เมนู

(ธุระในการอบรมจิตใจ) และคันถธุระให้บริบูรณ์ได้ เพราะตนเป็นผู้
มีร่างกายสบาย. เพราะเหตุนั้น ลาภทั้งหลายจึงเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้นแล.
จบอรรถกถาปสาทกรธรรมวรรค

อรรถกถาอปรอัจฉราสังฆาตวรรค1



พระสูตรแม้นี้ว่า อจฺฉราสงฺฆาตมตฺตํ ดังนี้ ตรัสไว้ในเหตุเกิดเรื่อง
ของอัคคิกขันโธปมสูตร. ก็กถาที่พูดถึงผลของเมตตาที่ไม่ถึงอัปปนาไม่มี.
พระธรรมเทศนานี้พึงทราบว่าทรงปรารภในเมื่อเกิดเรื่องนั้น นั่นแล.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปฐมํ มีเนื้อความดังกล่าวไว้ในวิภังค์ว่า
เป็นที่ 1 ตามลำดับแห่งการนับ ชื่อว่าเป็นที่ 1 เพราะเข้าฌานที่ 1 นี้.
บทว่า ณานํ ความว่า ชื่อว่าฌานมี 2 อย่าง คือ อารัมมณูปนิชฌาน
และลักขณูปนิชฌาน. ในฌาน 2 อย่างนั้น สมาบัติ 8 ชื่อว่า อารัมม-
ณูปนิชฌาน.
ก็สมาบัติ 8 เหล่านั้น เรียกว่าอารัมมณูปนิชฌาน เพราะ
เข้าไปเพ่งอารมณ์มีปฐวีกสิณเป็นต้น . วิปัสสนา มรรค และผล ชื่อว่า
ลักขณูปนิชฌาน. ก็วิปัสสนาชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะเข้าไปเพ่ง
ลักษณะของสังขารด้วยอำนาจไตรลักษณ์มีความไม่เที่ยงเป็นต้น . ก็มรรค
ท่านเรียกว่าลักขณูปนิชฌาน เพราะกิจในการเข้าไปเพ่งลักษณะแห่ง
วิปัสสนา ย่อมสำเร็จด้วยมรรค ผลท่านเรียกว่าลักขณะปนิชฌาน เพราะ
เข้าไปเพ่งพระนิพพานอันมีลักษณะเป็นสุญญตะ (ว่างเปล่า) อนิมิตตะ
(ไม่มีนิมิต) และอัปปณิหิตะ (ไม่มีที่ตั้ง ). ก็บรรดาฌาน 2 อย่างนั้น
ในอรรถนี้ประสงค์เอาอารัมมณูปนิชฌาน.

1. บาลีข้อ 208 - ข้อ 224 ในบาลีไม่ได้แยกเป็นวรรค แต่รวมอยู่ในปสาทกรธัมมาทิบาลี.

บทว่า โก ปน วาโท เย น พหุลีกโรนฺติ ความว่า ไม่มี
คำที่จะพึงกล่าวในชนผู้การทำปฐมฌานนั้นให้มาก คำที่เหลือในสูตรนี้
พึงเข้าใจโดยนัยดังกล่าวไว้แล้วในหนหลังนั้นแล.
แม้ในบทว่า ทุติยํ ดังนี้เป็นต้นไป ก็พึงทราบเนื้อความโดยนัย
มีอาทิว่า เป็นที่ 2 ความลำดับแห่งการนับ ดังนี้ .
บทว่า เมตฺตํ ได้แก่ แผ่ประโยชน์เกื้อกูลไปในสรรพสัตว์ทั้งหลาย.
บทว่า เจโตวิมุตฺตึ ได้แก่ ความหลุดพ้นด้วยจิต. เมตตาที่ถึงอัปปนา
เท่านั้น ท่านประสงค์เอาในที่นี้. แม้ในกรุณาเป็นต้นก็มีนัยนี้นั่นแล. ก็
พรหมวิหาร 4 เหล่านี้เป็นวัฏฏะ เป็นบาทแห่งวัฏฏะ เป็นบาทแห่ง
วิปัสสนา เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน เป็นบาทแห่งอภิญญา
หรือเป็นบาทแห่งนิโรธ. แต่ไม่เป็นโลกุตระ. ถามว่า เพราะเหตุไร.
ตอบว่า เพราะยังมีสัตว์เป็นอารมณ์.
บทว่า กาเย กายานุปสฺสี ความว่า ผู้พิจารณาเห็นด้วยปัญญา
ซึ่งกายนั้นแล ในกาย 18 ประการนี้คือ อานาปานบรรพ 1 อิริยา-
ปถบรรพ 1 จตุสัมปชัญญบรรพ 1 ปฏิกูลมนสิกาพรรพ 1 ธาตุ-
มนสิการบรรพ 1 นวสีวถิกาบรรพ 9 กสิณมีนีลกสิณเป็นต้น 4 เนื่อง
ด้วยบริกรรมภายใน. บทว่า วิหรติ แปลว่า เป็นอยู่ คือเป็นไปอยู่.
ด้วยบทว่า วิหรติ นี้ ย่อมเป็นอันกล่าวถึงอิริยาบถของภิกษุผู้เจริญกายา-
นุปัสสนาสติปัฏฐานด้วยกาย 18 อย่างนี้ด้วย. บทว่า อาตาปี ได้แก่ มีความ
เพียร ด้วยความเพียรเป็นเครื่องเจริญสติปัฏฐานมีประการดังกล่าวแล้วนั้น
นั่นแล. บทว่า สมฺปชาโน ได้แก่ รู้อยู่โดยชอบด้วยปัญญาเครื่อง
พิจารณากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ด้วยกาย 18 อย่าง. บทว่า สติมา

ผู้ประกอบด้วยสติอันควบคุมการพิจารณาเห็นกายด้วยกาย 18 อย่าง.
บทว่า วิเนยฺย โลเก อภิาชฺฌาโทมนสฺสํ มีอธิบายว่า ภิกษุนำออก
คือข่มตัณหาอันเป็นไปในกามคุณ 5 และโทมนัสอันประกอบด้วยปฏิฆะ
ในโลก กล่าวคือกายนั้นนั่นแหละ เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่.
ด้วยประการเพียงเท่านี้ พึงทราบว่า ท่านกล่าวการพิจารณารูปล้วนๆ ด้วย
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน.
บทว่า เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี ความว่า ก็ในคำเป็นต้นว่า
บรรดาเวทนาทั้งหลายมีสุขเวทนาเป็นต้น ภิกษุเป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนา
9 อย่างดังที่ตรัสไว้อย่างนี้ว่า เมื่อเสวยสุขเวทนา ย่อมรู้ชัดว่า เรากำลัง
เสวยสุขเวทนา เมื่อเสวยทุกขเวทนา ย่อมรู้ชัดว่า เรากำลังเสวยทุกขเวทนา
เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา ( เวทนาที่ไม่สุขไม่ทุกข์) ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวย
อทุกขมสุขเวทนา เมื่อเสวยสุขเวทนาอิงอามิส หรือสุขเวทนาปราศจาก
อามิส ทุกขเวทนาอิงอามิส หรือทุกขเวทนาปราศจากอามิส อทุกขมสุข
เวทนาอิงอามิส หรืออทุกขมสุขเวทนาปราศจากอามิส ย่อมรู้ชัดว่า เรา
เสวยอทุกขมสุขเวทนาปราศจากอามิส ดังนี้ พึงทราบเนื้อความในเรื่องนี้
ด้วยอำนาจของวิริยะ ปัญญา และสติ ซึ่งเป็นตัวกำกับการเจริญเวทนา-
นุปัสสนาสติปัฏฐานโดยประการ 9 อย่าง. ก็ในบทว่า โลเก นี้ พึงทราบว่า
ได้แก่เวทนา.
แม้ในจิตและธรรมเป็นต้นก็มีนัยนี้แหละ. แต่บทว่า จิตฺเต จิตฺตา-
นุปสฺสี
ในสูตรนี้ มีความหมายว่า พิจารณาเห็นด้วยอนุปัสสนาอัน
พิจารณาอย่างนี้ ในจิต 16 ประเภทที่ท่านขยายความไว้ว่า หรือย่อม
รู้ชัดจิตมีราคะว่าเป็นจิตมีราคะ
ดังนี้.
บทว่า ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี ความว่า พิจารณาเห็นธรรม

เหล่านั้นด้วยอนุปัสสนาอันเป็นตัวพิจารณา ในธรรมที่กล่าวไว้ 5 ประการ
ด้วยโกฏฐาส คือส่วนอย่างนี้ คือนิวรณ์ 5 อุปาทานขันธ์ อายตนะ
ภายในและอายตนะภายนอกอย่างละ 6 โพชฌงค์ 7 อริยสัจ 4.
ก็ในการพิจารณาเห็นธรรมนี้ ท่านกล่าวการพิจารณานามล้วน ๆ
ในเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน และจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน. กล่าว
ถึงการพิจารณาทั้งรูปและนามในสัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน. พึงทราบว่า
สติปัฏฐานแม้ทั้ง 4 นี้ ท่านกล่าวทั้งโลกิยะและโลกุตระคละกันไป.
บทว่า อนุปฺปนฺนานํ ได้แก่ ที่ยังไม่เกิด. บทว่า ปาปกานํ
ได้แก่ ต่ำทราม. บทว่า อกุสลานํ ธมฺานํ ได้แก่ ธรรมมีโลภะ
เป็นต้นอันเกิดจากความไม่ฉลาด. บทว่า อนุปฺปาทาย คือเพื่อต้องการ
ไม่เกิด. บทว่า ฉนฺทํ ชเนติ ความว่า ย่อมให้เกิดกุศลฉันทะในความ
เป็นผู้ใคร่จะทำ. บทว่า วายมติ ได้แก่ กระทำความเพียรเป็นเครื่อง
ประกอบ คือความบากบั่น. บทว่า วิริยํ อารภติ ได้แก่ กระทำ
ความเพียรทางกายและทางใจ. บทว่า จีตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ได้แก่ ยกจิต
ขึ้นด้วยความเพียรอันเกิดร่วมกันนั้นนั่นแหละ. บทว่า. ปทหติ ได้แก่
กระทำความเพียรอันเป็นปธานะ.
บทว่า อุปฺปนฺนานํ ได้แก่ เกิดแล้ว คือบังเกิดแล้ว. บทว่า
กุสลานํ ธมฺมานํ ได้แก่ ธรรมมีอโลภะเป็นต้นอันเกิดจากความฉลาด.
บทว่า ฐิติยา แปลว่า เพื่อความตั้งอยู่. บทว่า อสมฺโมสาย
แปลว่า เพื่อความไม่เลือนหาย. บทว่า ภิยโยภาวาย แปลว่า เพื่อ
ความมีบ่อย ๆ. บทว่า วิปุลาย แปลว่า เพื่อความไพบูลย์. บทว่า
ภาวนาย แปลว่า เพื่อความเจริญ. บทว่า ปาริปูริยา แปลว่า เพื่อ

ความบริบูรณ์.
การขยายความเฉพาะบทเดียวสำหรับสัมมัปปธาน 4 เพียงเท่านี้
ก่อน. ก็ชื่อว่ากถาว่าด้วยสัมมัปปธานนี้มี 2 อย่าง คือ เป็นโลกิยะ 1
เป็นโลกุตระ 1. ในกถา 2 อย่างนั้น สัมมัปปธานกถาอันเป็นโลกิยะ
มีอยู่ในเบื้องต้นแห่งกถาทั้งปวง. กถาว่าด้วยสัมมปปธานอันเป็นโลกิยะ
นั้น พึงทราบได้เฉพาะในขณะมรรคอันยังเป็นโลกิยะโดยปริยายแห่ง
กัสสปสังยุต.
สมจริงดังที่ท่านพระมหากัสสปกล่าวไว้ในกัสสปสังยุตนั้นว่า
ผู้มีอายุ สัมมัปปธาน ( ความเพียรชอบ )
4 เหล่านี้ สัมมปปธาน 4 อย่างเป็นไฉน. ผู้มีอายุ
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมกระทำความเพียรอยู่ว่า
อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดขึ้นแก่เรา เมื่อเกิด
ขึ้นพึงเป็นไปเพื่อความฉิบหาย, ย่อมกระทำความ
พากเพียรอยู่ว่า อกุศลธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้ว
แก่เรา เมื่อยังละไม่ได้ พึงเป็นไปเพื่อความฉิบหาย,
ย่อมกระทำความพากเพียรอยู่ว่า กุศลธรรมที่ยังไม่
เกิดขึ้นแก่เรา เมื่อยังไม่เกิดขึ้น พึงเป็นไปเพื่อ
ความฉิบหาย, ย่อมกระทำความพากเพียรอยู่ว่า
กุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วแก่เรา เมื่อดับไป พึงเป็น
เพื่อความฉิบหายดังนี้.

