เมนู

คือ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ภิกษุเช่นนั้นมีกาย
ถูกไฟ คือ ความทุกข์แผดเผาอยู่ มีใจ
ถูกไฟ คือ ความทุกข์แผดเผาอยู่ ย่อมอยู่
เป็นทุกข์ทั้งกลางวันกลางคืน.

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบปฐมภิกขุสูตรที่ 1

ทุกนิบาตวรรณนา


อรรถกถาปฐมภิกขุสูตร


ในปฐมภิกษุสูตรที่ 1 แห่งทุกนิบาต พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ทฺวีหิ ได้แก่ กำหนดจำนวน. บทว่า ธมฺเมหิ ได้แก่
ชี้แจงจำนวนที่กำหนดไว้. บทว่า ทฺวีหิ ธมฺเมหิ ได้แก่ ด้วยอกุศลธรรม
2 ประการ. บทว่า สมนฺนาคโต คือ ประกอบแล้ว. บทว่า ทิฏฺเฐว ธมฺเม
ได้แก่ ในอัตภาพนี้เท่านั้น. บทว่า ทุกฺขํ วิหรติ ได้แก่ อยู่เป็นทุกข์ใน
อิริยาบถแม้ 4 ด้วยทุกข์เพราะกิเลส และด้วยทุกข์ทางกาย ทางใจ. บทว่า
สวิฆาตํ ได้แก่ มีความเดือนร้อน ด้วยกิเลสอันเข้าไปทำร้ายทางใจและ
ทางกาย. บทว่า สอุปายาสํ ได้แก่มีความคับแค้น ด้วยความคับแค้นเพราะ
กิเลส ด้วยความเดือดร้อนทางร่างกาย และด้วยความลำบากเหลือกำลัง. บทว่า
สปริฬาหํ ได้แก่ มีความเร่าร้อน ด้วยความเผาของกิเลส ด้วยความเร่าร้อน

เพราะกิเลส และด้วยความเร่าร้อนทางกาย. บทว่า กายสฺส เภทา ได้แก่
ทั้งขันธ์อันมีวิญญาณ (ตาย). บทว่า ปรมฺมรณา ได้แก่ ในการยึดขันธ์
อันเกิดแล้วในระหว่างนั้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า กายสฺส เภทา ได้แก่
เพราะขาดชีวิตินทรีย์. บทว่า ปรมฺมรณา ได้แก่หลังจากจุติ. บทว่า ทุคฺคติ
ปาฏิกํขา
ได้แก่ พึงปรารถนาคติอย่างใดอย่างหนึ่ง ของอบาย 4 อันได้แก่
ทุคติ. อธิบายว่า มีส่วนแน่นอน.
บทว่า อคุตฺตทฺวาโร ได้แก่ ไม่สำรวมทวาร. แต่ในบางแห่ง
อาจารย์กล่าวว่า บทว่า อคุตฺตทฺวาโร ได้แก่ ในอินทรีย์ทั้งหลาย. อาจารย์
กล่าวถึงความไม่สำรวมอินทรีย์ อันมีใจเป็นที่ 6 ด้วยบทนั้น. ชื่อว่า ไม่รู้
ประมาณในโภชนะ เพราะไม่รู้ประมาณในโภชนะด้วยการรับและการบริโภค.
เกจิอาจารย์กล่าวว่า เพราะความเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย
เพราะความเป็นผู้ไม่รู้จักประมาณในโภชนะบ้าง.
ถามว่า ความเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวารในอีนทรีย์ทั้งหลายเป็นอย่างไร
หรือความเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายเป็นอย่างไร. ตอบว่า เพราะ
ไม่มีความสำรวม หรือความไม่สำรวมในจักขุนทรีย์โดยแท้. ด้วยว่าสติก็ดี
ความไร้สติก็ดี หาได้เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักขุประสาทไม่. อันทีจริง ขณะใด
รูปารมณ์มาสู่ครองจักษุ ขณะนั้น เมื่อภวังค์เกิดขึ้น 2 ครั้งแล้วดับไป กิริยา-
มโนธาตุยังอาวัชชนกิจให้สำเร็จ เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป จากนั้นจักขุวิญญาณ
ทำหน้าที่เห็น จากนั้นวิปากมโนธาตุ ทำหน้าที่รับ จากนั้นวิปากาเหตุกมโน-
วิญญาณธาตุ ทำหน้าที่พิจารณา จากนั้นกิริยาเหตุกมโนวิญญาณธาตุ ยัง
โวฏฐัพพนกิจ (กำหนดอารมณ์) ให้สำเร็จ เกิดแล้วย่อมดับไป ในระหว่างนั้น
ชวนจิต ย่อมแล่นไป. ในชวนะนั้น ความสำรวมก็ดี ความไม่สำรวมก็ดี
ย่อมมีในสมัยแห่งภวังค์ก็หามิได้ ในสมัยแห่งอาวัชชนะเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง

ก็หามิได้. ก็ในขณะแห่งชวนจิต หากว่า ความเป็นผู้ทุศีลก็ดี ความไร้สติก็ดี
ความไม่รู้ก็ดี ความไม่อดทนก็ดี ความเกียจคร้านก็ดี ย่อมเกิดขึ้น ย่อมไม่มี
ความสำรวม ภิกษุนั้นแม้เป็นอยู่อย่างนี้ ท่านก็กล่าวว่า เป็นผู้ไม่สำรวมใน
จักขุทวาร. ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะเมื่อไม่มีความสำรวมนั้น
แม้ทวารก็ไม่เป็นอันคุ้มครอง แม้ภวังค์ก็ไม่เป็นอันคุ้มครอง แม้วิถีจิตมี
อาวัชชนะเป็นต้น ก็ไม่เป็นอันคุ้มครอง. ถามว่า เหมือนอย่างไร. ตอบว่า
เหมือนเมื่อประตู 4 ประตูในเมืองไม่ปิด ประตูเรือน ซุ้มประตูและห้องเป็นต้น
ภายในปิดอย่างดีแล้วก็จริง แม้กระนั้น สิ่งของทั้งหมดภายในเมืองก็เป็นอันชื่อ
ว่าไม่รักษา ไม่คุ้มครองเลย โจรทั้งหลายเข้าไปทางประตูเมือง ปรารถนาสิ่งใด
ก็พึงนำสิ่งนั้นไป ฉันใด เมื่อความเป็นผู้ทุศีลเป็นต้น เกิดขึ้นในชวนจิต
เมื่อไม่มีการสำรวม แม้ทวารก็ไม่เป็นอันคุ้มครอง แม้ภวังค์ก็ไม่เป็นอัน
คุ้มครอง แม้วิถีจิตมีอาวัชชนะเป็นต้น ก็ไม่เป็นอันคุ้มครอง. แม้เมื่อไม่มี
การไม่สำรวมนั้น เมื่อศีลเป็นต้นเกิดขึ้นแล้วในชวนจิต แม้ทวารก็เป็นอัน
คุ้มครอง แม้ภวังค์ก็เป็นอันคุ้มครอง แม้วิถีจิตมีอาวัชชนจิตเป็นต้น ก็เป็น
อันคุ้มครอง. ถามว่า เหมือนอย่างไร. ตอบว่า เหมือนเมื่อประตูเมืองปิด
ดีแล้ว ประตูเรือนเป็นต้นภายในไม่ปิด ก็จริง ถึงกระนั้น สิ่งของทั้งหมด
ภายในเมืองก็ชื่อว่า เป็นอันรักษาดีแล้ว เป็นอันคุ้มครองดีแล้วทีเดียว ก็เมื่อ
ประตูเมืองปิดแล้ว โจรทั้งหลายก็เข้าไปไม่ได้ ฉันใด เมื่อศีลเป็นต้นเกิดขึ้น
แล้วในชวนจิต แม้ทวารก็เป็นอันคุ้มครอง แม้ภวังค์ก็เป็นอันคุ้มครอง แม้
วิถีจิตมีอาวัชชนะเป็นต้นก็เป็นอันคุ้มครอง ฉันนั้นนั่นแล. ฉะนั้น ความไม่
สำรวมแม้เกิดขึ้นในขณะแห่งชวนจิต ท่านก็กล่าว สำรวมในจักขุทวาร. แม้
ในทวารที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. พึงทราบความเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวารใน

อินทรีย์ทั้งหลาย และความเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ด้วย
ประการฉะนี้.
ถามว่า ก็ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้ไม่รู้จักประมาณในโภชนะเป็นอย่างไร
หรือชื่อว่าเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะเป็นอย่างไร. ตอบว่า ก็บุคคลใดเป็น
ผู้มีความอยากมาก ไม่รู้จักประมาณในการรับ บุคคลผู้มีความอยากมากนั้นก็
เหมือนพ่อค้าเร่หิ้วเครื่องประดับ และสิ่งของไปแล้วเก็บสิ่งที่ควรเก็บไว้ในพก
แล้วตะโกนบอกแก่มหาชนผู้เห็นอยู่ว่า พวกท่านจงเอาสิ่งโน้น จงเอาสิ่งโน้น ดังนี้
ฉันใด บุคคลยกย่องศีลก็ดี คัมภีร์ก็ดี คุณของธุดงค์ก็ดี ของตนแม้มีประมาณ
น้อยโดยที่สุดแม้เพียงการอยู่ป่าแก่มหาชนผู้รู้อยู่ ก็และครั้นยกย่องแล้ว เมื่อเขา
เอาเกวียนขนปัจจัยนำเข้าไป ก็ไม่พูดว่า พอละ ยังรับอีก ฉันนั้นเหมือนกัน.
เพราะว่า บุคคลไม่อาจให้สิ่ง 3 อย่างเต็มได้ คือ ไฟเต็มด้วยเชื้อ มหาสมุทร
เต็มด้วยน้ำ คนมีความอยากมาก เต็มด้วยปัจจัย.
กองไฟ มหาสมุทร และบุคคลผู้มี
ความอยากมากทั้ง 3 นี้ ไม่เต็มด้วยปัจจัย
เป็นอันมาก.

ด้วยว่าบุคคลผู้มีความอยากมาก ไม่สามารถยึดเหนี่ยวน้ำใจแม้ของ
มารดาผู้บังเกิดเกล้าได้. เพราะบุคคลเห็นปานนี้ ย่อมยังลาภอันยังไม่เกิด
ไม่ให้เกิดขึ้น และย่อมเสื่อมจากลาภอันเกิดขึ้นแล้ว ดังนี้. จะพูดถึงผู้ไม่รู้จัก
ประมาณในการรับก่อน. ผู้ใดปรารถนา อยาก ต้องการ อาหารแม้ได้แล้ว
โดยธรรมโดยเสมอ ไม่เป็นผู้เห็นโทษ ไม่มีปัญญาเป็นเครื่องออกไป บริโภค
เต็มท้อง ตามความต้องการ โดยไม่แยบคาย โดยไม่ใช่อุบาย ดุจอาหาร-
หัตถกพราหมณ์ อลังสาฏกพราหมณ์ ตัตถวัฏฏกพราหมณ์ กากมาสกพราหมณ์
และภุตตวัมมิกพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง เป็นผู้มุ่งเอาแต่ความสุขในการนอน

