เมนู

เหล่านั้นในเพราะอำนาจจิตนี้. บทว่า อตฺถมญฺญาย ธมฺมมญฺญาย ได้แก่
รู้อรรถและบาลี. บทว่า ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺโน โหติ ความว่า เป็นผู้
ปฏิบัติธรรม คือ ปฏิปทาอันเป็นส่วนเบื้องต้น พร้อมด้วยศีลที่สมควรแก่
โลกุตรธรรม. บทว่า นิพฺเพธิกปญฺโญ ได้แก่ ปัญญาเป็นเครื่องชำแรก.
บทว่า อิทํ ทุกฺขํ ท่านอธิบายว่า ขันธ์ห้าเป็นไปในภูมิสามที่เหลือ เว้น
ตัณหาเป็นทุกข์. บทว่า ปญฺญาย คือด้วยมรรคปัญญา. บทว่า อยํ ทุกฺข-
สมุทโย
ท่านอธิบายว่า ตัณหาเป็นมูลของวัฏฏะ เป็นเหตุเกิดทุกข์นั้น. แม้
ในสองบทที่เหลือ พึงทราบเนื้อความโดยอุบายนี้. อรหัตผล พึงทราบว่า
ตรัสด้วยการตอบปัญหาข้อที่ 4.
จบอรรถกถาอุมมังคสูตรที่ 6

7. วัสสการสูตร


พระพุทธองค์ทรงตอบปัญหาวัสสการพราหมณ์


[187] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหาร-
เวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ครั้งนั้น แล วัสสการ-
พราหมณ์มหาอำมาตย์ของแคว้นมคธ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกัน
ไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อสัตบุรุษจะพึงรู้อสัตบุรุษด้วยกันได้หรือหนอว่า
ท่านผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ ? พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนพราหมณ์

ข้อที่อสัตบุรุษจะพึงรู้อสัตบุรุษด้วยกันว่า ท่านผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ ดังนี้ ไม่ใช่
ฐานะ ไม่ใช่โอกาสที่จะเป็นได้เลย.
วัส. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อสัตบุรุษจะพึงรู้สัตบุรุษได้หรือหนอว่า
ท่านผู้นี้เป็นสัตบุรุษ.
พ. ดูก่อนพราหมณ์ แม้ข้อที่อสัตบุรุษจะพึงรู้สัตบุรุษว่า ท่านผู้นี้
เป็นสัตบุรุษ ดังนี้ ก็ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาสจะพึงเป็นได้.
วัส. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สัตบุรุษพึงรู้สัตบุรุษด้วยกันได้หรือ
หนอแลว่า ท่านผู้นี้เป็นสัตบุรุษ.
พ. ดูก่อนพราหมณ์ ข้อที่สัตบุรุษพึงรู้สัตบุรุษด้วยกันว่า ท่านผู้นี้
เป็นสัตบุรุษ ดังนี้ เป็นฐานะเป็นโอกาสที่มีได้.
วัส. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สัตบุรุษพึงรู้อสัตบุรุษได้หรือหนอว่า
ท่านผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ.
พ. ดูก่อนพราหมณ์ แม้ข้อที่สัตบุรุษพึงรู้อสัตบุรุษว่า ท่านผู้นี้เป็น
อสัตบุรุษ ดังนี้ ก็เป็นฐานะเป็นโอกาสที่มีได้.
วัส. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว ข้าแต่
พระโคดมผู้เจริญ ข้อที่พระโคดมตรัส ชอบแล้วว่า ข้อที่อสัตบุรุษจะพึงรู้
อสัตบุรุษด้วยกันว่า ท่านผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ ดังนี้ ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาส
ที่จะเป็นได้ ข้อที่อสัตบุรุษจะพึงรู้สัตบุรุษว่า ท่านผู้นี้เป็นสัตบุรุษ ดังนี้
ก็ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะเป็นได้ ข้อที่สัตบุรุษจะพึงรู้สัตบุรุษด้วยกันว่า
ท่านผู้นี้เป็นสัตบุรุษ ดังนี้ เป็นฐานะเป็นโอกาสที่มีได้ และข้อที่สัตบุรุษ
จะพึงรู้อสัตบุรุษว่า ท่านผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ ดังนี้ ก็เป็นฐานะเป็นโอกาสที่มีได้
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ในบริษัทของโตเทยยพราหมณ์ พวกบริษัท
กล่าวติเตียนผู้อื่นว่า พระเจ้าเอเฬายยะผู้ทรงเลื่อมใสยิ่งนักในสมณรามบุตร

