกรรม มีสุก-
ธรรมไปปราศแล้ว ก้าวล่วงแล้ว เป็นผู้ถึงชาติและมรณะ เพราะมีสภาพเกิด
ตายบ่อย ๆ ย่อมไม่พ้นสงสารไปได้.
บทว่า เยสญฺจ หิริโอตฺตปฺปํ ความว่า ก็สัตว์เหล่าใดเข้าไปตั้ง
ธรรมเหล่านี้ คือ หิริและโอตตัปปะไว้โดยชอบ ในกาลเป็นนวกะ มัชฌิมะ
และเถระตลอดวันตลอดคืนในกาลทุกเมื่อ คือ ตลอดกาล สัตว์เหล่านั้นเกลียด
กลัว ละบาป ด้วยตทังคปหานเป็นต้น. บทว่า วิรุฬฺหพฺรหฺมจริยา ความว่า
สัตว์เหล่านั้นถึงความงอกงาม ด้วยศาสนพรหมจรรย์ และมรรคพรหมจรรย์
เป็นผู้สงบเพราะสงบกิเลส หรือมีคุณคือความสงบโดยประการทั้งปวง ด้วย
การบรรลุมรรคชั้นสูง เป็นผู้มีภพใหม่สิ้นแล้ว เพราะความสิ้นภพใหม่
จบอรรถกถาธรรมสูตรที่ 5

6. อชาตสูตร


ว่าด้วยการไม่เกิดอีกเป็นสุขในโลก


[221] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อัน