เมนู

เราเห็นลูกศรอันนี้มาแต่แรกแล้ว
ประชาชนติดใจข้องอยู่ในสิ่งใด เรารู้เห็น
สิ่งนั้นอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ความติดใจ
ไม่มีแก่ตถาคตทั้งหลาย.

จบกาฬกสูตรที่ 4

อรรถกถากาฬกสูตร


กาฬกสูตรที่ 4 ตั้งขึ้นเพราะอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง ถามว่า เหตุเกิด
เรื่องอะไร ตอบว่า เรื่องพระคุณของพระทศพล.
ได้ยินว่า นางจูฬสุภัททา ธิดาของอนาถบิณฑิกะหมายใจ จัดไปเป็น
แม่เรือนของบุตรกาฬกเศรษฐี ณ นครสาเกต จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักไปมีสามี ณ ตระกูลของคนมิจฉาทิฏฐิ
ถ้าข้าพระองค์จักได้รับนับถือในตระกูลนั้น เมื่อจะส่งบุรุษคนหนึ่งมา ก็จัก
เนินช้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์โปรดนึกถึงข้าพระองค์บ้าง
ดังนี้ ได้รับการรับรองแล้วก็ไป ท่านกาฬกเศรษฐีคิดว่า ลูกสะใภ้ของเรามา
แล้ว เมื่อทำงานมงคลจึงได้จัดของกินและของบริโภคเป็นอันมาก ได้เชิญ
ชีเปลือย 500 มา. เมื่อชีเปลือยเหล่านั้น นั่งแล้ว. ท่านเศรษฐี จึงส่ง
คนไปบอกนางจูฬสุภัททาว่า ลูกสาวของพ่อจงมาไหว้พระอรหันต์. อริยสาวิกา
ผู้บรรลุผลแล้ว พอเขาพูดว่า พระอรหันต์เท่านั้นก็ลุกขึ้นไปด้วยคิดว่า ลาภ
ของเราหนอ. พอได้เห็นชีเปลือยซึ่งแสดงว่าไม่มีศักดิ์ศรีเหล่านั้น จึงพูดว่า
คุณพ่อขา ธรรมดาสมณะทั้งหลาย ไม่ใช่ไม่มีหิริภายใน ไม่ใช่ไม่มีโอตตัปปะ

ภายนอกนี่ค่ะ คิดว่า พวกนี้มิใช่สมณะ จึงถ่มน้ำลายเดินกลับไปยังสถานที่
อยู่ของตน.
ครั้งนั้น พวกชีเปลือยพูดว่า ท่านมหาเศรษฐี หญิงกาลกรรณี
เช่นนี้ ท่านได้มาแต่ไหน ทั่วชมพูทวีป ไม่มีหญิงสาวอื่นหรือ แล้วก็พากัน
บริภาษเศรษฐี. ท่านเศรษฐีจึงขอร้องว่า ท่านอาจารย์ กรรมอันข้าพเจ้ารู้
หรือไม่รู้ ก็ได้ทำลงไปแล้วละ. ข้าพเจ้าจักรู้เรื่องนั้น ดังนี้ ส่งพวกชีเปลือย
ไปแล้ว ก็ไปหานางสุภัททาถามว่า แม่หนู เหตุไร เจ้าจึงได้ทำอย่างนี้ เหตุไร
เจ้าจึงทำให้พระอรหันต์อับอาย. นางตอบว่า คุณพ่อขา ธรรมดาว่าพระอรหันต์
ไม่เป็นอย่างนี้. ครั้งนั้นท่านเศรษฐี จึงพูดกะนางว่า
สมณะของเจ้าเป็นอย่างไร เจ้าจึง
สรรเสริญท่านักหนา สมณะของเจ้ามีศีล
อย่างไร มีมรรยาทอย่างไร เจ้าถูกถาม
แล้ว จงบอกความข้อนั้นแก่พ่อ.

นางจึงตอบว่า
ท่านผู้มีอันทรีย์สงบ ใจสงบ ตั้งอยู่
ในมรรคมีคุณอันสงบ มีจักษุทอดลง
พูดพอประมาณ สมณะของลูกเป็นเช่นนี้
เจ้าค่ะ สมณะเหล่านั้นตัดเครื่องผูก เข้าป่า
อยู่แต่ลำพัง ไม่มีเพื่อน เหมือนช้างตัด
เครื่องผูก สมณะของลูกเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ.

ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงยืนกล่าวพระคุณของพระรัตนตรัยต่อหน้า
เศรษฐี. เศรษฐี ฟังคำของนางแล้ว จึงกล่าวว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะนำ
สมณะของเจ้ามาทำมงคลดังนี้ . นางถามว่า คุณพ่อจะทำเมื่อไร. เศรษฐีคิดว่า

เมื่อเราบอกว่า 2-3 วัน นางก็จะพึงส่งทูตไปให้เรียกมาดังนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น
จึงได้กล่าวกะนางว่า พรุ่งนี้สิ แม่หนู. ในเวลาเย็น นางขึ้นปราสาทชั้นบน ถือ
ภาชนะดอกไม้ขนาดใหญ่ ระลึกถึงพระคุณของพระศาสดาแล้วจึงซัดกำดอกไม้
8 กำ ไปเพื่อพระทศพลแล้วประคองอัญชลี ยืนนอบน้อมอยู่. นางได้
กล่าวอย่านี้ว่า พรุ่งนี้ ขอพระองค์โปรดทรงรับภิกษาของข้าพระองค์พร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์ 500 รูป. ดอกไม้เหล่านั้นไปประดิษฐานเป็นเพดานเบื้องบนพระ-
ทศพล. พระศาสดา เมื่อทรงนึกถึงก็ได้ทรงเห็นเหตุนั้น ในเวลาจบพระธรรม
เทศนา อนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี นมัสการพระทศพลแล้วทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ วันพรุ่งนี้ ขอพระองค์จงรับภิกษาในเรือนของข้าพระองค์
พร้อมด้วยภิกษุ 500 รูป. พระศาสดาตรัสว่า ท่านเศรษฐี เรารับนิมนต์
นางจูฬสุภัททาไว้แล้ว. ท่านเศรษฐีทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์
ไม่เห็นใครมา. พระศาสดาตรัสว่า ถูกละท่านเศรษฐี แต่อุบาสิกาผู้เป็น
สัตบุรุษอยู่แต่ไกลแม้สุดพันโยชน์ก็ย่อมปรากฏได้ เหมือนภูเขาหิมวันต์ จึง
ตรัสพระคาถานี้ว่า
เหล่าสัตบุรุษปรากฏชัดในที่ไกล
เหมือนหิมวันตบรรพต ส่วนเหล่าอสัต-
บุรุษ อยู่ที่นั่นเองก็ไม่มีใครเห็น เหมือน
ลูกศรที่ยิ่งไปเวลากลางคืน.

อนาถบิณฑิกะทูลว่า ขอพระองค์โปรดทรงสงเคราะห์ธิดาของข้าพระองค์เถิด
พระเจ้าข้าดังนี้ ถวายบังคมแล้วก็กลับไป.
พระศาสดาตรัสกะพระอานนท์ว่า อานนท์ เราจักไปนครสาเกต
เธอจงให้สลากแก่ภิกษุ 500 รูป แต่เมื่อจะให้เธอพึงให้แก่พวกภิกษุผู้บรรลุ