ก็ในอธิการนี้ อกุศลธรรมทั้งหลายมีโลภะเป็นต้น พึงทราบว่า
อกุศลธรรมอันลามก. บทว่า อนุปฺปนฺนา เม กุสลา ธมฺมา ได้แก่

สมถวิปัสสนาและมรรค. สมถวิปัสสนาและมรรค ชื่อว่ากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว.
แต่มรรคนั้นเกิดขึ้นคราวเดียวแล้วดับไป ชื่อว่าย่อมเป็นไปเพื่อความ
ฉิบหาย. เพราะมรรคนั้นให้ปัจจัยแก่ผล (ก่อน) แล้วก็ดับไป.
อีกอย่างหนึ่ง แม้ในตอนต้นกล่าวไว้ว่า พึงถือเอาเฉพาะสมถวิปัสสนา
เท่านั้น ชื่อว่ากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว แค่คำที่กล่าวนั้นไม่ควร. กถาว่าด้วย
สัมมัปปธานอันเป็นโลกิยะ พึงทราบโดยปริยายแห่งกัสสปสังยุตในตอน
ต้น ๆ แห่งสูตรทั้งปวง. ก็ในขณะโลกุตรมรรค ความเพียรอย่างเดียว
นี้เท่านั้น ได้ชื่อ 4 ชื่อ เนื่องด้วยทำกิจ 4 อย่างให้สำเร็จ.
ในบทว่า อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ นี้ ในบาลีแห่งกัสสปสังยุต
นั้น พึงทราบความตามนัยที่กล่าวในบทว่า อนุปฺปนฺโน เจว กามฉนฺโท
(กามฉันทะยังไม่เกิดขึ้น) ดังนี้เป็นต้น.
ในบทว่า อุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ นี้ อุปปันนะมี 4 อย่าง คือ
วัตตมานุปปันนะ ภุตวาวิคตุปปันนะ โอกาสกตุปปันนะ ภูมิลัทธุป-
ปันนะ.
ในอุปปันนะ 4 อย่างนั้น ข้อที่กิเลสมี (และ) พร้อมพรั่งด้วย
การถือมั่น นี้ ชื่อว่า วัตตมานุปปันนะ.
ก็เมื่อกรรมเป็นไปอยู่ เสวยรสอารมณ์แล้ว วิบากดับไป ชื่อว่า
ภุตวาวิคตุปปันนะ. กรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ก็ชื่อว่าภุตวาวิคตุป-
ปันนะ. แม้ทั้งสองความหมายนั้นก็นับว่า ภุตวาวิคตุปปันนะ.
กุศลกรรมห้ามวิบากของกรรมอื่นเสีย ให้โอกาสแก่วิบากของตน.
วิบากที่เกิดขึ้นในโอกาสที่ได้อย่างนี้ เรียกว่า อุปปันนะ จำเดิมแต่ได้

โอกาสนี้ ชื่อว่า โอกาสกตุปปันนะ.
ก็เบญจขันธ์ ชื่อว่าภูมิของวิปัสสนา. เบญจขันธ์เหล่านั้น เป็น
ขันธ์ต่างโดยอดีตขันธ์เป็นต้น. ส่วนกิเลสอื่นอันเนื่องอยู่ ในเบญจขันธ์
เหล่านั้น ไม่ควรกล่าวว่าเป็นอดีตหรืออนาคต. เพราะกิเลสแม้นอน
เนื่องอยู่ในอดีตขันธ์ ก็ยังละไม่ได้ แม้ที่นอนเนื่องอยู่ในอนาคตขันธ์
ก็ยังละไม่ได้ แม้ที่นอนเนื่องอยู่ในปัจจุบันขันธ์ ก็ยังละไม่ได้ เพราะ
เหตุนั้น ข้อที่ยังละกิเลสอันนอนเนื่องในขันธ์ต่าง ๆ ไม่ได้นี้ชื่อว่า ภูมิ-
ลัทธุปปันนะ.
เพราะเหตุนั้น ท่านโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า
กิเลสทั้งหลายที่ยังถอนไม่ได้ในภูมินั้นๆย่อมนับว่า ชื่อว่าภูมิลัทธุปปันนะ.
อุปปันนะ 4 ประการ อีกอย่างหนึ่ง คือ สมุทาจารุปปันนะ
อารัมมณาธิคหิตุปปันนะ อวิกขัมภิตุปปันนะ อสมุคฆาฏิตุปปันนะ.
ในอุปปันนะ 4 อย่างนั้น อุปปันนะที่เป็นไปทันทีทันใด ชื่อว่า
สมุทาจารุปปันนะ.
ไม่ควรกล่าวว่า กิเลสจักไม่เกิดขึ้น. ในขณะที่ลืมตาขึ้นครั้งหนึ่ง
แล้วระลึกถึงอารมณ์ที่ถือเป็นนิมิต. เพราะเหตุไร. เพราะกิเลสยึดติด
อารมณ์. ถามว่า เหมือนอะไร. ตอบว่า เหมือนบุคคลเอาขวานฟัน
ต้นไม้ที่มียาง พูดไม่ได้ว่าในที่ที่ถูกขวานฟันแล้ว ยางจักไม่ไหล. นี้
ชื่อว่าอารัมมณาธิคหิตุปปันนะ.
ก็กิเลสที่ไม่ได้ข่มไว้ด้วยสมาบัติ ไม่ควรกล่าวว่าจักไม่เกิดในที่ชื่อนี้.
ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะไม่ได้ข่มไว้. ถามว่า เหมือน
อะไร. ตอบว่า เหมือนคนเอาขวานตัดต้นไม้ที่มียาง ไม่ควรกล่าวว่า
ยางจะไม่ไหลในที่ชื่อนี้. อันนี้ชื่อว่าอวิกขัมภิตุปปันนะ.

ก็กิเลสที่ยังไม่ได้ถอนขึ้นด้วยมรรค ย่อมเกิดแม้แก่ผู้บังเกิดใน
ภวัคคพรหม เพราะเหตุนั้น พึงขยายความให้พิสดารโดยนัยก่อนนั้นแล.
อันนี้ชื่อว่าอสมุคฆาฏิตุปปันนะ.
ในอุปปันนะเหล่านั้น อุปปันนะ 4 อย่าง คือ วัตตมานุปปันนะ
ภุตวาวิคตุปปันนะ โอกาสกตุปปันนะ สมุทาจารุปปันนะ ไม่เป็น
อุปปันนะที่มรรคจะพึงฆ่า. อุปปันนะที่มรรคจะพึงฆ่าได้มี 4 อย่าง คือ
ภูมิลัทธุปปันนะ อารัมมณาธิคหิตุปปันนะ อวิกขัมภิตุปปันนะ อสมุค-
ฆาฏิตุปปันนะ. เพราะมรรคเกิดขึ้นย่อมละกิเลสเหล่านี้. มรรคนั้นละ
กิเลสเหล่าใด กิเลสเหล่านั้นไม่ควรจะกล่าวว่าเป็นอดีต อนาคต หรือ
ปัจจุบัน.
สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า
หากละกิเลสอันเป็นอดีตไซร้ ถ้าอย่างนั้น
ก็ย่อมยังกิเลสที่สิ้นไปแล้วให้สิ้นไปได้ ดับกิเลสที่ดับ
แล้วให้ดับได้ ยังกิเลสที่ถึงการตั้งอยู่ไม่ได้ ให้ถึงการ
ตั้งอยู่ไม่ได้ ละกิเลสที่ล่วงไปแล้วซึ่งไม่มีอยู่ได้. หาก
ละกิเลสอันเป็นอนาคตได้ไซร้ ถ้าอย่างนั้น ก็ย่อมละ
กิเลสที่ยังไม่เกิด ย่อมละกิเลสที่ยังไม่บังเกิด ยังไม่
เกิดขึ้นแล้ว ยังไม่ปรากฏได้ ย่อมละกิเลสที่ยัง
ไม่มาถึงซึ่งไม่มีอยู่ได้. หากละกิเลสอันเป็นปัจจุบัน
ได้ไซร้ ถ้าอย่างนั้น คนผู้กำหนัด ย่อมละราคะได้
คนผู้ประทุษร้าย ย่อมละโทสะได้ คนผู้หลง ย่อม
ละโมหะได้ คนผู้เย่อหยิ่ง ย่อมละมานะได้ คนผู้

ยึดมั่นความเห็นผิด ย่อมละทิฏฐิได้ คนผู้ตัดสินใจ
ไม่ได้ ย่อมละวิจิกิจฉาได้ คนผู้มีเรี่ยวแรง ย่อม
ละอนุสัยได้ ธรรมดำกับธรรมขาว ก็ย่อมจะเป็นธรรม
คู่กำกับกันเป็นไป. การบำเพ็ญมรรคก็ย่อมเป็นไป
กับสังกิเลส ฯ ล ฯ. ถ้าอย่างนั้น การบำเพ็ญมรรค
ย่อมไม่มี, การทำผลให้แจ้ง ย่อมไม่มี. การละกิเลส
ย่อมไม่มี, การตรัสรู้ธรรม ย่อมไม่มี. การบำเพ็ญ
มรรค มีอยู่ ฯ ล ฯ การตรัสรู้ธรรม มีอยู่. ถามว่า
เปรียบเหมือนอะไร. ตอบว่า เปรียบเหมือนต้นไม้
รุ่น ๆ ฯ ล ฯ เป็นไม้ที่ยังไม่ปรากฏ ( ผล ) ย่อมไม่
ปรากฏ (ผล) เลย.

ต้นไม้ที่ยังไม่เกิด ( มีที่ ) มาในพระบาลี แต่ควรแสดงต้นไม้
ที่เกิดผลด้วย. เปรียบเหมือนต้นมะม่วงรุ่นที่มีผล พวกมนุษย์จะบริโภค
ผลของมัน จึง ( เขย่า) ให้ผลที่เหลือหล่นลง แล้วเอาใส่ในกระเช้าให้
เต็ม. ภายหลัง บุรุษอีกคนเอาขวานตัดต้นมะม่วงนั้น . ผลอันเป็นอดีต
ของมะม่วงต้นนั้น ย่อมเป็นผลที่บุรุษคนนั้นทำให้เสียหายไม่ได้ ผลที่เป็น
ปัจจุบันและอนาคตก็ทำให้เสียหายไม่ได้. เพราะผลที่เป็นอดีต พวก
มนุษย์ก็บริโภคไปแล้ว ผลที่เป็นอนาคตก็ยังไม่เกิด จึงไม่อาจทำให้
เสียหาย. ก็ในสมัยที่ต้นมะม่วงนั้นถูกเขาตัด ผลมะม่วงยังไม่มี เพราะ-
เหตุนั้น ผลที่เป็นปัจจุบัน จึงไม่ถูกทำให้เสียไป. ก็ถ้าต้นมะม่วงยังไม่
ถูกตัด ผลของมันอาศัยรสของดินและรสของน้ำเกิดขึ้นในภายหลังนั้น

ย่อมถูกทำให้เสียหาย. เพราะผลเหล่านั้นที่ยังไม่เกิด ก็เกิดไม่ได้ ที่ยังไม่
บังเกิด ก็ไม่บังเกิด และที่ยังไม่ปรากฏ ก็ปรากฏไม่ได้ ฉันใด มรรคก็
ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมกิเลสอันต่างด้วยกิเลสอันเป็นอดีตเป็นต้นก็หา
มิได้ จะไม่ละก็หามิได้. การเกิดขึ้นแห่งกิเลสเหล่าใด จะพึงมีได้ในเมื่อ
มรรคยังไม่กำหนดรู้ขันธ์ทั้งหลาย ( แต่ ) เพราะมรรคเกิดขึ้นกำหนด
รู้ขันธ์ทั้งหลายได้แล้ว กิเลสเหล่านั้น ที่ยังไม่เกิด ก็ไม่เกิด ที่ยังไม่บังเกิด
ก็ไม่บังเกิด ที่ยังไม่ปรากฏ ก็ไม่ปรากฏ. พึงขยายเนื้อความนี้ให้แจ่มแจ้ง
ด้วยยา สำหรับให้หญิงแม่ลูกอ่อนไม่คลอดบุตรอีกต่อไป หรือแม้สำหรับ
ระงับโรคของคนเจ็บป่วย. ไม่ควรกล่าวว่า กิเลสทั้งหลายที่มรรคละได้
นั้น เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบัน ด้วยประการอย่างนี้. อนึ่ง
มรรคจะไม่ละกิเลสทั้งหลายก็หาไม่. แต่ท่านหมายเอากิเลสที่มรรคละได้
เหล่านั้น จึงกล่าวว่า อุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ ดังนี้เป็นต้น. ก็มรรคจะ
ละแต่กิเลสเท่านั้นก็หามิได้ แม้อุปาทินนขันธ์ที่เกิดขึ้นก็ละได้ เพราะ
ละกิเลสทั้งหลายได้เด็ดขาดแล้ว.
สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า ( ขันธ์ทั้งหลายเหล่าใด คือ ) นามและรูป
พึงเกิดขึ้นในสังสารอันกำหนดที่สุดเบื้องต้นและเบื้องปลายไม่ได้ เว้น 7
ภพ โดยดับอภิสังขารวิญญาณด้วยโสดาปัตติมรรคญาณ ขันธ์ทั้งหลาย
เหล่านั้นย่อมดับที่นามรูปนี้ดังนี้ ความพิสดารแล้ว. มรรคย่อมออกจาก
อุปาทินนขันธ์ และอนุปาทินนขันธ์ ด้วยประการฉะนี้.
ก็ว่าด้วยภพทั้งปวง โสดาปัตติมรรคย่อมออกจากอบายภพ. สกทา-
คามิมรรคย่อมออกจากส่วนหนึ่งของสุคติภพ. อนาคามิมรรคย่อมออกจาก
สุคติกามภพ. อรหัตมรรคย่อมออกจากรูปภพและอรูปภพ. บางอาจารย์
กล่าวว่า พระอรหัตมรรคย่อมออกจากภพทั้งปวง ดังนี้ก็มี.