สุขในการพิง สุขในการหลับ นี้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่รู้จักประมาณในการบริโภค.
ก็ผู้ใดเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ ด้วยสามารถแห่งการรู้ประมาณในการรับ
ที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า แม้หากว่าไทยธรรมมีมาก ผู้ให้ประสงค์จะให้น้อย
ผู้รับย่อมรับน้อยตามความประสงค์ของผู้ให้ ไทยธรรมมีน้อยผู้ให้ประสงค์จะ
ให้มาก ผู้รับย่อมรับแต่น้อย ด้วยอำนาจของไทยธรรม ไทยธรรมมีมาก
แม้ผู้ให้ก็ประสงค์จะให้มาก ผู้รับรู้กำลังของตน ย่อมรับแต่พอประมาณเท่านั้น
และการรู้ประมาณในการบริโภค อันได้แก่การพิจารณา ที่ท่านกล่าวโดย
นัยมีอาทิว่า พิจารณาอาหารในอาหารโดยแยบคาย ไม่บริโภคเพื่อเล่น เพื่อ
มัวเมา ดังนี้ และโดยนัยมีอาทิว่า ก็ครั้นได้แล้วไม่ปรารถนา ไม่อยาก ไม่
ต้องการบิณฑบาต เป็นผู้เห็นโทษ มีปัญญาเป็นเครื่องออกไป บริโภคแล้วรู้
ด้วยปัญญาเครื่องพิจารณา แล้วจึงบริโภคอาหารดังนี้ นี้ชื่อว่าเป็นผู้รู้ประมาณ
ในโภชนะ. พึงทราบว่า ภิกษุเป็นผู้ไม่รู้ประมาณและเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ
อย่างนี้.
พึงทราบความในคาถาทั้งหลายต่อไปนี้. ในบททั้งหลายมี จกฺขุํ
เป็นต้น พึงทราบเนื้อความต่อไปนี้. ชื่อว่า จักษุ เพราะอรรถว่า เห็น.
อธิบายว่า พอใจรูปหรือดุจบอกถึงความสมและไม่สม. ชื่อว่า โสต เพราะ
อรรถว่า ย่อมฟัง. ชื่อ ฆานะ เพราะว่าอรรถ ดมกลิ่น. ความเป็นอยู่มีชีวิต
เป็นนิมิต มีอาหารเป็นรส. ชื่อว่า ชิวหา เพราะอรรถว่า เรียกหาความ
เป็นอยู่นั้น. ชื่อว่า กาย เพราะอรรถว่า เจริญด้วยความน่าเกลียด. ชื่อว่า
มนะ เพราะอรรถว่า รู้คือรู้แจ้ง. โบราณาจารย์กล่าวว่าชื่อว่า มนะ เพราะ
อรรถว่า ย่อมรู้. อธิบายว่า ย่อมรู้อารมณ์ดุจตวงด้วยทะนาน และดุจชั่งด้วย
น้ำหนัก. พึงทราบเนื้อความแห่งบทในสูตรนี้ เพียงนี้ก่อน.

