เมนู

อรรถกถาตัณหาสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในตัณหาสูตรที่ 9 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ชาลินึ คือ เสมือนตาข่าย. อธิบายว่า ขึ้นชื่อว่าตาข่ายที
เขาถักไว้ยุ่งเหยิงโดยรอบ ฉันใด แม้ตัณหาก็ฉันนั้น ท่านเรียกว่า ชาลินี
เพราะเป็นเสมือนตาข่าย. ตัณหาชื่อว่า ชาลินี เพราะตัณหานี้ครอบงำภพ
3 อยู่ มีตาข่ายอันเป็นส่วนของตนในภพนั้น ๆ ดังนี้ก็มี. บทว่า สํสริตํ คือ
ท่องไปในภพนั้น ๆ อยู่. บทว่า วิสฏํ ได้แก่ แผ่ไป คือ ซ่านไป. บทว่า
วิสตฺติกํ ได้แก่ ข้องติดอยู่ในภพนั้น ๆ. อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นความโดยนัย
เป็นต้นว่า ตัณหาชื่อวิสัตติกา มีรากเป็นพิษ ตัณหาชื่อวิสัตติกา มีผลเป็นพิษ
ดังนี้. บทว่า อุทฺธสฺโต ได้แก่ ปกคลุมเบื้องบน. บทว่า ปริโยนทฺโธ
ได้แก่ หุ้มรัดไว้โดยรอบ
บทว่า ตนฺตากุลกชาโต คือ ยุ่งเหยิงเหมือนด้ายยุ่ง. อธิบายว่า
ด้ายของช่างหูก เก็บไว้ไม่ดี ถูกหนูกัด ย่อมยุ่งเหยิงในที่นั้น ๆ ยากที่จะกำหนด
ปลายกับปลาย หรือโคนกับโคน ว่านี้ปลาย นี้โคนดังนี้ ฉันใด สัตว์ทั้งหลาย
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถูกตัณหานี้รึงรัด วุ่นวายยุ่งเหยิง ไม่สามารถจะทำทาง
เล่นออกแห่งตัณหาของตนให้ตรงได้. บทว่า คุลาคุณฺฑิกชาโต ได้แก่
ด้ายที่ชุบน้ำข้าวของช่างหูก ท่านเรียกว่า คุลาคุณฑิกะ (ด้ายชุบน้ำข้าว)
อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า รังของนางนกชื่อว่า คุลา ดังนี้ก็มี พึงประกอบ
ความโดยนัยก่อนว่า แม้ทั้งสองนั้น ก็ยุ่งยากที่จะกำหนดปลายกับปลาย หรือ
โคนกับโคน ฉันใด.

บทว่า มุญฺชปพฺพชภูโต ได้แก่ เกิดเป็นดุจหญ้ามุงกระต่าย และ
หญ้าปล้อง คือ โลกเกิดเป็นเช่นนั้น. การที่จะถือเอาเชือกที่เขาทุบหญ้าเหล่านั้น ๆ
ทำแล้วตกไปในที่ไหนๆในเวลาที่มันเก่าแล้ว ก็ยากที่จะเก็บกำหนดปลายหรือ
โคนของหญ้าเหล่านั้นได้ว่า นี้ปลาย นี้โคน ดังนี้ ผู้ที่ตั้งอยู่ในความพยายาม
เฉพาะตัวจึงสามารถทำเชือกแม้นั้นให้ตรงได้ เว้นพระโพธิสัตว์เสีย สัตว์อื่นก็
ไม่สามารถจะทำลายตาข่าย คือตัณหา โดยธรรมดาของตนแล้ว ทำทางแล่นออก
จากทุกข์ของตนให้ตรงได้ ฉันใด โลกนี้ก็ฉันนั้น ถูกตาข่ายคือตัณหาหุ้มรัดไว้
ย่อมไม่ล่วงพ้นอบาย ทุคติ วินิบาต วัฏสงสารไปได้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อปาโย ได้แก่ นรก กำเนิดเดียรัจฉาน
เปตติวิสัยและอสุรกาย. แม้ทั้งหมดเหล่านั้นท่านเรียกว่า อบาย เพราะไม่มี
ความเจริญ กล่าวคือ ความงอกงาม. อนึ่ง ชื่อว่าทุคติเพราะความเป็นทาง
ไปแห่งทุกข์. ชื่อวินิบาต เพราะตกไปจากกายที่เป็นสุข. ส่วนนอกนี้ มีอธิบายว่า
ลำดับแห่งขันธ์ ธาตุ อายตนะ เป็น
ไปอยู่ไม่ขายสาย ท่านเรียกว่า สงสาร.