ถามว่า ก็เมื่อเป็นอย่างนั้น ในขณะแห่งมรรคจะมีการอบรมเพื่อ
ยังธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นได้อย่างไร หรือจะมีการอบรมเพื่อให้ธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้วดำรงอยู่ได้อย่างไร. ตอบว่า ด้วยการที่มรรคดำเนินไป
ไม่ขาดสายนั่นแหละ. ก็มรรคที่กำลังดำเนินไปอยู่ เรียกชื่อว่า อนุปปันนะ
เพราะไม่เคยเกิดขึ้นในกาลก่อน. เหมือนอย่างว่า คนผู้ไปยังที่ที่ไม่เคยไป
และได้เสวยอารมณ์ที่ยังไม่เคยเสวย มักจะกล่าวว่า พวกเราได้ไปยังที่
ที่ไม่ได้เคยไปแล้วหามิได้1 เสวยอารมณ์ที่ไม่ได้เคยเสวยแล้วหามิได้2 ดังนี้
ฉันใด. ความดำเนินไปของมรรคนี้นั่นแหละ ชื่อว่าตั้งอยู่ เพราะเหตุนั้น
จะกล่าวว่า ในภาวะแห่งการตั้งอยู่ ดังนี้ก็ควร. ความเพียรในขณะ
โลกุตรมรรคนี้ของภิกษุนั้น ย่อมได้ชื่อ 4 ชื่อ มีอาทิว่า อนุปฺปนฺนานํ
ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ อนุปาทาย
ดังนี้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
กถาว่าด้วยความเพียรชอบในขณะโลกุตรมรรคเพียงเท่านี้. ก็ในพระสูตรนี้
ท่านกล่าวความเพียรชอบอันเป็นโลกิยะและโลกุตระคละกันไป.
บรรดาอิทธิบาททั้งหลาย สมาธิที่อาศัยฉันทะดำเนินไป ชื่อว่า
ฉันทสมาธิ. บทว่า ปทานสงฺขารสมนฺนาคตํ ความว่า บาทแห่งความ
สำเร็จที่แสดงไว้แล้วด้วยธรรมเหล่านั้น หรือบาทอันเป็นความสำเร็จ
ชื่อว่าอิทธิบาท. แม้ในบทที่เหลือ ก็มีนัยนี้นั่นแล. ในที่นี้มีความสังเขป
เพียงเท่านี้. ส่วนความพิสดารมีมาแล้วในอิทธิบาทวิภังค์นั่นแล. ก็เนื้อ
ความ (แห่งอิทธิบาทนั้น) แสดงไว้แล้วในวิสุทธิมรรค. ในวิสุทธิมรรค
นั้น แสดงไว้ว่า ในกาลใด ภิกษุนี้อาศัยธุระอย่างหนึ่งในฉันทอิทธิบาท
เป็นต้น เจริญวิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต แม้สมถะก็เหมือนกัน

1. ม. ไม่มี น. 2. ไม่มี น. ปฏิเสธว่า หามิได้.

อิทธิบาท ที่ภิกษุนั้นอาศัยเจริญวิปัสสนา ในกาลนั้น เป็นโลกิยะใน
เบื้องต้น เป็นโลกุตระในเบื้องปลาย แม้อิทธิบาทที่เหลือ ก็อย่างนั้น
ดังนี้. ในพระสูตรแม้นี้ ก็ตรัสอิทธิบาทอันเป็นทั้งโลกิยะและโลกุตระ.
ก็ศรัทธาในบทว่า สทฺธินฺทฺริยํ ภาเวติ ดังนี้ เป็นต้น ชื่อว่า
สัทธินทรีย์ เพราะกระทำความเป็นใหญ่ในศรัทธาธุระของตน. แม้ใน
วิริยินทรีย์เป็นต้น ก็นัยนี้แหละ. ก็ในบทว่า ภาเวติ นี้ พระโยคาวจรผู้
เริ่มบำเพ็ญเพียร ชำระสัทธินทรีย์ให้หมดจดด้วยเหตุ 3 ประการ ชื่อว่า
เจริญสัทธินทรีย์. แม้ในวิริยินทรีย์เเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
สมจริงดังที่ท่านพระสารีบุตรกล่าวไว้ว่า
สัทธินทรีย์ย่อมบริสุทธิ์ด้วยเหตุ 3 ประการเหล่านี้
แก่บุคคลผู้เว้นบุคคลผู้ไม่มีศรัทธา ผู้เสพ คบ เข้าไป
นั่งใกล้บุคคลผู้มีศรัทธา ผู้พิจารณาพระสูตรอันน่า
เลื่อมใส.
วิริยินทรีย์ย่อมบริสุทธิ์ด้วยเหตุ 3 ประการเหล่านี้
แก่บุคคลผู้เว้นบุคคลผู้เกียจคร้าน ผู้เสพ คบ เข้าไป
นั่งใกล้บุคคลผู้ปรารภความเพียร ผู้พิจารณาสัมมัป-
ปธาน (ความเพียรชอบ).
สตินทรีย์ย่อมบริสุทธิ์ด้วยเหตุ 3 ประการเหล่านี้
แก่บุคคลผู้เว้นบุคคลผู้มีสติหลงลืม ผู้เสพ คบ เข้าไป
นั่งใกล้บุคคลผู้มีสติปรากฏ ผู้พิจารณาสติปัฏฐาน.
สมาธินทรีย์ย่อมบริสุทธิ์ด้วยเหตุ 3 ประการ

เหล่านี้ แก่บุคคลผู้เว้นบุคคลผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น ผู้เสพ
คบ เข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีจิตตั้งมั่น ผู้พิจารณาฌาน
และวิโมกข์.
ปัญญินทรีย์ย่อมบริสุทธิ์ด้วยเหตุ 3 ประการ
เหล่านี้ แก่บุคคลผู้เว้นบุคคลผู้ไม่มีปัญญา ผู้เสพ คบ
เข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีปัญญา ผู้พิจารณาญาณจริยา
อันลึกซึ้ง.

ก็บทว่า คมฺภีรญาณจริยํ ปจฺจเวกฺขโต ในพระบาลีนั้น มีความว่า
ผู้พิจารณาลำดับขันธ์1 ลำดับอินทรีย์ พละ และโพชฌงค์ ลำดับมรรค
และลำดับผลอันละเอียดสุขุม. ก็พระโยคาวจรผู้เริ่มบำเพ็ญกรรมฐาน
ไม่กระทำความยึดมั่นด้วยอำนาจแห่งเหตุละ 3 ๆ เหล่านี้ เริ่มตั้งความ
ยึดมั่นในศรัทธาธุระเป็นต้น อบรมให้เจริญขึ้น ในที่สุดละขาดได้ ย่อม
ถือเอาพระอรหัต. พระโยคาวจรนั้น ชื่อว่าเจริญอินทรีย์เหล่านี้จนกระทั่ง
พระอรหัตมรรค. เมื่อบรรลุพระอรหัตผลแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นผู้เจริญ
อินทรีย์. ท่านกล่าวอินทรีย์แม้ทั้ง 5 นี้ เป็นทั้งโลกิยะและโลกุตระ ด้วย
ประการฉะนี้.
ในสัทธาพละเป็นต้น ศรัทธานั่นแหละเป็นพละ เพราะอรรถว่า
ไม่หวั่นไหว เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า สัทธาพละ. แม้ใน วิริยพละ
เป็นต้น ก็มีนัยเหมือนสัทธาพละนั้นแล. ก็ศรัทธาในอธิการว่าด้วยพละนี้
ย่อมไม่หวั่นไหวด้วยความไม่เชื่อ. ความเพียรย่อมไม่หวั่นไหวด้วยความ
เกียจคร้าน. สติย่อมไม่หวั่นไหวด้วยความหลงลืมสติ. สมาธิย่อมไม่

1. ฎีกาแก้ว่า ความที่ขันธ์ทั้งหลายเป็นต่าง ๆ กันโดยสภาวะ ชาติ และภูมิเป็นต้น.

หวั่นไหวด้วยความฟุ้งซ่าน. ปัญญาย่อมไม่หวั่นไหวด้วยอวิชชา เพราะ
เหตุนั้น พละแม้ทั้งหมดเรียกว่า พละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหว.
ก็การประกอบความเพียรในการเจริญภาวนาในพละนี้ พึงทราบโดยนัย
ดังกล่าวแล้ว ในการเจริญอินทรีย์นั่นแล. ท่านกล่าวพละ 5 นี้ เป็นทั้ง
โลกิยะและโลกุตระ.
ในบทว่า สติสมฺโพชฺฌงฺคํ ภวาเวตินี้ มีภาวนานัยแห่งการพรรณนา
เนื้อความพร้อมกับกุลบุตรผู้เริ่มบำเพ็ญกรรมฐานเพียงเท่านี้. บทต้น 7 บท
ซึ่งกล่าวไว้โดยนัยเป็นต้นว่า สติสมฺโพชฺฌงฺคํ ดังนี้ ในพระบาลีนั้น
มีการพรรณนาความดังต่อไปนี้ก่อน.
พึงทราบวินิจฉัยในสติสัมโพชฌงค์ก่อน. ชื่อว่าสติ เพราะอรรถว่า
ระลึกได้. ก็สตินั่นนั้น มีความปรากฏขึ้นเป็นลักษณะ หรือมีอันให้นึกได้
เป็นลักษณะ.
สมจริงดังที่ท่านพระนาคเสนกล่าวไว้ว่า มหาบพิตร ขุนคลังของ
พระราชา กราบทูลให้พระราชาทรงนึกถึงพระราชทรัพย์ว่า ข้าแต่มหาราช
เงินมีเท่านี้ ทองมีเท่านี้ ทรัพย์สินมีเท่านี้ ดังนี้ ฉันใด มหาบพิตร
สติก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เมื่อเกิดขึ้น ย่อมให้นึกได้ ย่อมให้ระลึกได้
ซึ่งธรรมทั้งหลาย อันเป็นกุศลและอกุศล มีโทษและไม่มีโทษ เลวและ
ประณีต มีส่วนเปรียบด้วยธรรมดำและธรรมขาว. คือสติปัฏฐาน 4
เหล่านี้ ความพิสดารแล้ว. (สติ) มีอันให้นึกได้เป็นรส (คือกิจ). ก็
พระเถระกล่าวลักษณะนั่นของสตินั้นว่าเป็นกิจนั่นเอง. อีกอย่างหนึ่ง(สติ)
มีความไม่หลงลืมเป็นรส มีความเผชิญหน้าต่ออารมณ์เป็นปัจจุปัฏฐาน
(เครื่องปรากฏ). สตินั่นแหละ เป็นสัมโพชฌงค์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า

สติสัมโพชฌงค์ ด้วยประการอย่างนี้.
ในบทว่า สติสมฺโพชฺฌงฺโค นั้น ชื่อว่าโพชฌงค์ เพราะเป็น
องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้หรือแห่งพระโพธิญาณ. ถามว่า ท่านอธิบาย
ไว้อย่างไร. ตอบว่า อธิบายไว้ว่า ธรรมสามัคคีนี้ เรียกว่าโพธิ เพราะ
กระทำอธิบายว่า พระอริยสาวกย่อมตรัสรู้ด้วยธรรมสามัคคี คือ สติ
ธรรมวิจัย วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ และอุเบกขา อันเกิดขึ้นในขณะ
แห่งมรรคอัน เป็นโลกิยะและโลกุตระ อันเป็นปฏิปักษ์ต่ออันตรายมิใช่น้อย
มีการตั้งอยู่และการประมวลไว้ซึ่งความหดหู่และความฟุ้งซ่าน และความ
ยึดมั่นในการประกอบกามสุข การทำตนให้ลำบาก และในอุจเฉททิฏฐิ
และสัสสตทิฏฐิ. บทว่า พุชฺฌติ ความว่า ออกจากความหลับ คือ
กิเลสสันดาน. อธิบายว่า แทงตลอดอริยสัจ 4 หรือทำให้แจ้งเฉพาะ
พระนิพพาน. สมจริงดังที่ตรัสไว้แล้วว่า เจริญโพชฌงค์ 7 แล้วตรัสรู้
พร้อมเฉพาะซึ่งพระสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม ดังนี้ . ชื่อว่าโพชฌงค์
เพราะเป็นองค์แห่งโพธิ คือ ธรรมสามัคคีนั้น ดังนี้บ้าง เหมือนดัง
ฌานังคะองค์ฌาน มัคคังคะองค์มรรคฉะนั้น. พระอริยสาวกเรียกว่าโพธิ
เพราะการทำอธิบายว่า พระอริยสาวกนั้นแม้ใดตรัสรู้ด้วยธรรมสามัคคี
นั้น ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้ว องค์แห่งพระอริยสาวก (ที่เรียกว่าโพธิ)
นั้น แม้เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าโพชฌงค์ (องค์แห่งพระอริยสาวก
ผู้ตรัสรู้) เหมือนดังองค์ประกอบแห่งกองทัพ และองค์ประกอบแห่ง
รถเป็นต้นฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า
ชื่อว่าโพชฌงค์ เพราะเป็นองค์แห่งบุคคลผู้ตรัสรู้. อีกอย่างหนึ่ง ใน
บาลีว่า โพชฺฌงฺคา นี้ ชื่อว่าโพชฌงค์ เพราะอรรถอะไร. ชื่อว่าโพชฌงค์

เพราะเป็นไปเพื่อตรัสรู้. ชื่อว่าโพชฌงค์ เพราะตรัสรู้. ชื่อว่าโพชฌงค์
เพราะแทงตลอด. (ย่อมเจริญ ) สติสัมโพชฌงค์นั้น.
แม้ในบทว่า ธมฺมวิจยสมฺโพชฺฌงฺคํ ดังนี้ เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อ
ไปนี้:- ชื่อว่า ธรรมวิจัย เพราะค้นหาสัจธรรมทั้ง 4 ก็ธรรมวิจัยนั้น
มีการเลือกเฟ้นเป็นลักษณะ มีความแจ่มแจ้งเป็นรส มีความไม่หลงลืม
เป็นปัจจุปัฏฐาน (เครื่องปรากฏ ). ชื่อว่า วิริยะ เพราะภาวะกล้าหาญ
และเพราะดำเนินไปตามวิธี. ก็วิริยะนั้น มีการประคองไว้เป็นลักษณะ
มีการค้ำจุนไว้เป็นรส มีการไม่ย่อหย่อนเป็นปัจจุปัฏฐาน. ชื่อว่า ปีติ
เพราะอิ่มเอิบ. ปีตินั้น มีการแผ่ซ่านเป็นลักษณะ หรือมีความยินดีเป็น
ลักษณะ มีการทำกายและจิตให้เอิบอิ่มเป็นรส มีการทำกายและจิตนั้น
แหละให้ฟูขึ้นเป็นปัจจุปัฏฐาน. ชื่อว่า ปัสสัทธิ เพราะระงับความ
กระวนกระวายแห่งกายและจิต. ปัสสัทธินั้น มีความสงบเป็นลักษณะ
มีการย่ำยีความกระวนกระวายแห่งกายและจิตเป็นรส มีความเย็นอันเกิด
จากความไม่ดิ้นรนเป็นปัจจุปัฏฐาน. ชื่อว่า สมาธิ เพราะความตั้งมั่น.
ก็สมาธินั้น มีความไม่ฟุ้งซ่านเป็นลักษณะ หรือมีการไม่ซ่านออกเป็น
ลักษณะ มีการประมวลจิตและเจตสิกไว้เป็นรส มีความตั้งอยู่แห่งจิตเป็น
ปัจจุปัฏฐาน. ชื่อว่า อุเบกขา เพราะความเพ่งเฉย. อุเบกขานั้น มีการ
พิจารณาเป็นลักษณะ หรือมีการนำไปอย่างสม่ำเสมอเป็นลักษณะ มีการ
ห้ามความหย่อนไปและความเกินไปเป็นรส หรือมีการตัดขาดในการเข้า
เป็นฝักฝ่ายเป็นรส มีความเป็นกลางเป็นปัจจุปัฏฐาน. บทที่เหลือมีนัย
ดังกล่าวไว้แล้วนั่นแล. บทว่า ภาเวติ ความว่า พอกพูน คือ ให้เพิ่มขึ้น
อธิบายว่า ให้เกิดขึ้น.