ก็โดยความเป็นจริง จักษุมีสองอย่างคือ มังสจักษุ (ตาเนื้อ) 1 ปัญญา
จักษุ (ตาปัญญา) 1. ในจักษุสองอย่างนั้น ปัญญาจักษุมี 5 อย่างคือ พุทธ-
จักษุ 1 สมันตจักษุ 1 ญาณจักษุ 1 ทิพยจักษุ 1 ธรรมจักษุ 1.
ในจักษุห้าอย่างนั้น ชื่อ พุทธจักษุในพุทธวจนะว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง-
หลาย เราตรวจดูสัตวโลกได้เห็นแล้วแล ดังนี้เป็นต้น. ชื่อว่า สมันตจักษุใน
บทว่า สัพพัญญุตญาณท่านเรียกว่า สมันตจักษุ. ชื่อว่า ญาณจักษุในบทว่า
จักษุเกิดขึ้นแล้ว ดังนี้เป็นต้น. ชื่อทิพยจักษุในพุทธวจนะว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย เราได้เห็นแล้วด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ดังนี้เป็นต้น. ชื่อธรรมจักษุ
ได้แก่ มรรค 3 เบื้องต้นในบทว่า ธรรมจักษุปราศจากธุลี ปราศจากความ
เศร้าหมอง ได้เกิดขึ้นแล้วดังนี้เป็นต้น . แม้มังสจักษุก็มีสองอย่าง คือ สสัมภาร-
จักษุ 1 ปสาทจักษุ 1. ในมังสจักษุสองอย่างนั้น ก้อนเนื้อตั้งอยู่ในเบ้าตา
กำหนดด้วยเบ้าตาทั้งสองข้าง คือ ด้วยกระดูกเบ้าตาชั้นล่าง ด้วยกระดูกคิ้วชั้น
บน ด้วยสมองศีรษะภายใน ด้วยขนตาภายนอก โดยย่อมีสัมภาระ 14 อย่าง
คือ ธาตุ 4 วัณณะ คันธะ รสะ โอชา สัมภว สัณฐาน ชีวิต ภาวะ
กายปสาท จักขุปสาท โดยพิสดารมีสัมภาระ 44 อย่าง ด้วยสามารถแห่งรูป
4 เหล่านี้ คือรูป 40 เพราะสัมภาระ 10 เหล่านี้คือ ธาตุ 4 วัณณะ
คันธะ รส โอชา สัณฐาน สัมภวะ อันอาศัยธาตุ 4 นั้นแต่ละอย่างมีธาตุ 4
เป็นสมุฏฐาน สัมภาระ 4 คือ ชีวิต ภาวะ กายปสาท จักขุปสาท มีกรรมเป็น
สมุฏฐานโดยส่วนเดียวเท่านั้น เมื่อสัตวโลกรู้ว่า จักษุ ขาว กลม หนา
สะอาด ไพบูล กว้างดังนี้ ชื่อว่า ย่อมไม่รู้จักษุ ย่อมรู้วัตถุ โดยความเป็น
จักษุก้อนเนื้อตั้งอยู่ที่เบ้าตาเกี่ยวพันถึง สมอง ศีรษะด้วยด้ายคือเอ็นอันมีสีขาว
บ้าง ดำบ้าง แดงบ้าง เป็นดิน น้ำ ไฟ ลมบ้าง ที่เป็นสีขาว เพราะมี

เสหะมาก ที่มีสีดำเพราะดีกำเริบ ที่มีสีแดงเพราะเลือดคั่ง เป็นดังถนนเพราะ
มากด้วยธาตุดิน ชื่อว่าย่อมไหลออกเพราะมากด้วยธาตุน้ำ ว่าย่อมแผดเผา
เพราะมากด้วยธาตุไฟ ชื่อว่าย่อมหมุนไปมา เพราะมากด้วยธาตุลม นี้ชื่อว่า
สสัมภารจักษุ. ประสาทอาศัยมหาภูตรูป 4 ผูกพันในจักษุนี้ ชื่อ ปสาทจักษุ.
จริงอยู่ ปสาทจักษุนี้ย่อมเป็นไปโดยความเป็นวัตถุทวาร ตามสมควรแก่จักษุ
วิญญาณเป็นต้น .
แม้ในโสตะเป็นต้นพึงทราบความดังต่อไปนี้. โสตะมี 2 อย่าง คือ
ทิพยโสตะ 1 มังสโสตะ 1. ในโสตะ 2 อย่างนี้ ได้ยินเสียงทั้งสองด้วย
โสดธาตุอันเป็นทิพย์ บริสุทธิ์ล่วงเกินมนุษย์ นี้ชื่อว่า ทิพยโสตะ. ทั้งหมด
มีอาทิว่า มังสโสตะมี 2 อย่างคือ สสัมภารโสตะ 1 ปสาทโสตะ 1 พึงทราบ
โดยนัยที่กล่าวแล้วในจักษุ. มานะและชิวหาก็เหมือนกัน. แต่กายมีหลายอย่าง
เป็นต้นว่า โจปนกาย กรชกาย สมูหกาย ปสาทกาย. ในกายเหล่านั้น
กายนี้ คือ
ผู้มีปัญญา สำรวมกาย และสำรวม
วาจา ชื่อว่า โจปนกาย.