เป็นพาล ทรงการทำความเคารพอย่างยิ่งเห็นปานนี้ คือ ทรงอภิวาท ทรง
ลุกรับ ทรงกระทำอัญชลีกรรม และสามีจิกรรมในสมณรามบุตร แม้ข้าราช-
บริพารของพระเจ้าเอเฬยยะเหล่านี้ คือ ยมกะ โมคคัลละ อุคคะ นาวินากี
คันธัพพะ และอัคคิเวสสะ ผู้เลื่อมใสยิ่งนักในสมณรามบุตร ก็เป็นพาล และ
กระทำความเคารพอย่างยิ่งเห็นปานนี้ คือ อภิวาท ลุกรับ อัญชลีกรรม
และสามีจิกรรม ในสมณรามบุตร ส่วนโตเทยยพราหมณ์แนะนำบริษัทเหล่านั้น
โดยนัยนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน พระเจ้า
เอเฬยยะเป็นบัณฑิต ทรงสามารถเล็งเห็นประโยชน์ยิ่งกว่าผู้สามารถเล็งเห็น
ประโยชน์ ในกิจที่ควรทำและกิจที่ควรทำอันยิ่ง ในคำที่ควรพูดและคำที่
ควรพูดอันยิ่ง ? พวกบริวารรับว่า เป็นอย่างนั้น ท่านผู้เจริญ โตเทยย-
พราหมณ์กล่าวต่อไปว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เพราะเหตุที่สมณรามบุตรเป็น
ผู้ฉลาดกว่าพระเจ้าเอเฬยยะ เป็นผู้สามารถเล็งเห็นประโยชน์ยิ่งกว่า ฉะนั้น
พระเจ้าเอเฬยยะจึงทรงเลื่อมใสยิ่งนักในสมณรามบุตร และทรงกระทำความ
เคารพอย่างยิ่งเห็นปานนี้ คือ ทรงอภิวาท ทรงลุกรับ ทรงทำอัญชลีกรรม
และสามีจิกรรมในสมณรามบุตร ท่านผู้เจริญทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้น
เป็นไฉน ข้าราชบริพารของพระเจ้าเอเฬยยะ คือ ยมกะ โมคคัลละ อุคคะ
นาวินากี คันธัพพะ อัคคิเวสสะ เป็นผู้ฉลาดสามารถเล็งเห็นประโยชน์ยิ่งกว่า
ผู้สามารถเล็งเห็นประโยชน์ ในกิจที่ควรทำและกิจที่ควรทำอันยิ่ง ในคำที่
ควรพูดและคำที่ควรพูดอันยิ่ง ? พวกบริวารรับว่าเป็นอย่างนั้นท่านผู้เจริญ
โตเทยยพราหมณ์กล่าวต่อไปว่า เพราะเหตุที่สมณรามบุตร เป็นบัณฑิตยิ่งกว่า
ข้าราชบริพารผู้เป็นบัณฑิตของพระเจ้าเอเฬยยะ เป็นผู้สามารถเล็งเห็นประโยชน์
ยิ่งกว่าผู้สามารถเล็งเห็นประโยชน์ ในกิจที่ควรทำและกิจที่ควรทำอันยิ่ง ในคำ
ที่ควรพูดและคำพูดที่ควรพูดอันยิ่ง ฉะนั้น พวกข้าราชบริพารของพระเจ้า-

เอเฬยยะ จึงเลื่อมใสยิ่งนักในสมณรามบุตร และกระทำความเคารพ อย่างยิ่ง
เห็นปานนี้ คือ อภิวาท ลุกรับ อัญชลีกรรม และสามีจิกรรม ในสมณ-
รามบุตร ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว ข้อที่พระ-
โคดมผู้เจริญตรัสนั้นชอบแล้ว ...ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บัดนี้ ข้าพระองค์
ทั้งหลายขอทูลลาไป ข้าพระองค์ทั้งหลายมีกิจมาก มีกรณียะมาก
พ. ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงรู้กาลอันควรในบัดนี้เถิด.
ครั้งนั้นแล วัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์ของแคว้นมคธ ชื่นชม
อนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ลุกจากอาสนะแล้วหลีกไป.
จบวัสสการสูตรที่ 7

อรรถกถาวัสสการสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในวัสสการสูตรที่ 7 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า โตเทยฺยสฺส คือพราหมณ์ชาวตุทิคาม. บทว่า ปริสติ
ได้แก่ ในบริษัทผู้ประชุมพร้อมกันแล้ว. บทว่า ปรูปารมฺภํ วตฺเตนฺติ
ความว่า ประพฤติแล้วติเตียนผู้อื่น. บทว่า พาโล อยํ ราชา เป็นอาทิ
ท่านกล่าวเพื่อแสดงคำติเตียน ซึ่งชนเหล่านั้นประพฤติกัน. บทว่า สมเณ
รามปุตฺเต
ได้แก่ อุททกดาบสรามบุตร. บทว่า อภิปฺปสนฺโน ได้แก่
เลื่อมใสเหลือเกิน. บทว่า ปรมนิปจฺจการํ ได้แก่ กิริยาที่อ่อนน้อมอย่าง
ยิ่งยวด คือประพฤติถ่อมตน. บทว่า ปริหารกา ได้แก่ บริวาร. บท
เป็นต้น ว่า ยมโก เป็นชื่อของบริวารชนเหล่านั้น จริงอยู่ บรรดาบริวารชน
เหล่านั้น คนหนึ่งชื่อยมกะ คนหนึ่งชื่อโมคคัลละ คนหนึ่งชื่ออุคคะ คนหนึ่ง