ในสัมโฬชฌงค์นั้น ธรรม 4 ประการ คือ สติสัมปชัญญะ 1
ความเว้นบุคคลผู้มีสติหลงลืม 1 ความเสพบุคคลผู้มีสติตั้งมั่น 1 ความ
เป็นผู้น้อมใจไปในสติสัมโพชฌงค์นั้น 1 ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่ง
สติสัมโพชฌงค์. ก็ในฐานะทั้ง 7 แม้มีการก้าวไปเป็นต้น สติสัมโพชฌงค์
ย่อมเกิดขึ้น ด้วยสติสัมปชัญญะ ด้วยการเว้นบุคคลผู้ที่สติหลงลืมดุจกา
ซ่อนเหยื่อ ด้วยการเสพบุคคลผู้มีสติตั้งมั่น เช่นพระติสสทัตตเถระและ
พระอภัยเถระ และด้วยความเป็นผู้มีจิตโอนน้อมโน้มไปเพื่อให้สติตั้งขึ้น
ในการยืนและการนั่งเป็นต้น. เพราะฉะนั้น กุลบุตรผู้เริ่มบำเพ็ญกรรมฐาน
ยังสติสัมโพชฌงค์ให้ตั้งขึ้นด้วยเหตุ 4 ประการเหล่านี้ แล้วกระทำสติ-
สัมโพชฌงค์นั้นอย่างเดียวให้เป็นธุระ เริ่มตั้งความยึดมั่นไว้ ย่อมถือเอา
พระอรหัตได้โดยลำดับ. กุลบุตรนั้นนั่นแล ชื่อว่าเจริญสติสัมโพชฌงค์
ในพระอรหัตมรรค. เมื่อกุลบุตรนั้นบรรลุพระอรหัตผลแล้ว ย่อมเป็น
ผู้ชื่อว่าเจริญสติสัมโพชฌงค์แล้ว.
ธรรม 7 ประการ คือ ความสอบถาม 1 ความทำวัตถุให้สละ
สลวย 1 ความทำอินทรีย์ให้ดำเนินไปสม่ำเสมอ 1 ความเว้นบุคคลผู้มีปัญญา
ทราม 1 ความเสพบุคคลผู้มีปัญญา 1 ความพิจารณาญาณจริยาอันลึกซึ้ง1
ความน้อมใจไปในธัมมวิจยสัมโพชฌงค์นั้น 1. ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิด
ขึ้นแห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
บรรดาธรรม 7 ประการนั้น ความเป็นผู้มากด้วยการสอบถาม
อันอิงอาศัยอรรถแห่งขันธ์ ธาตุ อายตนะ อินทรีย์ พละ โพชฌงค์
องค์มรรค ฌาน สมถะ และวิปัสสนา ชื่อว่า ความสอบถาม. การ
ทำความสละสลวยแก่วัตถุทั้งภายในและภายนอก ชื่อว่าความทำวัตถุให้

สละสลวย. ก็ในกาลใด ผม เล็บ และขนของกุลบุตรนั้นยาวหรือสรีระมีโทษ
หมักหมมและมอมแมมด้วยมลทินเหงื่อไคล ในกาลนั้น วัตถุภายในไม่
สละสสวย ไม่หมดจด. อนึ่ง ในกาลใด จีวรเก่า สกปรก มีกลิ่นเหม็นสาบ
หรือเสนาสนะรกรุงรัง ในกาลนั้น วัตถุภายนอกไม่สละสลวย ไม่สะอาด
เพราะฉะนั้น ควรทำวัตถุภายในให้สละสลวย ด้วยการโกนผมเป็นต้น
ด้วยการทำร่างกายให้เบาด้วยการขับถ่ายทิ้งเบื้องบนและเบื้องล่างเป็นต้น
และด้วยการอบและอาบ. พึงทำวัตถุภายนอกให้สละสลวย ด้วยการเย็บ
การซัก การย้อม และการประพรมเป็นต้น. ก็แม้ญาณในจิตและเจตสิก
ที่เกิดขึ้นในวัตถุภายในและภายนอกที่ไม่สละสลวยนั้นนี้แล ก็พลอยเป็น
ญาณไม่บริสุทธิ์ไปด้วย เปรียบเหมือนแสงสว่างของเปลวประทีปที่อาศัย
โคมประทีป ไส้และน้ำมันเป็นต้นที่ไม่สะอาดเกิดขึ้นฉะนั้น. ก็แม้ญาณ
ในจิตและเจตสิกที่เกิดในวัตถุทั้งภายในและภายนอกอันสละสลวย ก็เป็น
ญาณชัดแจ้ง เหมือนแสงสว่างของดวงประทีปที่อาศัยโคมประทีป ไส้
และน้ำมันเป็นต้นที่สะอาดเกิดขึ้นฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าว
ว่า กระทำวัตถุให้สละสลวย ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งธัมมวิจย-
สัมโพชฌงค์ ดังนี้ .
การทำอินทรีย์ทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้น ให้สม่ำเสมอ ชื่อว่าการ
ทำอินทรีย์ให้ถึงความสม่ำเสมอ ก็ถ้าสัทธินทรีย์ของกุลบุตรนั้นมีกำลัง
อินทรีย์นอกนี้อ่อน. แต่นั้น วิริยินทรีย์ไม่อาจทำหน้าที่ประคับประคอง
สตินทรีย์ไม่อาจทำหน้าที่ปรากฏ สมาธินทรีย์ไม่อาจทำหน้าที่ไม่ฟุ้งซ่าน
ปัญญินทรีย์ไม่อาจทำหน้าที่เห็น. เพราะฉะนั้น ควรให้ลดลงไป ด้วยการ
พิจารณาสภาวธรรม หรือด้วยการไม่ได้ใส่ใจ โดยประการที่เมื่อใส่ใจ

(สัทธินทรีย์ ) กลับมีกำลังขึ้น. ก็ในข้อนี้ มีเรื่อง พระวักกลิเถระ
เป็นอุทาหรณ์. ก็ถ้าวิริยินทรีย์มีกำลัง เมื่อเป็นอย่างนั้น สัทธินทรีย์ย่อม
ไม่อาจทำกิจในการน้อมใจเชื่อ อินทรีย์นอกนี้ก็ไม่อาจทำกิจนอกนี้แต่ละ
ชนิดใด. เพราะฉะนั้น วิริยินทรีย์นั้นควรทำให้ลดลง ด้วยการทำศรัทธา
เป็นต้นให้เจริญขึ้น. แม้ในข้อนั้น ก็ควรแสดงเรื่องราวของพระโสณเถระ.
แม้ในอินทรีย์ที่เหลือ ก็อย่างนั้น. พึงทราบว่า เมื่ออินทรีย์อย่างหนึ่ง
มีกำลังกล้า อินทรีย์นอกนี้จะไม่มีความสามารถในหน้าที่ของตน ๆ.
ก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอธิการว่าด้วยอินทรีย์นี้ ท่านสรรเสริญความ
เสมอกันของศรัทธากับปัญญา และสมาธิกับวิริยะ. เพราะคนผู้มีศรัทธา
แก่กล้าย่อมเป็นผู้มีปัญญาเขลา เลื่อมใสง่าย ย่อมเลื่อมใสในสิ่งที่ไม่เข้าเรื่อง.
คนผู้มีปัญญามาก มีศรัทธาน้อย ย่อมคบกับฝ่ายเกเร เหมือนโรคมี
สมุฏฐานมาจากยา ย่อมเป็นโรคที่แก้ไขยาก. คนผู้ (มีความคิด ) แล่น
เกินไปว่า กุศลมีได้ด้วยสักว่าทำให้เกิดขึ้นในจิตเท่านั้น แล้วไม่ทำกุศล
มีการให้ทานเป็นต้น ย่อมเกิดในนรก. เพราะศรัทธากับปัญญาทั้งสอง
เท่ากัน คนจึงเลื่อมใสในเรื่องที่เป็นเรื่อง. ก็ความเกียจคร้าน ย่อมครอบงำ
คนผู้มีสมาธิกล้า แต่มีความเพียรอ่อน เพราะสมาธิเป็นฝ่ายข้างความเกียจ
คร้าน. ความฟุ้งซ่าน ย่อมครอบงำคนที่มีความเพียรกล้า สมาธิอ่อน เพราะ
ความเพียรเป็นฝ่ายข้างความฟุ้งซ่าน. ก็สมาธิที่กำกับด้วยความเพียร
ย่อมไม่ตกไปในความเกียจคร้าน. ความเพียรที่กำกับด้วยสมาธิ ย่อมไม่
ตกไปในความฟุ้งซ่าน. เพราะฉะนั้น ต้องทำทั้งสองอย่างนั้น ให้เท่ากัน
ก็เพราะทั้งสองอย่างเท่ากัน อัปปนาย่อมเกิด.
อีกอย่างหนึ่ง สำหรับผู้บำเพ็ญสมาธิ ศรัทธามีกำลังจึงควร. เพราะ

ผู้เชื่อเมื่อปักใจเธออย่างนั้น จักบรรลุถึงอัปปนา. ก็บรรดาสมาธิและปัญญา
ความมีจิตแน่วแน่มีกำลัง ย่อมควรสำหรับผู้บำเพ็ญสมาธิ. เพราะเมื่อเป็น
อย่างนั้น ผู้บำเพ็ญสมาธินั้น. ย่อมบรรลุถึงอัปปนา. ปัญญามีกำลังย่อม
ควรสำหรับท่านผู้บำเพ็ญวิปัสสนา. เพราะเมื่อเป็นอย่างนั้นท่านผู้บำเพ็ญ
วิปัสสนานั้น ย่อมบรรลุการแทงตลอดไตรลักษณ์. ก็แม้สมาธิกับปัญญา
ทั้งสองเท่ากัน ย่อมเป็นอัปปนาแท้. ก็สติมีกำลังในทุกอย่าง ย่อมไม่เสีย
หาย. ก็สติย่อมรักษาจิตไว้มิให้ตามไปในความฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจของ
ศรัทธา ความเพียร และปัญญา อันเป็นปฏิปักษ์ต่อความฟุ้งซ่าน และ
มิให้ตกไปในความเกียจคร้านด้วยสมาธิอันเป็นปฏิปักษ์ต่อความเกียจคร้าน.
เพราะฉะนั้น สตินั้นจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง เหมือนเกลือกับเครื่อง
เทศต้องใช้ปรุงกับข้าวทุกชนิด และเหมือนอำมาตย์ผู้ชำนาญในสรรพกิจ
จำต้องใช้ในราชการทั้งปวงฉะนั้น. เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ก็แล
สติ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่ามีประโยชน์ทุกอย่าง. ถามว่า เพราะเหตุไร.
ตอบว่า เพราะจิตมีสติเป็นที่พึ่งอาศัย และสติมีการรักษาเป็นเครื่องปรากฏ
เว้นสติเสียแล้ว การประคองและการข่มจิต จะมีไม่ได้ ดังนี้.
การเว้นให้ห่างไกลจากบุคคลผู้มีปัญญาทราม ผู้ไม่มีปัญญาหยั่งลง
ในประเภทแห่งขันธ์เป็นต้น ชื่อว่า เว้นบุคคลผู้มีปัญญาทราม. การเสพ
บุคคลผู้ประกอบด้วยอุทยัพยปัญญา (เห็นเกิดดับ) อันกำหนดพิจารณา
ลักษณะ 50 ถ้วน ชื่อว่า เสพบุคคลผู้มีปัญญา. การพิจารณาประเภท
ของญาณอันลึกซึ้งซึ่งดำเนินไปในขันธ์เป็นต้นอันลึกซึ้ง ชื่อว่า พิจารณา
ความเป็นไปแห่งญาณอันลึกซึ้ง.
ความมีจิตน้อมไปเพื่อให้ธัมมวิจย-
สัมโพชฌงค์ตั้งขึ้นในการยืนและการนั่งเป็นต้น ชื่อว่า ความน้อมใจไป