โลกไม่ล่วงไม่พ้นทั้งหมดนั้น โดยที่แท้โลกถือเอาจุติและปฏิสนธิ
บ่อย ๆ อย่างนี้ คือ ต่อจากจุติถือเอาปฏิสนธิ ต่อจากปฏิสนธิถือเอาจุติ ย่อมหมุน
เวียนไปในภพ 3 กำเนิด 4 คติ 5 วิญญาณฐิติ 7 สัตตาวาส 9 ดุจเรือถูก
ลมซัดไปในมหาสมุทร ดุจโคที่เทียมยนต์.
บทว่า อชฺฌตฺติกสฺส อุปาทาย แปลว่า อาศัยขันธบัญจกภายใน.
บทว่า อชฺฌตฺติกสฺส นี้เป็นฉัฏฐิวิภัตติลงในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ. บทว่า
พาหริสฺส อุปาทาย แปลว่า อาศัยขันธบัญจกภายนอก. บทว่า อสฺมีติ-
ภิกฺขเว สติ
ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การรวมถือเอาด้วยอำนาจตัณหา
มานะทิฏฐิ อาศัยขันธบัญจกภายในนี้ใด ย่อมมีความนึกว่าเราเป็นย่อมมี คือ
ความนึกในขันธบัญจกนั้น. ก็ในบททั้งหลายมีอาทิว่า อิตฺถสฺมีติ โหติ

ดังนี้ เมื่อมีการยึดถือโดยรวบรัดอย่างนี้ว่า เป็นเรา ย่อมเป็นอันยึดถือโดย
ส่วนสอง คือ ไม่เทียบและเทียบ ในบทเหล่านั้นบทว่า อนุปนิธาย ความว่า
ไม่เทียบเหตุอื่น คือ ความนึกว่าเราเป็นอย่างนี้ ย่อมมี เพราะทำให้เป็น
อารมณ์ในธรรม คือความลามกตามภาวะของตน อธิบายว่า ความนึกว่าใน
บรรดากษัตริย์เป็นต้น เราเป็นอย่างนี้ ย่อมมีด้วยอำนาจตัณหามานะและทิฏฐิ
อย่างนี้. นี้คือการไม่เทียบยึดถือ. ส่วนการเทียบยึดถือมีสองอย่าง คือ โดย
เสมอกัน โดยไม่เสมอกัน เพื่อทรงแสดงข้อนั้น จึงตรัสว่า เราเป็นอย่างนี้
และเราเป็นอย่างอื่น. ในบทเหล่านั้นบทว่า เอวสฺมิ นี้ได้แก่ เทียบยึดถือ
โดยเสมอกันว่า เราเป็นเหมือนกษัตริย์องค์นี้ เป็นเหมือนพราหมณ์ผู้นี้. บทว่า
อญฺญถาสฺมิ ความว่า ก็ยึดถือโดยไม่เสมอกันดังนี้ว่า เราเป็นคนเลว หรือ
เป็นคนดีกว่า นอกจากกษัตริย์องค์นี้ พราหมณ์ผู้นี้. พึงทราบตัณหาวิจริต
(ความคิดนึกด้วยอำนาจตัณหา) 4 อย่าง เหล่านี้โดยอำนาจปัจจุบันกาลก่อน.
ก็ตัณหาวิจริตสองเหล่านี้คือ อสสฺมีติ สตสฺมีติ พึงทราบว่า เพราะเหตุที่
บทว่า อสสฺมิ นี้เป็นชื่อของความเที่ยงของสิ่งที่ไม่เที่ยง บทว่า สตสฺมิ
เป็นชื่อของความไม่เที่ยงของสิ่งที่เที่ยง ฉะนั้นจึงตรัสด้วยอำนาจสัสสตทิฏฐิ
และอุจเฉททิฏฐิ. ตัณหาวิจริต 4 มีคำว่าสันติเป็นต้น ต่อจากนี้ตรัสด้วยอำนาจ
ความสงสัยและความปริวิตก. ในตัณหาวิจริตทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ว่า สนฺติ
โหติ
พึงทราบความอย่างนี้ว่า ความนึกว่า เราพึงเป็นย่อมมี. ส่วนอธิบาย
ในบทนี้พึงถือเอาโดยนัยที่กล่าวแล้วในหมวด 4 ก่อน ๆ อีกอย่างหนึ่ง ตัณหา
วิจริต 4 มีคำว่าสันติเป็นอาทิ ตรัสด้วยอำนาจความปรารถนา และความตั้งใจ
อย่างนี้ว่า ไฉนเราจะพึงเป็นดังนี้ . ตัณหาวิจริตแม้เหล่านั้นพึงทราบโดยนัยที่
กล่าวแล้วในหมวด 4 ก่อนๆ ก็ตัณหาวิจริต 4 มีคำว่า ภวิสฺสนฺติ เป็นอาทิ
ตรัสด้วยอำนาจอนาคตกาล. พึงทราบเนื้อความแห่งตัณหาวิจริตเหล่านั้น โดย
นัยที่กล่าวแล้วในหมวด 4 ก่อน ๆ นั้นแล.

