เมนู

พระสุตตันตปิฎก



อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต



เล่มที่ 2


ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ปฐมปัณณาสก์


ภัณฑคามวรรคที่ 1



1. อนุพุทธสูตร


ว่าด้วยอริยธรรม 4


[1] ข้าพเจ้า (พระอานนท์) ได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ บ้านภัณฑคามในแคว้น
วัชชี ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายในที่นั้นด้วยพระพุทธพจน์ ว่า ภิกฺขโว (ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย). ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลขานรับด้วยคำว่า ภทนฺเต (พระพุทธ-
เจ้าข้า) แล้วตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะไม่รู้ไม่แจ้งซึ้งธรรม 4 ประการ เราท่าน
ทั้งหลายจึงได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่สิ้นกาลนาน ธรรม 4 ธรรม คืออะไรบ้าง
คือ อริยศีล อริยสมาธิ อริยปัญญา อริยวิมุตติ.

ภิกษุทั้งหลาย อริยศีล อริยสมาธิ อริยปัญญา อริยวิมุตติ นี้นั้น
เราท่านได้รู้แล้วได้แจ้งแล้ว ความทะเยอทะยานในภพ เป็นอันเราท่านถอน
ได้แล้ว สายโยงไปสู่ภพขาดสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้พระสุคตศาสดา ได้ตรัสพระธรรมเทศนา
ไวยากรณภาษิตนี้แล้ว ครั้นแล้วจึงตรัสนิคมคาถาประพันธ์นี้อีกว่า
สีลสมาธิปญฺญา จ วิมุตฺติ จ อนุตฺตรา
อนุพุทฺธา อิเม ธมฺมา โคตเมน ยสสฺสินา
ธรรมเหล่านี้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
และวิมุตติ อันยอดเยี่ยม พระโคดมผู้
ทรงเกียรติ ได้ตรัสรู้แล้ว.
อิติ พุทฺโธ อภิญฺญาย ธมฺมมกฺขาสิ ภิกฺขุนํ
ทุกฺขสฺสนฺตกโร สตฺถา จกฺขุมา ปรินิพฺพุโต
พระพุทธเจ้า ครั้นทรงรู้จริงอย่างนี้
แล้ว ทรงบอกพระธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย
พระองค์ผู้พระศาสดามีจักษุ ทรงกระทำ
ที่สุดทุกข์ ดับสนิทแล้ว.

จบอนุพุทธสูตรที่ 1

อรรถกถาอังคุตตรนิกาย ชื่อ มโนรถปูรณี


จตุกนิบาตวรรณนา



ปฐมปัณณาสก์


ภัณฑคามวรรควรรณนาที่ 1



อรรถกถาอนุพุทธสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในอนุพุทธสูตรที่ 1 แห่งจตุกนิบาต ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อนนุโพธา ได้แก่ เพราะไม่รู้ เพราะไม่ทราบ บทว่า
อปฺปฏิเวธา ได้แก่ เพราะไม่แทงตลอด คือ เพราะไม่ทำให้ประจักษ์ บทว่า
ทีฆมทฺธานํ แปลว่า สิ้นกาลนาน. บทว่า สนฺธาวิตํ ได้แก่ แล่นไป
โดยไปจากภพสู่ภพ. บทว่า สํสริตํ ได้แก่ ท่องเที่ยวไป โดยไปมาบ่อย ๆ.
บทว่า มมญฺเจว ตุมฺหากญฺจ แปลว่า อันเราและอันท่านทั้งหลาย. อีก
อย่างหนึ่ง ในบทว่า สนฺธาวิตํ สํสริตํ นี้ พึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า
การแล่นไป การท่องเที่ยวไป ได้มีแล้วทั้งแก่เราทั้งแก่ท่านทั้งหลาย บทว่า
อริยสฺส ได้แก่ไม่มีโทษ. ก็ธรรม 3 เหล่านี้ คือ ศีล สมาธิ และปัญญา พึง
ทาบว่า สัมปยุตตด้วยมรรคและผลแล. ผลเท่านั้น ท่านแสดงโดยชื่อว่า วิมุตติ.
บทว่า ภวตณฺหา ได้แก่ ตัณหาในภพทั้งหลาย. บทว่า ภวเนตฺติ ได้แก่
ตัณหา ดุจเชือกผูกสัตว์ไว้ในภพ. บทนั้นเป็นชื่อของตัณหานั่นแล จริงอยู่
ตัณหานั้นนำสัตว์ทั้งหลายไปสู่ภพนั้น ๆ เหมือนผูกคอโค เพราะฉะนั้น ตัณหา
นั้น ท่านจึงเรียกว่า ภวเนตฺติ. บทว่า อนุตฺตรา ได้แก่ โลกุตระ บทว่า
ทุกฺขสฺสนฺตกโร ได้แก่ ทรงทำที่สุดแห่งวัฏทุกข์. บทว่า จกฺขุมา ได้แก่
ทรงมีจักษุด้วยจักษุทั้ง 5. บทว่า ปรินิพฺพุโต ได้แก่ ปรินิพพานแล้วด้วย

กิเลสปรินิพพาน (คือดับกิเลส). ทรงจบเทศนาตามลำดับอนุสนธิว่า นี้เป็นการ
ปรินิพพานครั้งแรกของพระศาสดานั้น ณ โพธิมัณฑสถาน. แต่ภายหลังพระองค์
ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุดับขนธ์ ณ ระหว่างไม่สาละคู่ดังนี้.
อรรถกถาอนุพุทธสูตรที่ 1

