เมนู

ภิกษุใดผู้มีมิตรดี มีความยำเกรง
ความเคารพ กระทำตามคำของมิตรดี
ทั้งหลาย มีสติสัมปชัญญะ ภิกษุนั้นพึง
บรรลุธรรม อันเป็นที่สิ้นไปแห่งสังโยชน์
ทั้งปวงโดยลำดับ.

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบทุติยเสขสูตรที่ 7

อรรถกถาทุติยเสขสูตร


ในทุติยเสขสูตรที่ 7 พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ต่อไปนี้ :-
บทว่า พาหิรํ ได้แก่ เหตุที่มี ณ ภายนอก จากสันดานในภายใน.
บทว่า กลฺยาณมิตฺตตา ได้แก่บุคคลผู้ที่สมบูรณ์ด้วยคุณมีศีลเป็นต้น เป็นผู้
กำจัดความชั่วร้าย เป็นผู้ส่งเสริมประโยชน์ เป็นมิตรมีอุปการะทุกสิ่งทุกอย่าง
ชื่อว่า เป็นกัลยาณมิตร. ความเป็นกัลยาณมิตรนั้นชื่อว่า กลฺยาณมิตฺตตา.
ในบทว่า กลฺยาณมิตฺตตา นั้นมีอธิบายดังนี้ ตามปกติกัลยาณมิตร
นี้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วย ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา.
กัลยาณมิตรเพราะถึงพร้อมด้วยศรัทธา ย่อมเชื่อการตรัสรู้ของพระตถาคต
ย่อมไม่สละการแสวงหาประโยชน์สุขในสัตว์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น เพราะเหตุการ
ตรัสรู้ชอบนั้น เพราะถึงพร้อมด้วยศีล จึงย่อมเป็นที่รัก และเป็นที่เคารพของ
เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย เป็นผู้น่ายกย่อง คอยตักเตือน ตำหนิบาป คอย-

ว่ากล่าว อดทนถ้อยคำ เพราะถึงพร้อมด้วยสุตะ จึงเป็นผู้กล่าวถ้อยคำที่ลึกซึ้ง
มีขันธ์ อายตนะ สัจจะ ปฏิจจสมุปบาทเป็นต้น เพราะถึงพร้อมด้วยจาคะ
จึงเป็นผู้มีความปรารถนาน้อย เป็นผู้สันโดษ มีความสงัด ไม่คลุกคลี เพราะ
ถึงพร้อมด้วยวิริยะ จึงเป็นผู้เพียรพยายามในการปฏิบัติประโยชน์แก่ตนและ
คนอื่น เพราะถึงพร้อมด้วยสติ จึงเป็นผู้มีสติมั่น เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความ
รอบคอบ คือ สติอย่างเยี่ยม เป็นผู้ระลึกได้ จำได้แม้สิ่งที่ทำ แม้คำที่พูด
นานมาแล้ว เพราะถึงพร้อมด้วยสมาธิ จึงเป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นผู้มั่นคง
มีจิตแน่วแน่ และเพราะถึงพร้อมด้วยปัญญา จึงย่อมรู้สิ่งที่ไม่วิปริต.
กัลยาณมิตรนั้น แสวงหาคติธรรมทั้งที่เป็นกุศล และอกุศลด้วยสติ รู้ประโยชน์
สุขของสัตว์ทั้งหลายตามความเป็นจริงด้วยปัญญา เป็นผู้มีจิตไม่ฟุ้งซ่านใน
อารมณ์นั้นด้วยสมาธิ ปรามสัตว์ทั้งหลายจากสิ่งไม่เป็นประโยชน์ด้วยความเพียร
ย่อมชักชวนในสิ่งที่มีประโยชน์อย่างเดียว. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ปิโย ครุ ภาวนีโย วตฺตา จ วจนกฺขโม
คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา โน จฏฺฐาเน นิโยชเย

กัลยาณมิตร เป็นผู้น่ารัก น่าเคารพ
น่ายกย่อง เป็นผู้ว่ากล่าวตักเตือน อดทน
ถ้อยคำ กล่าวถ้อยคำลึกซึ้ง ไม่ชักชวน
ในทางที่ไม่ใช่ฐานะ.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เป็นกัลยาณมิตรย่อมละอกุศล เจริญกุศล
เพราะเหตุนั้น บุคคลผู้เป็นกัลยาณมิตร อาศัยภิกษุผู้เป็นกัลยาณมิตร ยัง
กัมมัสสกตาญาณให้เกิด ย่อมทำศรัทธาที่เกิดขึ้นแล้วให้คงที่ เกิดศรัทธาแล้ว
ก็เข้าไปหา ครั้นเข้าไปหาแล้ว ย่อมฟังธรรม ครั้นฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมได้
ศรัทธาในพระตถาคต ด้วยการได้ศรัทธานั้น จึงละการอยู่ครองเรือนออกบวช