ในธัมมวิจยสัมโพชฌงค์นั้น. เพราะฉะนั้น กุลบุตรผู้เริ่มบำเพ็ญเพียร
ทำธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ให้ตั้งขึ้นด้วยเหตุ 7 ประการเหล่านี้ ทำธัมม-
วิจยสัมโพชฌงค์นั้นนั่นแหละให้เป็นการเป็นงาน เริ่มยึดมั่นไว้ ย่อมถือ
เอาพระอรหัตได้โดยลำดับ. กุลบุตรนั้นชื่อว่าเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
จนกระทั่งถึงอรหัตมรรค. เมื่อบรรลุผล ย่อมชื่อว่าเป็นผู้อบรมเสร็จแล้ว.
ธรรม 11 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งวิริยสัมโพช-
ฌงค์ คือ ความพิจารณาภัยในอบาย 1 ความเห็นอานิสงฆ์ 1 ความ
พิจารณาทางสำหรับไป 1 ความยำเกรงต่อบิณฑบาต 1 ความพิจารณา
มรดกความเป็นทายาทเป็นใหญ่ 1 ความพิจารณาความเป็นใหญ่แห่ง
พระศาสดา ความพิจารณาความเป็นใหญ่โดยชาติ 1 ความพิจารณา
ความที่เพื่อนผู้ประพฤติพรหมจรรย์เป็นใหญ่ 1 ความเว้นบุคคลผู้เกียจ-
คร้าน 1 ความเสพบุคคลผู้เริ่มทำความเพียร 1 ความเป็นผู้มีใจน้อมไป
ในวิริยสัมโพชฌงค์นั้น 1.
บรรดาธรรม 11 ประการนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดขึ้นแม้แก่ผู้
พิจารณาอบายอย่างนี้ว่า ใคร ๆ ไม่อาจยังวิจยสัมโพชฌงค์ให้เกิดขึ้นแม้
ในเวลาเสวยทุกข์ใหญ่ จำเดิมแต่ต้องถูกลงโทษด้วยเครื่องจองจำครบ 5
อย่างในนรก แม้ในเวลาถูกเขาจับด้วยแหอวน และไซเป็นต้นในกำเนิด
สัตว์เดียรัจฉาน อนึ่ง แม้ในเวลาลากเกวียนเป็นต้น ของสัตว์ที่ถูกแทง
ด้วยเครื่องประหารมีปฏักและคันธนูเป็นต้น แม้ในเวลากระสับกระส่าย
ด้วยความหิวและความระหายตลอดพัน ๆ ปีบ้าง พุทธันดรหนึ่งบ้าง ใน
เปรตวิสัย แม้ในเวลาเสวยทุกข์อันเกิดจากลมและแดดเป็นต้น ด้วยทั้ง
อัตภาพสักแต่หนังหุ้มกระดูก สูงประมาณ 60 ศอก ในพวกเปรตกาล-

กัญชิกาสูตร. ดูก่อนภิกษุ กาลน แหละ เป็นกาลของเธอแล้ว ดังนี้.
วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดแม้แก่ผู้เห็นอานิสงส์อย่างนี้ว่า ผู้เกียจคร้านไม่ได้
โลกุตรธรรม 9. ผู้ปรารภความเพียรเท่านั้น จึงได้. นี้เป็นอานิสงส์
ของวิริยสัมโพชฌงค์. ย่อมเกิดแม้แก่ผู้พิจารณาทางไปอย่างนี้ว่า ทางที่
พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระมหาสาวกทั้งปวงไปแล้ว เรา
ควรไป ก็ทางนั้นอันผู้เกียจคร้านไม่อาจไป ดังนี้. ย่อมเกิดแม้แก่ผู้
พิจารณาถึงความยำเกรงต่อบิณฑบาตอย่างนี้ว่า มนุษย์เหล่าใดบำรุงท่าน
ด้วยบิณฑบาตเป็นต้น มนุษย์เหล่านั้น มิใช่ญาติ มิใช่ทาสกรรมกร ให้
บิณฑบาตอันประณีตแก่ท่าน ด้วยหวังใจว่า พวกเราจักอาศัยบิณฑบาต
นั้นเลี้ยงชีวิตก็หามิได้. โดยที่แท้ เขาหวังว่าการทำอุปการะของตนเป็น
ของมีผลมากจึงให้. แม้พระศาสดาทรงเห็นอย่างนี้ว่า ภิกษุนี้บริโภคปัจจัย
เหล่านี้แล้วจักเป็นผู้มีร่างกายล่ำสันอยู่เป็นสุข ดังนี้ จึงทรงอนุญาตปัจจัย
ทั้งหลายแก่เธอก็หามิได้ โดยที่แท้ ทรงอนุญาตปัจจัยทั้งหลายแต่เธอก็
ด้วยพระประสงค์ว่า ภิกษุนี้บริโภคปัจจัยเหล่านี้กระทำสมณธรรมแล้วจัก
พ้นวัฏทุกข์. บัดนี้ เธอนั้นเกียจคร้านอยู่จักประพฤติยำเกรงต่อบิณฑบาต
นั้นก็หาไม่. เพราะธรรมดาว่า ความยำเกรงต่อบิณฑบาตย่อมมีแก่ผู้ที่
ปรารภความเพียรเท่านั้น เหมือนพระมหามิตตเถระและพระปิณฑปาติย-
ติสสเถระฉะนั้น.
เขาเล่าว่า พระมหามิตตเถระอาศัยอยู่ในถ้ำชื่อกัสสกะ. ก็มหาอุบาสิกา
คนหนึ่งในโคจรคามของท่าน ปฏิบัติพระเถระเหมือนกับบุตร. วันหนึ่ง
นางจะไปป่าจึงสั่งลูกสาวว่า ลูกจ๋า ข้าวสารเก่าอยู่โน้น นมสดอยู่โน้น
เนยใสอยู่โน้น น้ำอ้อยอยู่โน้น เวลาพระผู้เป็นเจ้ามิตตะ พี่ชายของ

เจ้ามา เจ้าจงหุงข้าวถวายพร้อมกับนมสด เนยใส และน้ำอ้อย และเจ้า
ก็ควรบริโภคเสียด้วย ส่วนแม่จะบริโภคข้าวค้างคืนที่หุงไว้เมื่อวานนี้กับ
น้ำผักดอง. ลูกสาวถามว่า กลางวันแม่จะบริโภคอะไรล่ะจ๊ะแม่. แม่ตอบ
ว่า เจ้าจงใส่ผักดองเอาข้าวสารหัก ๆ ต้มข้าวยาคูเปรี้ยวเก็บไว้ให้นะลูก
พระเถระห่มจีวรแล้วกำลังนำบาตรออกมา ได้ยินเสียงนั้นจึงกล่าวสอนตน
ว่า นัยว่า มหาอุบาสิกาจักบริโภคข้าวค้างคืนกับน้ำผักดอง แม้ตอน
กลางวันก็จักบริโภคข้าวยาคูเปรี้ยวปรุงด้วยข้าวสารหักกับผัก. ก็นางบอกให้
ข้าวสารเก่าเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่ท่าน และนางอาศัยท่านแล้วจะ
หวังได้นา หวังได้สวนก็หามิได้ แต่นางปรารถนาสมบัติทั้ง 3 จึงให้
ท่านจักสามารถให้สมบัติเหล่านั้นแก่นางไหม ก็บิณฑบาตนี้แล ท่านผู้มี
ราคะ โทสะ โมหะ ไม่อาจรับ ดังนี้แล้วจึงอาบาตรใส่ถลก ปลดลูกดุม
กลับไปที่ถ้ำกัสสกะ เก็บบาตรไว้ใต้เตียง พาดจีวรไว้ที่สายระเดียง นั่ง
อธิษฐานความเพียรว่า เรายังไม่บรรลุพระอรหัต จักไม่ออกไป. ภิกษุ
ผู้ไม่ประมาทอยู่ประจำมานาน เจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัตในเวลาก่อน
ภัตตาหาร เป็นพระขีณาสพกระทำความแย้มออกไป เหมือนดอกบัว
แย้มฉะนั้น. เทวดาผู้สิงอยู่ที่ประตูถ้ำเปล่งอุทานว่า
นโม เต ปุริสาชญฺญ นโม เต ปุริสุตฺตม
ยสฺส เต อาสวา ขีณา ทกฺขิเณยฺโยสิ มาริส
ท่านบุรุษอาชาไนย เราขอนอบน้อมท่าน ท่าน
บุรุษผู้สูงสุด เราขอนอบน้อมท่าน ท่านผู้นิรทุกข์
ท่านมีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นพระทักขิไณยบุคคล.

ดังนี้ แล้วกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ หญิงแก่ถวายภิกษาหารแก่พระ-

อรหันต์เช่นท่านผู้เข้าไปบิณฑบาต จักพ้นทุกข์. พระเถระลุกขึ้นเปิด
ประตูมองดูเวลา รู้ว่ายังเช้าอยู่ จึงถือบาตรและจีวรเข้าไปยังบ้าน. แม้
เด็กหญิงก็เตรียมภัตตาหารไว้พร้อมแล้ว นั่งมองดูประตูด้วยหวังใจว่า
ประเดี๋ยวพระพี่ชายของเราจักมาถึง. เมื่อพระเถระถึงประตูบ้าน เด็กหญิง
นั้นก็รับบาตรบรรจุภัตตาหารอันประกอบด้วยเนยใสและน้ำอ้อยให้เต็ม แล้ว
วางไว้ที่มือ. พระเถระทำอนุโมทนาว่า จงมีความสุขเถิด แล้วหลีกไป.
ก็เด็กหญิงนั้นได้ยืนมองดูท่านอยู่. ก็ในคราวนั้น พระเถระมีฉวีวรรณ
บริสุทธิ์ยิ่งนัก อินทรีย์ผ่องใส ใบหน้าสุกสกาวเหมือนผลตาลสุกที่หลุด
จากขั้วฉะนั้น. มหาอุบาสิกากลับมาจากป่าถามบุตรสาวว่า พระพี่ชาย
มาแล้วหรือลูก. บุตรสาวนั้นจึงบอกความเป็นไปนั้นทั้งหมด. อุบาสิการู้
ว่า กิจแห่งบรรพชิตของบุตรเราถึงที่สุดแล้วในวันนี้ จึงกล่าวว่า แม่
พระพี่ชายของเจ้ายินดีไม่เบื่อระอาในพระพุทธศาสนาแล้ว.
ก็เรื่องพระปิณฑปาติยเถระพึงทราบอย่างนี้ . ได้ยินว่า บุรุษเข็ญใจ
คนหนึ่งในบ้านมหาคาม เลี้ยงชีวิตด้วยการขายฟืน. บุรุษนั้นได้ชื่อตาม
เหตุการณ์นั้นนั่นแล จึงมีชื่อว่า ทารุภัณฑกมหาติสสะ. วันหนึ่ง เขาพูด
กะภรรยาของเขาว่า ชื่อว่าความเป็นอยู่ของพวกเราเป็นอย่างไรกัน พระ
ศาสดาตรัสว่า ทลิทททานมีผลมาก แต่เราไม่อาจให้เป็นประจำได้ เรา
ถวายปักขิกภัตแล้ว แม้สลากภัตอันเกิดขึ้นข้างหน้าเราก็จักถวาย. ภรรยา
รับคำว่า ดีละนาย แล้วได้ถวายปักขิกภัตตามมีตามได้ในวันรุ่งขึ้น. ก็
เวลานั้น เป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์ไม่ขัดข้องด้วยเรื่องปัจจัยทั้งหลาย. ภิกษุ
หนุ่มและสามเณรทั้งหลายฉันโภชนะล้วนประณีตรู้ว่า นี้เป็นอาหารไม่สู้ดี
ก็กระทำปักขิกภัตของคนทั้งสองนั้นให้เป็นแต่สักว่ารับไว้เท่านั้น เมื่อคน

ทั้งสองนั้นเห็นอยู่นั้นแหละก็ทิ้งเสียแล้วก็ไป. ฝ่ายหญิงนั้นเห็นการกระทำ
นั้น จึงบอกแก่สามี. แต่ไม่ได้มีความเดือดร้อนใจว่า พระทั้งของที่เรา
ถวาย. สามีของนางกล่าวว่า ก็พวกเราไม่อาจให้พระผู้เป็นเจ้าฉันได้โดย
ง่าย เพราะเป็นคนจน เราจักกระทำอย่างไรหนอแลจึงจักอาจเอาใจ
พระผู้เป็นเจ้าได้. ทีนั้น ภรรยาของ เขากล่าวว่า นาย ท่านพูดว่าอะไรหรือ
ธรรมดาคนเข็ญใจทั้งหลายมีบุตรก็มีอยู่มิใช่หรือ นี้ธิดาของท่าน. ท่าน
จงเอาธิดาคนนี้วางเป็นประกันไว้ในตระกูลหนึ่ง เอาทรัพย์มาสัก 2
กหาปณะ ( 1 กหาปณะ=4บาท ของชาวมคธ) แล้วซื้อแม่โคนมมาตัวหนึ่ง
เราจักถวายสลากภัตปรุงกับนมสดแก่พระผู้เป็นเจ้า เราอาจเอาใจของพระผู้
เป็นเจ้าเหล่านั้นได้ ด้วยอาการอย่างนี้. สามีรับคำว่า ได้ แล้วจึงกระทำ
อย่างนั้น. ด้วยบุญของคนทั้งสองนั้น แม่โคนมตัวนั้นให้น้ำนม 3 มาณิกะ
ในตอนเย็น (มาณิกะเป็นมาตราตวงของชาวมคธ) ในตอนเช้าให้นม 3
มาณิกะ. คนทั้งสองทำนมสดที่ได้ในตอนเย็นให้เป็นนมเปรี้ยว ในวัน
รุ่งขึ้นจึงทำให้เป็นเนยใสจากเนยข้นที่ถือเอาจากนมส้มนั้น แล้วถวายสลาก-
ภัตปรุงด้วยนมสดพร้อมกับเนยใสนั่นแหละ จำเดิมเเต่นั้น พระผู้มีบุญจึงจะ
ได้สลากภัตในเรือนของเขา.
วันหนึ่ง สามีกล่าวกะภรรยาว่า พวกเราพ้นจากเรื่องที่น่าละอาย
ก็เพราะมีลูกสาว ทั้งภัตตาหารในเรือนของเราแห่งเดียว เป็นของควร
บริโภคแห่งพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย เธออย่าประมาทในวัตรอันดีงามนี้จน
กว่าพี่จะมา พี่จะทำงานอะไรสักอย่างไถ่ตัวลูกสาว เขาไปยังประเทศ
หนึ่งทำงานหีบอ้อย โดยเวลา 6 เดือนได้เงิน 12 กหาปณะ คิดว่า
เงินเท่านี้อาจจะไถ่ลูกสาวของเราได้ จึงเอาชายผ้าขอดกหาปณะเหล่านั้น