2. ปปติตสูตร


ว่าด้วยผู้ตกจากพระธรรมวินัย


[2] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ไม่ประกอบด้วยธรรม . ประการ
เรียกว่า ผู้ตกจากพระธรรมวินัยนี้ ธรรม 8 ประการ คืออะไรบ้าง คือ
อริยศีล อริยสมาธิ อริยปัญญา อริยวิมุตติ บุคคลผู้ไม่ประกอบด้วยธรรม
ประการนี้แล เรียกว่า ผู้ตกจากพระธรรมวินัยนี้.
บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการนี้ เรียกว่า ผู้ไม่ตกจากพระ-
ธรรมวินัยนี้ ธรรม 4 ประการคืออะไรบ้าง คือ อริยศีล อริยสมาธิ อริย-
ปัญญา อริยวิมุตติ บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการนี้แล เรียกว่า
ผู้ไม่ตกจากพระธรรมวินัยนี้.
(นิคมคาถา)
บุคคลผู้เคลื่อนไป (จากคุณมีอริยศีล
เป็นต้น) ชื่อว่า ตก (จากพระธรรมวินัย)
ผู้ตกแล้ว และยังกำหนัดยินดี ก็ต้องมา
(เกิด) อีก ความสุขย่อมมาถึง ผู้ทำกิจที่
ควรทำแล้ว ยินดีคุณที่ควรยินดีแล้ว โดย
สะดวกสบาย.

จบปปติตสูตรที่ 2

อรรถกถาปปติตสูตร


พึงทราบวินิจฉัยให้ปปติตสูตรที่ 2 ดังต่อไปนี้:-
บทว่า ปปติโต ได้แก่ ผู้เคลื่อนไป. บทว่า อปฺปปติโต ได้แก่
ผู้ตั้งอยู่แล้ว. บรรดาบุคคลเหล่านั้น โลกิยมหาชนชื่อว่า ตกไปทั้งนั้น. พระ
อิริยบุคคลมีพระโสดาบันเป็นต้น ชื่อว่า ตกไปในขณะเกิดกิเลส. พระขีณาสพ
ชื่อว่า ตั้งอยู่แล้วโดยส่วนเดียว. บทว่า จุตา ปตนฺติ ความว่า ชนเหล่าใด
เคลื่อนไป ชนเหล่านั้น ชื่อว่าตก. บทว่า ปติตา ความว่า ชนเหล่าใด
ตกไป ชนเหล่านั้น ชื่อว่าเคลื่อนไป. อธิบายว่า ชื่อว่าตกเพราะเคลื่อนไป
ชื่อว่าเคลื่อนไป เพราะตกดังนี้. บทว่า คิทฺธา ได้แก่บุคคลผู้กำหนัดเพราะ
ราคะ. บทว่า ปุนราคตา ความว่า ย่อมชื่อว่าเป็นผู้มาสู่ชาติ ชรา พยาธิ
มรณะอีก. บทว่า กตกิจฺจํ ความว่า ทำกิจที่ควรทำด้วยมรรค 4. บทว่า
รตํ รมฺมํ ความว่า ยินดีแล้วในคุณชาติที่ควรยินดี. บทว่า สุเขนานฺวาคตํ
สุขํ
ความว่า จากสุขมาตามคือถึงพร้อมซึ่งสุข อธิบายว่า จากสุขของมนุษย์
มาถึงคือบรรลุสุขทิพย์ จากสุขในฌานมาถึงสุขในวิปัสสนา จากสุขในวิปัสสนา
มาถึงสุขในมรรค จากสุขในมรรคมาถึงสุขในผล จากสุขในผล ก็มาถึงสุขใน
นิพพาน.
จบอรรถกถาปปติตสูตรที่ 2

3.ปฐมขตสูตร


ว่าด้วยธรรม 4 ประการ ของคนพาลและบัณฑิต


[3] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการ
เป็นคนพาล เป็นคนโง่เขลา เป็นอสัตบุรุษ ครองตนอันถูกขุด (รากคือ
ความดี) เสียแล้ว ถูกขจัดไปครึ่งหนึ่งแล้ว เป็นคนประกอบด้วยโทษ ผู้รู้
เคียน และได้สิ่งอันไม่เป็นบุญมากด้วย ธรรม 4 ประการเป็นไฉน คือ
บุคคลไม่ใคร่ครวญไม่สอบสวนแล้ว ชมคนที่ควรติ 1 ติคนที่ควรชม 1
ปลูกความเลื่อมใสในฐานะอันไม่ควรเลื่อมใส 1 แสดงความไม่เลื่อมใสในฐานะ
อันควรเลื่อมใส 1 บุคคลประกอบด้วยธรรม 4 ประการนี้แล เป็นคนพาล ฯลฯ
และได้สิ่งอันไม่เป็นบุญมากด้วย
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลประกอบด้วยธรรม 4 ประการ เป็นบัณฑิต
เป็นคนฉลาด เป็นสัตบุรุษ ครองตนอันไม่ถูกขุด ไม่ถูกขจัดไปครึ่งหนึ่ง
เป็นผู้หาโทษมิได้ ผู้รู้สรรเสริญ และได้บุญมากด้วย ธรรม 4 ประการ
เป็นไฉน คือบุคคลใคร่ครวญสอบสวนแล้ว ติคนที่ควรติ ชมคนที่ควรชม 1
แสดงความไม่เลื่อมใสในฐานะอันไม่ควรเลื่อมใส 1 ปลูกความเลื่อมใสในฐานะ
อันควรเลื่อมใส 1 บุคคลประกอบด้วยธรรม 4 ประการนี้แล เป็นบัณฑิตฯลฯ
และได้บุญมากด้วย
(นิคมคาถา)
ผู้ใดชมคนที่ควรติ หรือ ติคนที่
ควรชม ผู้นั้น ชื่อว่าก่อ (กลี) ความร้าย
ด้วยปาก เพราะความร้ายนั้น เขาก็ไม่ได้