อภิญญา 6 เท่านั้น. พระเถระก็ได้ทำอย่างนั้น. ในตอนดึกแห่งราตรี นาง
จูฬสุภัททา คิดว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงมีกิจมาก ทรงมีกรณีย-
มาก จะทรงกำหนด หรือไม่ทรงกำหนด (ก็ไม่รู้) เราจักทำอย่างไรหนอ.
ขณะนั้น ท้าวเวสสุวรรณมหาราชได้กล่าวกับนางจูฬสุภัททาว่า แม่นางสุภัททา
เธออย่าใจเขว อย่าใจเสียไปเลย พระผู้มีพระภาคเจ้ากับภิกษุสงฆ์ทรงรับนิมนต์
เพื่อเสวยภัตตาหารในวันพรุ่งนี้ไว้แล้ว นางก็ยินดีร่าเริงตระเตรียมทานอย่าง
เดียว แม้ท้าวสักกเทวราช ทรงเรียกวิสสุกรรมมาสั่งว่า พ่อเอย พระทศพล
จักเสด็จไปยังสำนักของนางจูฬสุภัททา นครสาเกต ท่านจงสร้างเรือนยอด 500
หลัง. วิสสุกรรมเทพบุตรนั้น ก็ได้ทำตามเทวโองการ. พระศาสดาอันภิกษุ
ผู้ได้อภิญญา 6 จำนวน 500 รูป แวดล้อมแล้ว ได้เสด็จไปยังนครสาเกต
ด้วยกูฏาคารยานมีเรือนยอดประหนึ่งรอยขีดอากาศที่มีสีดังแก้วมณี.
นางจูฬสุภัททาถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์มีองค์พระพุทธเจ้าเป็นประมุข
ถวายบังคมพระศาสดาทูลว่า ฝ่ายพ่อผัวของข้าพระองค์เป็นมิจฉาทิฏฐิ สาธุ
ขอพระองค์จงโปรดตรัสธรรมอันสมควรแก่ชนเหล่านั้นด้วยเถิด พระเจ้าข้า.
พระศาสดาทรงแสดงธรรมแล้ว. ท่านกาฬกเศรษฐีเป็นโสดาบันได้ถวายอุทยาน
ของตนแด่พระทศพล. พวกชีเปลือยไม่ปรารถนาที่จะออกไปด้วยคิดว่า ท่าน
เศรษฐีให้แก่พวกเราก่อนดังนี้. ท่านเศรษฐีสั่งให้นำชีเปลือยทั้งหมดออกไปด้วย
กล่าวว่า พวกท่านจงไป นำพวกชีเปลือยเหล่านั้นไปโดยวิธีการที่จะพึงนำออกไป
เสียดังนี้แล้ว จึงให้สร้างวิหารลงในที่ตรงนั้นนั่นเอง แล้วหลั่งน้ำทำให้เป็น
พรหมไทยอุทิศถวาย วิหารนั้นจึงชื่อว่า กาฬการาม เพราะกาฬกเศรษฐีให้
สร้างไว้. สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ กาฬการามนั้น. ด้วย
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สาเกเต วิหรติ กาฬการาเม ดังนี้ .

บทว่า ภิกฺขู อามนฺเตสิ ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียก
ภิกษุ 500 รูปมา. ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้นเป็นกุลบุตรชาวนครสาเกต ฟัง
พระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว บวชในสำนักของพระศาสดา นั่งอยู่ ณ
ศาลาที่เฝ้ากล่าวคุณของพระทศพลว่า โอ ! ชื่อว่า คุณของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ใหญ่จริง พระศาสดาทรงเปลื้องกาฬกเศรษฐีผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เห็นปานนี้
ออกจากมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดได้ ให้บรรลุโสดาปัตติผล ทรงทำทั่วทั้งนคร
ให้เป็นเสมือนเทวโลก. พระศาสดาทรงพินิจพิจารณาถึงจิตของภิกษุผู้กล่าว
สรรเสริญเหล่านั้น จึงทรงดำริว่า เมื่อเราไป เทศนากัณฑ์ใหญ่จักตั้งขึ้น เวลา
จบเทศนา ภิกษุ 500 รูปเหล่านี้ จักตั้งอยู่ในพระอรหัต แผ่นดินใหญ่จักไหว
ถึงน้ำรองแผ่นดิน ดังนี้ เสด็จยังธรรมสภา ประทับบนบวรพุทธาสนะที่เขา
จัดถวาย ทรงทำภิกษุเหล่านั้นให้เป็นเบื้องต้นแล้ว จึงทรงเริ่มเทศนานี้ว่า ยํ
ภิกฺขเว สเทวกสฺส โลกสฺส ดังนี้. พระสูตรนี้ พึงทราบว่า ตั้งขึ้นเพราะ
เรื่องพระคุณ ด้วยประการฉะนี้. เวลาจบเทศนา แผ่นดินใหญ่ได้ไหวถึง
น้ำรองแผ่นดินแล้ว.
บทว่า อพฺภญฺญาสึ ได้แก่ ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง อธิบายว่า
ตรัสรู้แล้ว. บทว่า วิทิตํ ได้แก่ รู้แล้วทำให้ปรากฏได้. ด้วยบทนี้ ทรงแสดง
ความข้อนี้ว่า ชนเหล่าอื่นรู้อย่างเดียว แต่เรารู้แล้วทำให้ปรากฏด้วย. ชื่อว่าภูมิ
แห่งพระสัพพัญญุตญาณ ตรัสด้วยสามบทเหล่านี้. บทว่า ตํ ตถาคเตน
น อุปฏฺฐาสิ
ความว่า อารมณ์อันเป็นไปในทวารหกนั้น ไม่ปรากฏคือไม่
เข้าไปถึงตถาคต ด้วยตัณหาหรือด้วยทิฏฐิ. ก็จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นี้ ทรงเห็นรูปด้วยจักษุ พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ทรงมีฉันทราคะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีจิตหลุดพ้นดีแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงฟังเสียงด้วยโสตะ ทรงดมกลิ่นด้วยฆานะ ทรงลิ้มรสด้วยชิวหา ทรงถูก