ไว้ แล้วเดินทางด้วยตั้งใจว่าจักไปบ้าน.
ในสมัยนั้น พระปิณฑปาติยติสสเถระอยู่ในอัมพริยมหาวิหาร คิดว่า
จักไปมหาวิหารไหว้พระเจดีย์ จึงออกจากที่อยู่ของตนไปยังบ้านมหาคาม
เดินไปทางนั้นเหมือนกัน อุบาสกนั้นเห็นพระเถระแต่ไกล คิดว่าเรา
มาผู้เดียว จักไปฟังธรรมกถากัณฑ์หนึ่ง พร้อมกันกับพระผู้เป็นเจ้ารูป
นี้ เพราะผู้มีศีลหาได้ยากตลอดมาทุกเวลา จึงรีบไปทันพระเถระไหว้
แล้วเดินไปด้วยกัน เมื่อเวลาฉันภัตตาหารใกล้เข้ามาจึงคิดว่า ห่อภัตตาหาร
ไม่มีอยู่ในมือเรา และก็ถึงเวลาฉันภิกษาหารของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ทั้ง
ค่าใช้สอยนี้ก็มีอยู่ในมือเรา ในเวลาถึงประตูบ้านแห่งหนึ่ง เราจักถวาย
บิณฑบาตแก่พระผู้เป็นเจ้า.
เมื่อความคิดของเขาสักว่าพอเกิดขึ้นอย่างนี้ เท่านั้น คนผู้หนึ่งถือห่อ
ภัตตาหารมาถึงที่นั้นพอดี อุบาสกเห็นคนผู้นั้นแล้ว กล่าวนิมนต์ว่า
ท่านผู้เจริญ โปรดคอยหน่อยเถิด ๆ แล้วเข้าไปหาคนผู้นั้นกล่าวว่า บุรุษ
ผู้เจริญ ฉันจะให้กหาปณะแก่ท่าน ท่านจงให้ห่อภัตตาหารแก่ฉัน บุรุษ
ผู้นั้นคิดว่า ภัตตาหารแม้นี้จะมีราคาแม้สักมาสกหนึ่งในเวลานี้ก็หามิได้
แต่อุบาสกนี้ ให้เรากหาปณะหนึ่ง เป็นครั้งแรกทีเดียว เหตุในเรื่องนี้
จักมี ครั้นคิดแล้วจึงกล่าวว่า โดยกหาปณะหนึ่ง เราจะไม่ให้ อุบาสก
กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจงถือเอา 2 กหาปณะ. จงถือเอา 3 กหาปณะ
โดยทำนองนี้ประสงค์จะให้กหาปณะเหล่านั้นแม้ทั้งหมด บุรุษนอกนี้สำคัญ
ว่า กหาปณะแม้อื่นของอุบาสกนั้นมีอยู่ (อีก) จึงกล่าวว่า เราไม่ให้
ครั้งนั้น อุบาสกนั้นกล่าวกะบุรุษนั้นว่า ท่านผู้เจริญ ถ้ากหาปณะแม้อื่น
ของเราพึงมีอยู่ไซร้ เราพึงให้กหาปณะแม้เหล่านั้น แต่เราจะถือเอาเพื่อ

ประโยชน์แก่ตนเองก็หามิได้เลย เรานิมนต์พระผู้เป็นเจ้ารูปหนึ่งให้นั่งอยู่ที่
โคนไม้ต้นหนึ่งกุศลจักมีแก่ท่านด้วย ท่านจงให้ภัตตาหารนั้นแก่เราเถิด บุรุษ
นั้นพูดว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงเอาไปจงนำกหาปณะเหล่านั้น
มา ได้ถือเอากหาปณะแล้วให้ห่อภัตตาหารไป อุบาสกถือภัตตาหารเข้าไป
หาพระเถระแล้วกล่าวว่า นำบาตรออกมาเถิด ท่านขอรับ พระเถระนำ
บาตรออกมา เมื่ออุบาสกถวายภัตตาหารเข้าไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็ปิดบาตรเสีย
อุบาสกกล่าวว่า มีส่วนเดียวเท่านั้น กระผมไม่อาจบริโภคจากส่วนเดียวนี้
ภัตตาหารนี้กระผมเที่ยวหาได้มา ก็เพื่อประโยชน์แก่ท่านเท่านั้น ขอท่าน
จงรับภัตตาหารนั้นเถิด เพื่ออนุเคราะห์กระผม พระเถระคิดว่า มีเหตุ
จึงรับมาฉันทั้งหมด อุบาสกได้กรองน้ำดื่มด้วยเครื่องกรองน้ำแล้วถวาย
ต่อจากนั้น เมื่อพระเถระทำภัตกิจเสร็จแล้ว แม้ทั้งสองก็เดินทางไป
(ด้วยกัน).
พระเถระถามอุบาสกว่า เพราะเหตุไรท่านจึงไม่บริโภค อุบาสกนั้น
บอกเรื่องราวในการไปของตนทั้งหมด พระเถระฟังความเป็นไปนั้นแล้ว
สลดใจ คิดว่า อุบาสกทำสิ่งที่ทำได้ยาก ก็เราบริโภคบิณฑบาตเห็นปาน
นี้ ควรเป็นผู้กตัญญูต่ออุบาสกนี้ เราได้เสนาสนะอันเป็นสัปปายะแล้ว
เมื่อผิวหนัง เนื้อ และเลือด แม้จะแห้งไปในเสนาสนะนั้น ( ก็ตามที )
ยังไม่บรรลุพระอรหัตโดยนั่งขัดสมาธิอยู่นั่นแหละ จักไม่ลุกขึ้น พระเถระ
นั้นไปยังติสสมหาวิหาร กระทำอาคันตุกวัตร (คือระเบียบปฏิบัติสำหรับ
ผู้จรมา ) แล้ว เข้าไปยังเสนาสนะที่ถึงแก่ตน ลาดเครื่องลาดแล้วนั่ง
บนเครื่องลาดนั้นกำหนดมูลกรรมฐานของตนนั่นเอง พระเถระนั้นไม่อาจ
จะทำแม้สักว่าโอภาสให้บังเกิดขึ้นในราตรีนั้น. จำเดิมแต่วันรุ่งขึ้น จึง

ตัดความกังวลในการเที่ยวภิกษาจารเสีย ก็เห็นแจ้งกรรมฐานนั้นนั่นแหละ
ทั้งอนุโลมและปฏิโลม พระเถระเห็นแจ้งอยู่โดยอุบายนั้น ได้บรรลุพระ-
อรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาในอรุณที่ 7 แล้วคิดว่า สรีระเมื่อยล้าเหลือ
เกิน ชีวิตของเราจักดำเนินไปได้นานไหมหนอ ครั้งนั้น พระเถระกำหนด
ได้แน่นอนว่า สรีระนั้นจะไม่ดำเนินไป จึงถือบาตรและจีวรไปยังท่าม
กลางวิหาร ตีกลองให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกัน.
พระสังฆเถระถามว่า ใครให้ภิกษุสงฆ์ประชุม. พระเถระตอบว่า
กระผมขอรับ. พระสังฆเถระถามว่า เพื่ออะไร ท่านสัตบุรุษ. พระเถระ
ตอบว่า กรรมอื่นไม่มีดอกขอรับ แต่ว่าท่านผู้มีความสงสัยในมรรคหรือผล
ท่านผู้นั้นจงถามกระผมเถิด. พระสังฆเถระถามว่า ท่านสัตบุรุษ ภิกษุ
ทั้งหลายเช่นท่าน ย่อมไม่กล่าวคุณที่ไม่มีอยู่ ความสงสัยในมรรคหรือผลนี้
ไม่มีแก่พวกเรา. ก็อะไรเป็นเหตุให้เกิดความสังเวชแก่ท่าน. ท่านทำอะไร
ให้เป็นปัจจัย พระอรหัตนี้จึงบังเกิดขึ้น. พระเถระตอบว่า ท่านขอรับ
ในวัลลิยวิถีในบ้านมหาคามนี้ มีอุบาสกชื่อทารุภัณฑกมหาติสสะ จำนอง
ธิดาของตนไว้ภายนอกแล้วเอาทรัพย์มา 12 กหาปณะ ซื้อแม่โคนมมา
ตัวหนึ่ง เริ่มทั้งสลากภัตนมสดแก่พระสงฆ์. เขาคิดว่า เราจักไถ่ธิดา
จึงทำการรับจ้างอยู่ในโรงหีบอ้อยถึง 6 เดือน ได้ทรัพย์ 12 กหาปณะ
แล้วจึงเดินไปบ้านของตนด้วยหวังใจว่า จักไถ่ธิดา เห็นกระผมในระหว่าง
ทาง ในเวลาภิกษาจารได้ให้กหาปณะนั้นแม้ทั้งหมด แล้วถือเอาห่อ
ภัตตาหารมาถวายกระผมทั้งหมด. กระผมฉันบิณฑบาตนั้นแล้วมาที่นี้ ได้
เสนาสนะอันเป็นสัปปายะแล้วคิดว่า เราจักกระทำความยำเกรงต่อบิณฑบาต
ดังนี้ จึงได้ทำคุณวิเศษให้เกิดขึ้นขอรับ. บริษัท 4 ผู้ประชุมกันอยู่ที่นั้น

ได้ให้สาธุการแก่พระเถระ. ชื่อว่าผู้สามารถเพื่อดำรงตามภาวะของตน
ไม่มีเลย. พระเถระนั่งพูดอยู่ในท่ามกลางสงฆ์ กำลังพูดอยู่นั้นแล
อธิษฐานว่า กูฏาคาร ( คือเรือนมียอด ) ของเราจงเคลื่อนไป ในเวลา
ที่ทารุภัณฑกมหาติสสะเอามือถูกต้องเท่านั้น ดังนี้แล้ว ปรินิพพานด้วย
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
พระเจ้ากากวัณณติสสมหาราชทรงสดับว่า พระเถระรูปหนึ่งปริ-
นิพพาน จึงเสด็จไปยังวิหารทรงทำสักการะสัมมานะแล้ว ตรัสสั่งให้ตระ-
เตรียมกูฏาคารแล้วยกพระเถระขึ้นใส่ในกูฏาคารนั้น ทรงดำริว่า เราจักไป
ที่เชิงตะกอนเดี๋ยวนี้ จึงทรงยกกูฏาคาร ก็ไม่อาจให้เคลื่อนที่ได้ พระราชา
รับสั่งถามภิกษุสงฆ์ว่า ท่านผู้เจริญ คำพูดอะไรที่พระเถระกล่าวไว้มีอยู่
หรือ. ภิกษุทั้งหลายจึงทูลเรื่องราวที่พระเถระกล่าวไว้. พระราชารับสั่ง
ให้เรียกอุบาสกนั้นมาแล้วตรัสถามว่า ในที่สุด 7 วันจากวันนี้ไป เธอ
ถวายห่อภัตตาหารแก่ภิกษุไร ๆ ผู้เดินทางหรือ. อุบาสกทูลว่า ถวาย
พระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ. พระราชาตรัสถามว่า เธอถวายทำนองไหน.
อุบาสกนั้นจึงกราบทูลเหตุการณ์นั้นทั้งหมด. ลำดับนั้น พระราชาจึงทรง
ส่งอุบาสกนั้นไป ณ ที่ตั้งกูฏาคารของพระเถระด้วย พระดำรัสว่า เธอจงไป
จงรู้พระเถระนั้นว่าเป็นรูปนั้นหรือรูปอื่น. อุบาสกนั้นไปแล้วเลิกม่านขึ้น
เห็นหน้าพระเถระก็จำได้ เอามือทั้งสองทุบหัวใจไปยังสำนักของพระราชา
กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เป็นพระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์. ลำดับนั้น
พระราชารับสั่งให้พระราชทานเครื่องประดับชุดใหญ่แก่อุบาสกนั้น. ตรัส
กะอุบาสกผู้ประดับเสร็จแล้วว่า ท่านมหาติสสะผู้พี่ชาย ท่านจงไปไหว้
พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้วจึงยกกูฏาคารขึ้น. อุบาสกรับพระดำรัสว่า ขอ