บัณฑิตพึงทกให้แจ้งตัณหาวิจริต 18
เหล่านี้ คือ ทิฏฐิสีสะ 2 สุทธสีสะ 4
สีสมูลกะ 12.

ก็ในคุณหาวิจริตเหล่านั้น 2 หัวข้อเหล่านี้คือ อสฺมีติ ความนึกว่า
เราเป็น 1 อิตฺถสฺมีติ ความนึกว่าเราเป็นอย่างนี้ 1 ชื่อว่า ทิฏฐิสีสะ.
4 หัวข้อเหล่านั้นคือ เอวสฺมีติ ความนึกว่าเราเป็นอย่างนั้น 1 อญฺญาถาสฺมีติ
ความนึกว่าเราเป็นอย่างอื่น 1 อสสฺมีติ ความนึกว่าเราเป็นคนไม่ดี 1 สตสฺมีติ
ความนึกว่า เราเป็นคนดี 1 ชื่อสุทธสีสะ. 12 หัวข้อ คือ ตัณหาวิจริต 3
มีอาทิว่า อิตฺถสฺมีติ ชื่อว่าสีสมูลกะ พึงทราบธรรมคือตัณหาวิจริต 18
เหล่านี้คือ ทิฏฐสีสะ 2 สุทธสีสะ 4 สีสมูลกะ 12 ดังกล่าวมาฉะนี้. พึงทราบ
ตัณหาวิจริต 18 อาศัยขันธปัญจกภายในเหล่านี้ก่อน. ส่วนในตัณหาวิจริตอาศัย
ขันธปัญจกภายนอกก็นัยนี้เหมือนกัน . บทว่า อิมินา พึงทราบความต่างกันนี้
คือ ด้วยรูปนี้หรือ ฯลฯ ด้วยวิญญาณนี้. บทที่เหลือเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน.
บทว่า อิติ เอวรูปานิ อตีตานิ ฉตฺตึส ได้แก่ตัณหาวิจริต 36 ในกาลเป็น
อดีตของบุคคลแต่ละคน. บทว่า อนาคตานิ ฉตฺตึส ได้แก่ตัณหาวิจริต 36
ในอนาคตกาล ของบุคคลแต่ละคน. บทว่า ปจฺจุปฺปนฺนานิ ฉตฺตึส ได้แก่
ตัณหาวิจริต 36 ในปัจจุบันกาลของบุคคลคนหนึ่ง หรือมากคนตามเหตุที่เป็น
จริง. ตัณหาวิจริตในอดีตกาล 36 ในอนาคตกาล 36 ในปัจจุบันกาล 36
โดยทำนองนี้แหละของสัตว์ทั้งหมด. จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลายอันต่างกันด้วย
ตัณหามานะทิฏฐิ หาประมาณมิได้ ไม่มีที่สุด. ก็ในบทว่า อฏฺฐตณฺหา
วิจริตสตํ โหติ
นี้ พึงเห็นความอย่างนี้ว่า ตัณหาวิจริตรวมเป็น 108 ดังนี้.
จบอรรถกถาตัณหาสูตรที่ 9

10. เปมสูตร


ว่าด้วยธรรมชาติ 4 ประการ


[200] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติ 4 ประการนี้ย่อมเกิด 4
ประการเป็นไฉน คือ ความรักย่อมเกิดเพราะความรัก 1 โทสะย่อมเกิด
เพราะความรัก 1 ความรักย่อมเกิดเพราะโทสะ 1 โทสะย่อมเกิดเพราะ
โทสะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ความรักย่อมเกิดเพราะความรักอย่างไร บุคคล
ในโลกนี้เป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจของบุคคล คนอื่นๆมาพระพฤติต่อ
บุคคลที่รักนั้น ด้วยอาการที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เขาย่อมมีความคิด
อย่างนี้ว่า คนอื่นมาประพฤติต่อบุคคลที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจของเรา
ด้วยอาการอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เขาย่อมเกิดความรักในคน
เหล่านั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรักย่อมเกิดเพราะความรักอย่างนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็โทสะย่อมเกิดเพราะความรักอย่างไร บุคคล
ในโลกนี้เป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจของบุคคล คนอื่นมาประพฤติ
ต่อบุคคลนั้นด้วยอาการอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ บุคคล
นั้นย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า คนอื่นมาประพฤติต่อบุคคลที่น่าปรารถนา น่าใคร่
น่าพอใจของเราด้วยอาการอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ เขาย่อม
เกิดโทสะในคนเหล่านั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โทสะย่อมเกิดเพราะความรัก
อย่างนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ความรักย่อมเกิดเพราะโทสะอย่างไร บุคคล
ในโลกนี้ไม่เป็นที่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจของบุคคล คนอื่น ๆ
มาประพฤติต่อบุคคลนั้น ด้วยอาการอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