ต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ทรงรู้สึกธรรมด้วยมนัส พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ทรงมี
ฉันทราคะ ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์
นั้น ทรงมีจิตหลุดพ้นดีแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ตํ ตถาคเตน น
อุปฏฺฐาสิ
ดังนี้ . ก็แล ภูมิแห่งพระขีณาสพ พึงทราบว่า ตรัสด้วยบทนี้.
บทว่า ตํ มมสฺส มุสา ความว่า คำนั้นแล พึงชื่อว่า มุสาวาท.
บทว่า ตํปิสฺส ตาทิสเมว ความว่า คำแม้นั้นก็พึงเป็นมุสาวาท. บทว่า
ตํ มมสฺส กลิ ความว่า คำนั้นก็พึงเป็นโทษแก่เรา. ชื่อว่า สัจจภูมิ
พึงทราบว่า ตรัสด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ .
บทว่า ทิฏฺฐา ทิฏฺฐพฺพํ ได้แก่เห็นรูปที่เห็นแล้วควรเห็น. บทว่า
ทิฏฺฐํ น มญฺญติ ความว่า ย่อมไม่สำคัญอายตนะคือรูปที่เห็นแล้วนั้น
ด้วยตัณหามานะทิฏฐิว่า เราก็เห็นรูปที่มหาชนเห็นแล้วเหมือนกัน. บทว่า
อทิฏฺฐํ น มญฺญติ ความว่า ย่อมไม่สำคัญด้วยตัณหาเป็นต้น แม้อย่างนี้ว่า
เราเห็นรูปนั้นที่มหาชนยังไม่เห็น. บทว่า ทิฏฺฐพฺพํ น มญฺญติ ความว่า
ย่อมไม่สำคัญ ด้วยความสำคัญเหล่านั้น แม้อย่างนี้ว่า เราก็เห็นรูปที่มหาชน
เห็นแล้วดังนี้. ความจริง รูปที่ควรเห็นก็เป็นรูปที่มหาชนเห็นแล้วนั่นเอง.
ก็คำเห็นปานนั้น. ผู้ศึกษาย่อมหาได้แม้ในสามกาล. เนื้อความของคำเหล่านั้น
ตรัสแล้วด้วยบทนั้น. บทว่า ทิฏฺฐารํ1 น มญฺญติ ความว่า ย่อมไม่สำคัญ
ผู้เห็นนี้ชื่อว่าสัตว์ผู้หนึ่ง ด้วยความสำคัญเหล่านั้น . แม้ในฐานะที่เหลือ ก็พึง
ทราบเนื้อความโดยนัยนี้นี่แล. ชื่อว่าสุญญตาภูมิ ภูมิคือความว่างเปล่า ก็ตรัส
ด้วยฐานะประมาณเท่านี้ .
บทว่า อิติ โข ภิกฺขเว แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล.
บทว่า ตาทิโสว ตาที ความว่า ความเป็นเหมือนหนึ่ง ชื่อว่า ความคงที่.
1. บาลี ทิฏฺฐานํ