รับใส่เกล้า ข้าแต่สมมติเทพ แล้วไปไหว้เท้าพระเถระ เอามือทั้งสองยก
ขึ้นทูนไว้เหนือกระหม่อมของตน. ขณะนั้นเอง กูฏาคารลอยไปทางอากาศ
ประดิษฐานอยู่ ณ ข้างบนของเชิงตะกอน. ในกาลนั้น เปลวไฟลุกขึ้น
เองจากมุมแม้ทั้ง 4 ของเชิงตะกอน.
วิริยสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิด แม้แก่ผู้พิจารณาถึงมรดกความเป็น
ทายาทเป็นใหญ่อย่างนี้ว่า ก็ทรัพย์มรดกคืออริยทรัพย์ 7 ของพระศาสดา
นั้น เป็นของใหญ่ ทรัพย์มรดกนั้นอันคนผู้เกียจคร้านไม่อาจรับ เหมือน
อย่างว่า บิดามารดาย่อมกีดกันบุตรผู้ประพฤติผิดไว้ภายนอกว่า ผู้นี้ไม่เป็น
บุตรของเรา เมื่อบิดามารดาล่วงลับไป เขาย่อมไม่ได้ทรัพย์มรดก ฉันใด
แม้คนเกียจคร้านก็ฉันนั้น ย่อมไม่ได้มรดกดืออริยทรัพย์นี้ ผู้ปรารภความ
เพียรเท่านั้นจึงจะได้ ดังนี้ .
วิริยสัมโพฌงค์ ย่อมเกิด แม้แก่ผู้พิจารณาถึงความที่พระศาสดา
เป็นใหญ่อย่างนี้ว่า ก็พระศาสดาของท่าน (ยิ่ง) ใหญ่แล เพราะในเวลา
ที่พระศาสดาของท่านถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระมารดาก็ดี ในการ
เสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่ก็ดี ในการตรัสรู้สัมโพธิญาณอันยิ่งก็ดี ใน
การประกาศพระธรรมจักร ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ เสด็จลงจากเทวโลก
และทรงปลงอายุสังขารก็ดี ในกาลดับขันธ์ ปรินิพพานก็ดี หมื่นโลกธาตุ
หวั่นไหวแล้ว ความที่ท่านบวชในศาสนาของพระศาสดาเห็นปานนั้นแล้ว
เป็นผู้เกียจคร้านไม่สมควรเลย.
วิริยสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิด แม้แก่ผู้พิจารณาถึงความที่ชาติเป็น
ใหญ่อย่างนี้ว่า. แม้ว่าโดยชาติ บัดนี้ ท่านก็เป็นผู้มีชาติไม่ต่ำทราม ท่าน
เป็นผู้เกิดในวงศ์ของพระเจ้าโอกกากราชอันสืบมาจากเชื้อสายของพระเจ้า

มหาสมมตราชอันไม่ปะปน (กับวงศ์อื่น) เป็นหลานของพระเจ้าสุทโธทน-
มหาราช ของพระนางมายาเทวี เป็นน้องชายของพระราหุลภัททะ ชื่อว่า
ท่านเป็นบุตรของพระชินเจ้าเห็นปานนี้ เป็นผู้เกียจคร้านอยู่ ไม่ควรเลย.
วิริยสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิด แม้แก่ผู้พิจารณาถึงความที่เพื่อน
พรหมจรรย์เป็นใหญ่อย่างนี้ว่า พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะกับพระ-
อสีติมหาสาวก ย่อมแทงตลอดโลกุตรธรรม 9 ด้วยความเพียร ท่าน
จงดำเนินตามทางของเพื่อนผู้ประพฤติพรหมจรรย์เหล่านั้น ดังนี้.
วิริยสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิด แม้แก่ผู้เว้นบุคคลเกียจคร้านผู้สละความ
เพียรทางกายและทางจิต เช่นกับงูเหลือมกินเต็มท้องแล้วก็หยุด (ไม่เลื้อย
ไปไหน) แม้แก่ผู้เสพบุคคลผู้มีจิตมั่นคง ปรารภความเพียร แม้แก่บุคคล
ผู้มีจิตน้อมโน้มโอนไปเพื่อยังความเพียรให้เกิดขึ้นในการยืนและการนั่ง
เป็นต้น. เพราะฉะนั้น กุลบุตรผู้เริ่มบำเพ็ญกรรมฐาน ทำวิริยสัมโพชฌงค์
ให้ตั้งขึ้นด้วยเหตุ 11 ประการเหล่านี้แล้ว ทำวิริยสัมโพชฌงค์นั้นนั่นแล
ให้เป็นธุระ เริ่มตั้งความยึดมั่นไว้ ย่อมถือเอาพระอรหัตได้โดยลำดับ.
กุลบุตรนั้น ชื่อว่าเจริญวิริยสัมโพชฌงค์จนกระทั่งถึงอรหัตมรรค. เมื่อ
บรรลุผลแล้ว ชื่อว่าเป็นผู้เจริญแล้วแล.
ธรรม 11 ประการย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งปีติสัมโพชฌงค์.
คือ พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า 1 ธัมมานุสติ ระลึกถึง
คุณของพระธรรม 1 สังฆานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ 1 สีลานุสสติ
ระลึกถึงคุณของศีล จาคานุสสติ ระลึกถึงการบริจาค 1 เทวดานุสสติ
ระลึกถึงคุณอันทำบุคคลให้เทวดา 1 อุปสมานุสสติ ระลึกถึงความ
เข้าไปสงบ (คือพระนิพพาน) 1 เว้นคนผู้เศร้าหมอง 1 เสพคนผู้

เรียบร้อย 1 พิจารณาพระสูตรอันน่าเลื่อมใส 1 ความเป็นผู้มีจิตน้อมไป
ในปีติสัมโพชฌงค์นั้น 1.
ก็แม้เมื่อบุคคลระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ปีติสัมโพชฌงค์ ย่อม
เกิดแผ่ซ่านไปตลอดร่างกายทั้งสิ้น จนกระทั่งถึงอุปจารสมาธิ. ปีติสัมโพช-
ฌงค์ ย่อมเกิด แม้แก่บุคคลผู้ระลึกถึงคุณของพระธรรมและพระสงฆ์ แม้แก่
บรรพชิตผู้พิจารณาจตุปาริสุทธิศีล รักษาไม่ให้ขาดมาตลอดกาลนาน แม้
แก่คฤหัสถ์ผู้พิจารณาศีล 10 ศีล 5 แม้แก่บุคคลผู้ถวายโภชนะอันประณีต
แก่เพื่อนผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในยามมีภัยอันเกิดแต่การที่ภิกษาหาได้ยาก
เป็นต้นแล้ว พิจารณาถึงการบริจาคว่า เราได้ให้ทานชื่ออย่างนี้แล้ว
เป็นต้น แม้แก่คฤหัสถ์ผู้พิจารณาถึงทานที่ให้แล้ว แก่ท่านผู้มีศีลทั้งหลาย
เห็นปานนี้ แม้แก่ผู้พิจารณาถึงคุณทั้งหลายอันเป็นเหตุให้ผู้ประกอบไว้ซึ่ง
คุณเครื่องเป็นเทวดาเห็นปานนั้นว่ามีอยู่ในตน แม้แก่ผู้พิจารณาถึงกิเลส
ทั้งหลายที่ข่มไว้ด้วยการเข้าสมาบัติว่า ไม่ฟุ้งซ่านมาตั้ง 60 ปีบ้าง 70
ปีบ้าง แม้แก่ผู้เว้นบุคคลเศร้าหมองเช่นกับธุลีบนหลังลา เพราะไม่มี
ความรักด้วยอำนาจความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เป็นต้น เพราะความ
เป็นผู้เศร้าหมอง อันบ่งถึงกิริยาที่ไม่เคารพ ในการเห็นพระเจดีย์ เห็นต้น
โพธิ และเห็นพระเถระ แม้แก่ผู้เสพบุคคลผู้เรียบร้อย มีจิตอ่อนโยน
มากด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเป็นต้น แม้แก่ผู้พิจารณาพระสูตร
อันน่าเลื่อมใสแสดงคุณของพระรัตนตรัย แม้แก่ผู้มีจิตน้อมโน้มโอนไป
เพื่อยังปีติให้เกิดขึ้นในการยืนและการนั่งเป็นต้น. เพราะเหตุนั้น กุลบุตร
ผู้เริ่มบำเพ็ญกรรมฐาน ยังปีติสัมโพชฌงค์ให้ตั้งขึ้นด้วยเหตุ 11 ประการ
นี้แล้ว ทำปีติสัมโพชฌงค์นั้นนั่นแหละให้เป็นธุระ เริ่มตั้งความยึดมั่นไว้

ย่อมถือเอาพระอรหัตได้โดยลำดับ. กุลบุตรนั้น ชื่อว่าเจริญ ปีติสัมโพชฌงค์
จนกระทั่งถึงอรหัตมรรค. เมื่อบรรลุผลแล้ว ชื่อว่าเป็นผู้เจริญปีติสัม-
โพชฌงค์แล้ว.
ธรรม 7 ประการ คือ เสพโภชนะอันประณีต 1 เสพฤดูอัน
สบาย 1 เสพอิริยาบถอันสบาย 1 ประกอบคนเป็นกลาง 1 เว้นบุคคล
ผู้มีกายไม่สงบ 1 เสพบุคคลผู้มีกายสงบ 1 น้อมจิตไปในปัสสัทธิสัม-
โพชฌงค์นั้น 1 ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดปัสสัทธิสัมโพชฌงค์.
ก็ความสงบ ย่อมเกิด แม้แก่ผู้บริโภคโภชนะอันเป็นสัปปายะ ประณีต
งดงาม แม้แก่ผู้เสพฤดูในฤดูหนาวและร้อนและอิริยาบถมียืนเป็นต้นอัน
เป็นสัปปายะ. ก็บุคคลใดมีชาติเป็นมหาบุรุษ เป็นผู้อดทนได้ในฤดู (หนาว
- ร้อน ) และอิริยาบถทั้งปวง คำนี้ ท่านกล่าวโดยหมายเอาบุคคลนั้น
ก็หามิได้. ความสงบย่อมเกิดแก่บุคคลผู้เสพฤดูและอิริยาบถอันเป็นสภาค
กัน. การพิจารณาความเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน ทั้งของตนและของ
คนอื่น เรียกว่าการประกอบตนเป็นกลาง ความสงบย่อมเกิดด้วยการ
ประกอบคนเป็นกลางดังกล่าวมานี้. ความสงบ ย่อมเกิด แม้แก่ผู้เว้นบุคคล
ผู้มีกายไม่สงบ ผู้เที่ยวเบียดเบียนสัตว์อื่นด้วยก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้น
เห็นปานนั้น แม้แก่ผู้เสพบุคคลผู้มีกายสงบ สำรวมมือและเท้า แม้แก่ผู้
มีจิตน้อมโน้มโอนไปเพื่อต้องการทำความสงบให้เกิดขึ้นในการยืนและการ
นั่งเป็นต้น. เพราะฉะนั้น กุลบุตรผู้เริ่มบำเพ็ญกรรมฐานยังปัสสัทธิสัม-
โพชฌงค์ให้ตั้งขึ้นด้วยเหตุ 7 ประการนี้ กระทำปัสสัทธิสัมโพชฌงค์นั้นให้
เป็นธุระ เริ่มตั้งความยึดมั่นไว้ ย่อมถือเอาพระอรหัตได้โดยลำดับ. กุลบุตร
นั้น ชื่อว่าย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์จนถึงพระอรหัตมรรค เมื่อบรรลุ

ผลแล้ว ย่อมชื่อว่าเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ไว้แล้ว.
ธรรม 11 ประการ คือ ทำวัตถุให้สละสลวย 1 ทำอินทรีย์ให้
ดำเนินไปสม่ำเสมอ 1 ความฉลาดในนิมิต 1 ประคองจิตในสมัย (ควร
ประคอง ) 1 ข่มจิตในสมัย ( ควรข่ม ) 1 การทำ ( จิต ) ให้ร่าเริง
ในสมัย ( ควรให้ร่าเริง ) 1 การเพ่งดูจิตในสมัย ( ควรเพ่งดู ) 1
การเว้นบุคคลผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น 1 เสพบุคคลผู้มีจิตตั้งมั่น 1 พิจารณา
ฌานและวิโมกข์ 1 ความเป็นผู้มีจิตน้อมไปในสมาธิสัมโพชฌงค์นั้น 1
ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสมาธิสัมโพชฌงค์.
บรรดาธรรมเหล่านั้น การทำวัตถุให้สละแล้ว และการทำอินทรีย์ให้
ดำเนินไปสม่ำเสมอ พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้ว. ความฉลาดในการเรียน
กสิณนิมิต ชื่อว่าฉลาดในนิมิต. บทว่า สมเย จิตฺตสฺส ปคฺคณฺหนตา
ความว่า ในสมัยใด จิตหดหู่ด้วยย่อหย่อนความเพียรเป็นต้น ในสมัยนั้น
ประคองจิตไว้ด้วยการทำธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ และ
ปีติสัมโพชฌงค์ให้เกิดขึ้น. บทว่า สมเย จิตฺตสฺส นิคฺคณฺหนตา
ความว่า ในสมัยใด จิตฟุ้งซ่านด้วยปรารภความเพียรเป็นต้นเกินไป
ในสมัยนั้น ข่มจิตไว้ด้วยการทำปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์
และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ให้เกิดขึ้น. บทว่า สมเย สมฺปหํสนตา ความว่า
ในสมัยใด จิตไม่แช่มชื่นเพราะประกอบปัญญาน้อยไป. หรือเพราะไม่ได้
สุขอันสงบ ในสมัยนั้น ยังจิตให้สังเวชด้วยการพิจารณาสังเวควัตถุ 8
ประการ. ชื่อว่าสังเวควัตถุ 8 ประการ คือ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ
ความเป็น 4 ทุกข์ในอบาย เป็นที่ 5 ทุกข์มีวัฏฏะเป็นมูลในอดีต เป็น
ที่ 6 ทุกข์มีการแสวงหาอาหารเป็นมูลในปัจจุบัน เป็นที่ 7 ทุกข์มี