นิรมิตกายอื่นจากกายนี้ ชื่อ กรชกาย. แต่สมูหกายมีหลายอย่างมาแล้ว
ด้วยสามารถแห่งหมู่วิญญาณเป็นต้น. จริงอย่างนั้น ท่านกล่าวหมู่วิญญาณไว้ใน
บทมีอาทิว่า ดูก่อนอาวุโส หมู่วิญญาณเหล่านี้มี 6 อย่าง ดังนี้. ท่านกล่าว
ถึงหมู่ผัสสะเป็นต้น ในบทมีอาทิว่า หมู่ผัสสะ 6 อย่าง ดังนี้. อนึ่ง ท่านกล่าว
เวทนาขันธ์เป็นต้น ในบทมีอาทิว่า กายปัสสัทธิ (ความสงบกาย) กายลหุตา
(ความเบากาย). ท่านกล่าวหมู่ปฐวีธาตุเป็นต้น โดยนัยมีอาทิว่า บุคคลบางคน
ในโลกนี้ ย่อมพิจารณาเห็นปฐวีกาย อาโปกาย เตโชกาย วาโยกาย เกสกาย
โลมกาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ดังนี้. ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย

ชื่อว่า ปสาทกาย. พึงทราบปสาทกายแม้ในบทนี้ต่อไป. จริงอยู่ ปสาทกายนั้น
ย่อมเป็นไปโดยความเป็นวัตถุทวารตามสมควรแก่กายวิญญาณเป็นต้น. ก็วิญ-
ญาณทั้งหมดที่เรียกว่า มโน ก็จริง แม้ถึงอย่างนั้น พึงทราบว่า ภวังค์
พร้อมด้วยอาวัชชนะเป็นทวาร เพราะในที่นี้ท่านประสงค์เอาความเป็นทวาร.
บทว่า เอตานิ ยสฺส ทฺวารานิ อคุตฺตานิ จ ภิกฺขุโน ความว่า
ภิกษุใดไม่ปิดทวารอันมีใจเป็นที่ 6 เหล่านี้ด้วยประตู คือ สติ เพราะถึงความ
ประมาทโดยปราศจากสติ. บทว่า โภชนมฺหิ ฯเปฯ อธิคจฺฉติ ความว่า
ภิกษุนั้น ไม่รู้ประมาณในโภชนะตามนัยที่กล่าวแล้ว และเว้นการสำรวมใน
อินทรีย์ทั้งหลาย ย่อมถึงความทุกข์ด้วยประการทั้งปวง คือ ทุกข์กาย ใน
ปัจจุบันด้วยโรคเป็นต้น และในภพหน้าต้องเข้าถึงทุคติ ทุกข์ใจ ด้วยถูกกิเลส
มีราคะเป็นต้นแผดเผา และด้วยความริษยาและความแค้น. เพราะเป็นอย่างนั้น
ฉะนั้น บุคคลเช่นนั้นมีกายถูกไฟทุกข์แผดเผา มีใจถูกไฟทุกข์แผดเผาทั้งใน
โลกนี้และในโลกหน้า ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ตลอดกาลเป็นนิจทั้งกลางวันทั้งกลางคืน
ไม่มีอยู่อย่างเป็นสุข ไม่จำต้องพูดถึงในการไม่ล่วงทุกข์ในวัฏฏะกันละ.
จบอรรถกถาปฐมภิกขุสูตรที่ 1

2. ทุติยภิกขุสูตร


ว่าด้วยผู้ประกอบด้วยธรรม 2 ประการอยู่เป็นสุข


[207] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 2 ประการ ย่อมอยู่