ทำปาริสุทธศีล 4 ให้ถึงพร้อม สมาทานธุตธรรม (ธรรมอันกำจัดกิเลส)
เป็นไปตามกำลัง เป็นผู้ได้กถาวัตถุ 10 เป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่ เข้าไปตั้ง
สติไว้ มีสัมปชัญญะ เจริญโพธิปักขิยธรรมตลอดคืนยังรุ่ง ในไม่ช้าทำวิปัสสนา
ให้ตัดขาดอกุศลทั้งหมด ด้วยการบรรลุอริยมรรค และยังกุศลธรรมทั้งปวง
ให้เจริญถึงความบริบูรณ์ด้วยภาวนา. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ดูก่อนเมฆิยะ ข้อที่ภิกษุผู้เป็นกัลยาณมิตร หวังต่อสหายดี เพื่อนดี จักเป็น
ผู้มีศีล จักเป็นผู้สำรวมในปาฏิโมกข์ จักเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร
จักเป็นผู้เห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย จักสมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย
ข้อที่ภิกษุผู้เป็นกัลยาณมิตร ฯลฯ เพื่อนดี เป็นผู้มีถ้อยคำขัดเกลากิเลส ถ้อยคำ
เปิดใจอย่างสบาย จักเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว ฯลฯ เพื่อ
นิพพาน คือ
1. อปฺปิจฺฉกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความปรารถนาน้อย
2. สนฺตุฏฐิกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สันโดษ
3. ปวิเวกกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สงัด
4. อสํสคิคกถา ถ้อยคำชักนำไม่ให้ระคนด้วยหมู่
5. วิรยารมฺภกถา ถ้อยคำชักนำให้ปรารภความเพียร
6. สีลกถา ถ้อยคำชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล
7. สมาธิกถา ถ้อยคำชักนำให้ทำใจให้สงบ
8. ปญฺญากถา ถ้อยคำชักนำให้เกิดปัญญา
9. วิมุติติกถา ถ้อยคำชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลส
10. วิมุตติญาณทสฺสนกถา ถ้อยคำชักนำให้เกิดความรู้ความเห็น
ในการพ้นจากกิเลส.

ด้วยถ้อยคำเห็นปานนี้ ภิกษุจักได้โดยง่าย จักได้โดยไม่ยาก จักได้
โดยไม่ลำบาก. ข้อที่ภิกษุผู้เป็นกัลยาณมิตร ฯลฯ มีเพื่อนดี จักเป็นผู้ปรารภ
ความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อให้เกิดกุศลธรรม เป็นผู้มีกำลังใจ มีความ
เพียรมั่นไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย. ข้อที่ภิกษุผู้เป็นกัลยาณมิตร ฯลฯ
มีเพื่อนดี จักเป็นผู้มีปัญญา จักเป็นผู้ประกอบด้วยอุทยัตถคามินีปัญญา (รู้ความ
เกิดและความเสื่อม) เพื่อให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ อันเป็นการตรัสรู้อย่าง
ประเสริฐ พึงทราบนิมิต คือ การหลุดพ้นจากวัฏทุกข์ทั้งสิ้นว่า กลฺยาณ-
มิตฺตตา
อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึง
ตรัสคำมีอาทิว่า ดูก่อนอานนท์ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา มีความ
แก่เป็นธรรมดา ย่อมพ้นจากชาติชรา เพราะอาศัยเราผู้เป็นกัลยาณมิตร. สมดัง
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เป็นกัลยาณมิตร
ย่อมละอกุศล เจริญกุศล ดังนี้.
พึงทราบความแห่งคาถาต่อไปนี้ บทว่า สปฺปฏิสฺโส ชื่อว่า สปฺปฏิสฺ-
โส
เพราะเป็นไปกับด้วยความยำเกรง คือ การรับฟัง. เป็นผู้น้อมรับโอวาท
ของกัลยาณมิตร อธิบายว่า เป็นผู้ว่าง่าย. อีกอย่างหนึ่ง ผู้ให้โอวาทชื่อ
ปติสสะ เพราะปรารถนาให้เกิดประโยชน์สุข. ชื่อสัปปฏิสสะ เพราะเป็นไปกับ
ด้วยความปรารถนานั้น ประกอบด้วยความเคารพ และความเอื้อเฟื้อ. มาก
ด้วยความเคารพยำเกรงในครู. บทว่า สคารโว ได้แก่ ประกอบด้วยคารวธรรม
6 อย่าง. บทว่า กรํ มิตฺตาน วจนํ ได้แก่ กระทำตามโอวาท คือปฏิบัติ
ตามโอวาทของกัลยาณมิตรทั้งหลาย. บทว่า สมฺปชาโน ได้แก่ ประกอบ
ด้วยสัมปชัญญะ 7 อย่าง. บทว่า ปฏิสฺสโต ได้แก่ มีสติ คือ ทำอย่างมีสติ

ด้วยสติอันสามารถให้เกิดความมั่นคงของกรรมฐานได้. บทว่า อนุปุพฺเพน
ได้แก่ โดยลำดับแห่งศีลวิสุทธิเป็นต้น คือโดยลำดับแห่งวิปัสสนาและลำดับ
แห่งมรรคในศีลวิสุทธิเป็นต้นนั้น. บทว่า สพฺพสํโยชนกฺขยํ ความว่า พึงถึง
คือ พึงบรรลุพระนิพพานอันเป็นอารมณ์แห่งพระอรหัต อันเป็นที่สิ้นสุดกล่าว
คือ ความสิ้นแห่งสังโยชน์ทั้งปวง เพราะสังโยชน์ทั้งหมด มีกามราคสังโยชน์
เป็นต้นสิ้นไป.
ในสองสูตรเหล่านี้พึงทราบว่า พระศาสดาทรงถือเอาองค์แห่งความ-
เพียรของการบรรลุอริยมรรค ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาทุติยเสขสูตรที่ 7

8. เภทสูตร


ว่าด้วยสังฆเภทให้ตกนรกตลอดกัป


[196] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมอย่างหนึ่งเมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้น
เพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อไม่ใช่ความสุขแก่ชนมาก เพื่อความ
ฉิบหายแก่ชนมาก เพื่อความไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ธรรมอย่างหนึ่งเป็นไฉน. คือ สังฆเภท ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อสงฆ์แตก
กันแล้วย่อมมีการบาดหมางซึ่งกันและกัน มีการบริภาษซึ่งกันและกัน มีการ
ดูหมิ่นซึ่งกันและกัน มีการขับไล่ซึ่งกันและกัน ในเพราะสงฆ์แตกกันนั้น