เมนู

อุรุเรลวรรคที่ 3



1. ปฐมอุรุเวลสูตร


ว่าด้วยคนไม่มีที่เคารพไม่มีที่ยำเกรงอยู่เป็นทุกข์


[21] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น
ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เมื่อครั้งแรกตรัสรู้ เราพักอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธ แทบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
ตำบลอุรุเวลา เมื่อเราเร้นอยู่ในที่สงัด เกิดปริวิตกขึ้นว่า คนไม่มีที่เคารพ
ไม่มีที่ยำเกรงอยู่เป็นทุกข์ เราจะพึงสักการะ เคารพ พึ่งพิงสมณะหรือ
พราหมณ์ผู้ใดอยู่เล่าหนอ เราตรองเห็นว่า เราจะพึงสักการะเคารพพึ่งพิงสมณะ
หรือพราหมณ์อื่นอยู่ ก็เพื่อทำสีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์
ของเราที่ยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์ ก็แต่ว่าเราไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์อื่น
ที่ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติยิ่งกว่าตนในโลกทั้งเทวโลก ทั้งมาร-
โลก ทั้งพรหมโลก ในหมู่สัตว์ทั้งเทวดามนุษย์ ทั้งสมณพราหมณ์ ซึ่งเรา
จะพึงสักการะเคารพพึ่งพิงอยู่ได้ดังนี้แล้ว เราตกลงใจว่า อย่ากระนั้นเลย ธรรม
ใดที่เราตรัสรู้นี้ เราพึงสักการะเคารพพึ่งพิงธรรมนั้นอยู่เถิด.
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นสหัมบดีพรหมรู้ความปริวิตกของเราด้วยใจ
(ของตน) แล้ว หายไปจากพรหมโลกมาปรากฏตัวต่อหน้าเรา (รวดเร็ว)
ประดุจบุรุษผู้มีกำลัง เหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เยียด ฉะนั้น

ครั้นแล้วสหัมบดีพรหมทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง คุกเข่าข้างขวาลงที่พื้นดิน
ประคองอัญชลีตรงมาทางเรา กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อที่
พระองค์ทรงตกลงพระหฤทัยนั้นถูกแล้ว ข้าแต่พระสุคตเจ้า ข้อที่พระองค์
ทรงตกลงพระหฤทัยนั้นชอบแล้ว พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะแม้เหล่าใดที่มีมา
แล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เหล่านั้น ก็ได้ทรงสักการะเคารพ
พึ่งพิงพระธรรมอยู่เหมือนกัน พระอรหันตสัมมาสมพุทธะแม้เหล่าใดที่จักมีใน
อนาคตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เหล่านั้น ก็จักทรงสักการะเคารพพึ่งพิง
พระธรรมนั่นแลอยู่ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธะในกาลบัดนี้
ก็ขอจงทรงสักการะเคารพพึ่งพิงพระธรรมนั้นอยู่เถิด สหัมบดีพรพมได้กล่าว
คำนี้แล้ว จึงกล่าวคำประพันธ์นี้ อีกว่า
พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใดที่ล่วงไป
แล้วก็ดี พระพุทธเจ่าเหล่าใดที่ยังไม่มาถึง
ก็ดี พระสัมพุธเจ้าพระองค์ใดผู้ยังความ
โศกของชนเป็นอันมากให้เสื่อมหายใน
ปัจจุบันนี้ก็ดี พระพุทะเจ้าทั้งปวงนั้นเป็น
ผู้ทรงเคารพพระสัทธรรมแล้ว ทรงเคารพ
พระสัทธรรมอยู่ และจักทรงเคารพพระ-
สัทธรรม นี่เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย.
เพราะเหตุนั้นแล ผู้รักตน จำนง
ความเป็นใหญ่ ระลึกถึงคำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึงเคารพพระสัท-
ธรรมเถิด.

ภิกษุทั้งหลาย สหัมบเพรหมกล่าวคำประพันธ์นี้แล้วอภิวาทเราทำ
ประทักษิณแล้วหายไปในที่นั้นแล
ครั้งนั้น เราแจ้งว่า พรหมวิงวอนและรู้ภาวะอันสมควรแก่ตนแล้ว
ธรรมใดที่เราได้ตรัสรู้แล้ว เราก็สักการะเคารพพึ่งพิงธรรมนั้นอยู่มา ก็แต่ว่า
เมื่อใด แม้สงฆ์ถึงพร้อมด้วยความใหญ่แล้ว เมื่อนั้นเราจะเคารพในสงฆ์ด้วย.
จมปฐมอุรุเวลสูตรที่ 1

อรุเวลวรรควรรณนาที่ 3



อรรถกถาอุรุเวลสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในอุรุเวลสูตรที่ 1 แห่งวรรคที่ 3 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อุรุเวลา ในบทว่า อุรุเวลายํ นี้ ได้แก่เขตทรายกองใหญ่
อธิบายว่า ทรายกองใหญ่. อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นเนื้อความในข้อนี้อย่างนี้ว่า
ทราบเรียกว่าอุรุ เขตแดนเรียกว่าเวลา. ทรายที่เขาขนมาเพราะละเมิดกติกา
เป็นเหตุ ชื่อว่าอุรุเวลา. ได้ยินว่า ในอดีตกาล เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่ทรงอุบัติ
กุลบุตรหมื่นคนบวชเป็นดาบสอยู่ในประเทศนั้น ในวันหนึ่ง ประชุมพร้อม
กันแล้งได้ตั้งกติกากันว่า ชื่อว่ากายกรรม วจีกรรม ย่อมปรากฏแก่ชนเหล่าอื่น
ได้ ส่วนมโนกรรมไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น บุคคลใดตรึกถึงกามวิตก พยาบาท-
วิตก หรือวิหิงสาวิตก. บุคคลอื่นชื่อว่า จะตักเตือนบุคคลนั้นไม่มี บุคคลนั้น
ตักเตือนตนด้วยตนเองแล้ว เอาใบไม้ห่อทรายนำมาเกลี่ยลงในที่นี้. นี้จัดเป็น
ทัณฑกรรมของบุคคลนั้น. ตั้งแต่นั้นมา ผู้ใดตรึกวิตกเช่นนั้น ผู้นั้นเอาใบไม้
ห่อทรายมารเกลี่ยลงในที่นั้น จึงเกิดเป็นกองทรายใหญ่ โดยลำดับในที่นั้น
ด้วยประการฉะนี้ ต่อมา หมู่คนที่เกิดในภายหลัง จึงล้อมกองทรายใหญ่นั้น