จริงอยู่ พระตถาคตเป็นเช่นใด ในอิฏฐารมณ์มีลาภเป็นต้น ในอนิฏฐารมณ์
มีเสื่อมลาภเป็นต้น ก็เป็นเช่นนี้ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ตถาคตเป็น
ผู้คงที่ทั้งในลาภ ทั้งในความเสื่อมลาภ เป็นผู้คงที่ทั้งในยศ ทั้งในความเสื่อม
ยศ เป็นผู้คงที่ทั้งในนินทา ทั้งในสรรเสริญ เป็นผู้คงที่ทั้งในสุข ทั้งในทุกข์
ดังนี้. ตถาคตชื่อว่าตาที เช่นนั้นก็เพราะความเป็นผู้คงที่นี้. บทว่า ตมฺหา
จ ปน ตาทิมฺหา
ความว่า ชื่อว่าภูมิแห่งผู้คงที่ ตรัสด้วยคำประมาณเท่านี้ว่า
ไม่มีผู้คงที่อื่นที่ยิ่งกว่า หรือประณีตกว่าความคงที่ของตถาคตนั้นดังนี้. เมื่อ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยักย้ายเทศนาด้วยภูมิ 5 เหล่านี้ มหาปฐพีก็ได้ไหว
เป็นพยาน. ในฐานะ 5. เวลาจบเทศนา สัตว์คือเทวดาและมนุษย์จำนวน 84,000
ผู้มาถึงที่นั้น รวมทั้งกุลบุตร 500 ซึ่งบวชใหม่เหล่านั้นเป็นต้น ก็พากันดื่มน้ำ
ปานะคืออมฤตธรรมแล้ว.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจบพระสูตรลงแล้ว เมื่อจะทรงถือยอด-
ธรรมด้วยคาถาทั้งหลาย จึงตรัสคำว่า ยงฺกิญฺจิ เป็นต้น . ในบทเหล่านั้น
บทว่า อชฺโฌสิตํ สจฺจมุตํ ปเรสํ ความว่า สิ่งที่ได้เห็นเป็นต้น ที่คน
เหล่าอื่นสำคัญว่า จริง แล้วติดใจด้วยความเชื่อที่ดำเนินตามคนอื่น คือกลืน
เอาไว้เสร็จสรรพ. บทว่า สยสํวุเตสุ ความว่า ในการถือสิ่งที่ตนระวังอยู่เอง
คือพระพฤติถือแล้ว อธิบายว่า ในคนที่มีทิฏฐิเป็นคติ. ด้วยว่า พวกคนที่มี
ทิฏฐิเป็นคติ เขาก็เรียกกันว่า สยสํวุเตสุ (อันตนระวังอยู่เอง). บทว่า สจฺจํ
มุสา วาปิ ปรํ ทเหยฺย
ความว่า ตถาคตเป็นผู้คงที่ ในคนที่มีทิฏฐิเป็นคติ
กล่าวคืออันตนระวังอยู่เองเหล่านั้น ไม่พึงถือ ไม่พึงเชื่อ ไม่พึงประพฤติตามคำ
แม้คำหนึ่งของตนเหล่านั้นว่า จริงหรือไม่จริงให้บอกไปคือให้สูงสุด อย่างนี้ว่า
นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นไม่จริง ดังนี้. บทว่า เอตญฺจ สลฺลํ คือเราเห็น
ลูกศรคือทิฏฐิอันนี้. บทว่า ปฏิกจฺจ ทิสฺวา ความว่า เราเห็นมาก่อน ณ
โคนโพธิพฤกษ์. บทว่า วิสตฺตา ความว่า ประชาชนคิด ข้อง พัวพันอยู่.

ในบทว่า ชานามิ ปสฺสามิ ตเถว เอตํ นี้ ความว่า หมู่สัตว์นี้ติดใจ
กลืนเสร็จสรรพ ก็ติดก็ข้องก็พัวพัน แม้เราก็ได้รู้เห็นสิ่งนั้น สิ่งนั้นก็เหมือน
ที่หมู่สัตว์นี้ยึดถือกันไว้ แต่ตถาคตทั้งหลายไม่ติดใจอย่างนั้น.
จบอรรถกถากาฬกสูตรที่ 4

5. พรหมจริยสูตร


ว่าด้วยเหตุประพฤติพรหมจรรย์


[25] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้เราประพฤติมิใช่เพื่อ
หลอกลวงคน มิใช่เพื่อเรียกร้องคน (ให้มานับถือ) มิใช่เพื่ออานิสงส์ ลาภ
สักการะ และความสรรเสริญ มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นเจ้าลัทธิและแก้ลัทธิอย่าง
นั้นอย่างนี้ มิใช่เพื่อให้คนรู้จักตัวว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ที่แท้พรหมจรรย์นี้
เราประพฤติเพื่อสังวร เพื่อปหานะ (ความละ) เพื่อวิราคะ (ความหายกำหนัด
ยินดี) เพื่อนิโรธะ (ความดับทุกข์)
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นได้ทรงแสดง
พรหมจรรย์ อันเป็นการละเว้นสิ่งที่กล่าว
ตามกันมา เป็นทางหยั่งลงสู่พระนิพพาน
เพื่อสังวร เพื่อปหานะ.
ทางนั้น มหาบุรุษทั้งหลายผู้แสวง
หาคุณอันใหญ่ได้ดำเนินแล้ว ชนเหล่าใด
ดำเนินตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้
้ แล้วนั้น ชนเหล่านั้นชื่อว่าทำตามคำสอน
ของพระศาสดา จักกระทำที่สุดทุกข์ได้.

จบพรหมจริยสูตรที่ 5