วัฏฏะเป็นมูลในอนาคต เป็นที่ 8. การยังความเลื่อมใสให้เกิดขึ้นด้วย
การระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย นี้เรียกว่า ความทำจิตให้ร่าเริงในสมัย.
ชื่อว่าความเพ่งดูจิตในสมัย ได้แก่ในคราวที่จิตอาศัยการปฏิบัติชอบ
เป็นจิตไม่หดหู่ ไม่ฟุ้งซ่าน มีความแช่มชื่น ดำเนินไปตามสมถวิถีซึ่ง
เป็นไปอย่างสม่ำเสมอในอารมณ์นั้น กุลบุตรไม่ต้องขวนขวายในการ
ประคอง ข่มและทำให้ร่าเริง เหมือนสารถี ไม่ต้องขวนขวายในเมื่อม้าวิ่ง
ไปเรียบ นี้เรียกว่า ความเพ่งดูจิตในสมัย. ชื่อว่าการเว้นบุคคลผู้มีจิต
ไม่ตั้งมั่น ได้แก่เว้นให้ห่างไกลบุคคลผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ผู้ยังไม่บรรลุ
อุปจารสมาธิหรืออัปปนาสมาธิ. ชื่อว่าเสพบุคคลผู้มีจิตตั้งมั่น ได้แก่
เสพ คือคบ เข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีจิตตั้งมั่นด้วยอุปจารสมาธิ และ
อัปปนาสมาธิ. ชื่อว่าความเป็นผู้มีจิตน้อมไปในสมาธิสัมโพชฌงค์นั้น
ได้แก่ความเป็นผู้มีจิตน้อมโน้มโอนไปเพื่อให้สมาธิเกิดขึ้นในการยืนและ
การนั่งเป็นต้น. ก็เมื่อปฏิบัติอยู่อย่างนี้แหละ สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดขึ้น.
เพราะฉะนั้น กุลบุตรผู้เริ่มบำเพ็ญกรรมฐาน ยังสมาธิสัมโพชฌงค์ให้เกิด
ขึ้นด้วยเหตุ 11 ประการเหล่านี้ การทำสมาธิสัมโพชงค์นั้นเท่านั้นให้
เป็นธุระ เริ่มตั้งความยึดมั่นไว้ ย่อมถือเอาพระอรหัตได้โดยลำดับ.
กุลบุตรนั้น ชื่อว่าบำเพ็ญสมาธิสัมโพชฌงค์จนกระทั่งถึงอรหัตมรรค เมื่อ
บรรลุผลแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นผู้ได้เจริญสมาธิสัมโพชฌงค์แล้ว.
ธรรม 5 ประการ คือ ความเป็นกลางในสัตว์ 1 ความเป็น
กลางในสังขาร 1 ความเว้นบุคคลผู้ยึดถือสัตว์และสังขาร ( ว่าเป็นของ
ตน) 1 เสพบุคคลผู้วางตนเป็นกลางในสัตว์และสังขาร 1 ความเป็นผู้มี

จิตน้อมไปในอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้น 1 ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่ง
อุเบกขาสัมโพชฌงค์.
ในธรรม 5 ประการนั้น บุคคลย่อมยังความเป็นกลางในสัตว์
ให้เกิดขึ้นด้วยอาการ 2 อย่าง คือ ด้วยการพิจารณาความที่สัตว์มีกรรม
เป็นของตนอย่างนี้ว่า ท่านมาด้วยกรรมของตน จักไปด้วยกรรมของตน
แม้สัตว์นี้จักไปด้วยกรรมของตนเหมือนกัน ท่านจะยึดถือใครว่าเป็นของ
ตน ดังนี้ และด้วยการพิจารณาถึงความไม่มีสัตว์อย่างนี้ว่า โดยปรมัตถ์
สัตว์ไม่มี ท่านนั้นจะยึดถือใครว่าเป็นของตน ดังนี้. บุคคลย่อมยังความ
เป็นกลางในสังขาร
ให้เกิดขึ้นด้วยอาการ 2 อย่าง คือ ด้วยการพิจารณา
ถึงความเป็นของไม่มีเจ้าของอย่างนี้ว่า จีวรนี้ เข้าถึงความวิการ ( ผันแปร )
แห่งสีและความเก่าไปโดยลำดับ เป็นท่อนผ้าสำหรับเช็ดเท้า จักต้องเอา
ปลายไม้เท้าเขี่ยทิ้งไป ก็ถ้าจีวรนั้นพึงมีเจ้าของ เขาจะต้องไม่ให้มัน
ฉิบหายไปอย่างนี้ และด้วยการพิจารณาเป็นของชั่วคราวอย่างนี้ว่า จีวรนี้
เป็นของชั่วคราว ไม่คงทน ดังนี้. แม้ในบาตรเป็นต้น ก็พึงประกอบ
ความเหมือนดังในจีวรนั่นแล.
ในบทว่า สตฺตสงฺขารเกลายนปุคฺคลปริวชฺชนตา นี้ พึงทราบ
วินิจฉัยต่อไปนี้. บุคคลใดเป็นคฤหัสถ์ ยึดถือบุตรและธิดาเป็นต้นของตน
ว่าเป็นของเรา หรือเป็นบรรพชิต ยึดถืออันเตวาสิกผู้ร่วมอุปัชฌาย์กัน
เป็นต้นว่าเป็นของเรา กระทำการปลงผม โกนหนวด เย็บจีวร ซักจีวร
และระบมบาตรเป็นต้น แก่อันเตวาสิกเหล่านั้นด้วยมือของตนเอง
เมื่อไม่เห็นแม้สักครู่หนึ่ง ก็มองหาไปรอบ ๆ ว่า สามเณรโน้นไปไหน
ภิกษุหนุ่มโน้นไปไหน ดังนี้ เหมือนเนื้อตื่นเหลียวมองทางโน้นทางนี้อยู่

ฉะนั้น แม้ผู้อื่นขอไปเพื่อประโยชน์แก่การปลงผมเป็นต้นว่า ขอท่าน
จงส่งท่านรูปโน้นไปสักครู่ก่อนเถิด ก็ไม่ให้โดยพูดบ่ายเบี่ยงว่า แม้พวก
เราก็ยังไม่ให้ท่านรูปนั้นทำการงานของตน พวกท่านพาเธอไปจักลำบาก
นี้ชื่อว่า ยึดถือสัตว์เป็นของตน. ส่วนบุคคลใดยึดถือจีวร บาตร ภาชนะ
และไม้เท้าเป็นต้นว่าเป็นของเรา แม้คนอื่นจะเอามือลูบคลำก็ไม่ (ยอม)
ให้ (ทำ) เขายืมชั่วคราวก็พูดว่า แม้เราเป็นเจ้าของสิ่งนี้ก็ยังไม่ใช้เอง
เราจะให้พวกท่านได้อย่างไร นี้ชื่อว่า ยึดถือสังขารว่าเป็นของตน.
ส่วนบุคคลใดวางตนเป็นกลาง เป็นผู้วางเฉยในวัตถุแม้ทั้งสองเหล่า
นั้น บุคคลนี้ชื่อว่า วางตนเป็นกลางในสัตว์และสังขาร. อุเบกขา-
สัมโพชฌงค์นี้ย่อมเกิดขึ้น แม้แก่ผู้เว้นห่างไกลบุคคลผู้ยึดถือสัตว์และสังขาร
เห็นปานนี้ แม้แก่ผู้เสพบุคคลผู้วางตนเป็นกลางในสัตว์และสังขาร แม้แก่
ผู้มีจิตน้อมโน้มโอนไปเพื่อให้อุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้นเกิดขึ้นในการยืนและ
การนั่งเป็นต้น ด้วยประการดังนี้. เพราะฉะนั้น กุลบุตรผู้เริ่มบำเพ็ญ
กรรมฐานทำอุเบกขาสัมโพชฌงค์ให้เกิดขึ้นด้วยเหตุ 5 ประการเหล่านี้
กระทำอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้นนั่นแหละให้เป็นธุระ เริ่มตั้งความยึดมั่นไว้
ย่อมถือเอาพระอรหัตได้โดยลำดับ. กุลบุตรนั้น ชื่อว่าเจริญอุเบกขา-
สัมโพชฌงค์จนถึงอรหัตมรรค เมื่อบรรลุผลแล้ว ย่อมชื่อว่าได้เจริญแล้ว.
สัมโพชฌงค์7เหล่านี้ ตรัสคละกันทั้งโลกิยะและโลกุตระ ด้วยประการดังนี้.
บทว่า สมฺมาทิฏฺฐึ ภาเวติ ความว่า ย่อมพอกพูน คือเพิ่มขึ้น
ซึ่งสัมมาทิฏฐิอันเป็นเบื้องต้นของมรรคมีองค์ 8. แม้ในบทที่เหลือก็มี
นัยนี้นั่นแล. ก็ในข้อที่ว่าด้วยมรรคมีองค์ 8 นี้ สัมมาทิฏฐิ มีความ
เห็นชอบเป็นลักษณะ. สัมมาสังกัปปะ มีความยกขึ้นซึ่งจิตโดยชอบเป็น

ลักษณะ. สัมมาวาจา มีความกำหนดถือเอาชอบเป็นลักษณะ. สมัมา-
กัมมันตะ
มีการตั้งขึ้นซึ่งการงานโดยชอบเป็นลักษณะ. สัมมาอาชีวะ
มีความทำอาชีพให้บริสุทธิ์โดยชอบเป็นลักษณะ. สัมมาวายามะ. มีความ
ประคองไว้ชอบเป็นลักษณะ. สัมมาสติ มีความปรากฏขึ้นชอบเป็น
ลักษณะ. สัมมาสมาธิ มีความตั้งใจชอบเป็นลักษณะ.
ในมรรคมีองค์ 8 นั้น มรรคหนึ่ง ๆ มีกิจ 3 อย่าง คือ ก่อนอื่น
สัมมาทิฏฐิ ละมิจฉาทิฏฐิพร้อมกับกิเลสที่เป็นข้าศึกของตนแม้อย่างอื่น ๆ
กระทำนิโรธให้เป็นอารมณ์ เห็นสัมปยุตธรรม เพราะไม่หลง ด้วยอำนาจ
การกำจัดโมหะที่ปกปิดสัมมาทิฏฐินั้น. แม้สัมมาสังกัปปะเป็นต้นก็เหมือน
กัน ละมิจฉาสังกัปปะเป็นต้น และทำนิโรธให้เป็นอารมณ์.
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในมรรคนี้ สัมมาสังกัปปะ ดำริถึงสหชาตธรรม
สัมมาวาจา กำหนดถือเอาชอบ สัมมากัมมันตะ ตั้งขึ้นซึ่งการงานชอบ
สัมมาอาชีวะ ทำอาชีพให้บริสุทธิ์โดยชอบ สัมมาวายามะ ประคองไว้ชอบ
สัมมาสติ ปรากฏขึ้นชอบ สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ.
อีกประการหนึ่ง ธรรมดาว่าสัมมาทิฏฐินี้ในเบื้องต้นมีขณะต่างกัน
มีอารมณ์ต่างกัน ( แต่ ) ในเวลาเป็นมรรค มีขณะเดียวกัน มีอารมณ์
เดียวกัน. แต่เมื่อว่าโดยกิจได้ชื่อ 4 ชื่อมีว่า ทุกฺเข ญาณํ ดังนี้เป็นต้น.
แม้สัมมาสังกัปปะเป็นต้น ก็มีขณะต่างกัน มีอารมณ์ต่างกันในเบื้องต้น
แต่ในเวลาเป็นมรรค มีขณะเดียวกัน มีอารมณ์เดียวกัน. ในมรรคเหล่านั้น
สัมมาสังกัปปะ เมื่อว่าโดยกิจ ได้ชื่อ 3 ชื่อมีว่า เนกขัมมสังกัปปะ
ดังนี้เป็นต้น. องค์มรรค 3 แม้มีสัมมาวาจาเป็นต้น ในเบื้องต้น มีขณะ
ต่างกัน มีอารมณ์ต่างกัน คือ เป็นวิรัติบ้าง เป็นเจตนาบ้าง แต่ใน

ขณะมรรคเป็นวิรัติเท่านั้น. แม้องค์มรรคทั้งสองนี้ คือ สัมมาวายามะ
สัมมาสติ เมื่อว่าโดยกิจ ได้ชื่อ 4 ชื่อ ด้วยอำนาจสัมมัปปธาน 4 และ
สติปัฏฐาน 4. ด้วยสัมมาสมาธิ คงเป็นสัมมาสมาธิอย่างเดียว ทั้งใน
เบื้องต้น ทั้งในขณะมรรค.
ในธรรม 8 ประการนี้ ดังพรรณนามาฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงสัมมาทิฏฐิก่อน เพราะเป็นอุปการะแก่พระโยคีผู้ปฏิบัติเพื่อ
บรรลุพระนิพพาน. ก็สัมมาทิฏฐินี้เป็นไปโดยชื่อว่า ปญฺญาปชฺโชโต
ปญฺญาสตฺถํ
(ปัญญาเป็นแสงสว่าง ปัญญาเพียงดังศัสตรา) ดังนี้.
เพราะเหตุนั้น พระโยคาวจรกำจัดมืดคืออวิชชา ด้วยสัมมาทิฏฐิ คือ
วิปัสสนาญาณนี้ในเบื้องต้น ฆ่าโจรคือกิเลสเสีย ย่อมบรรลุพระนิพพาน
โดยความเกษม. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
นิพฺพานาธิคมาย ปฏิปนฺนสฺส โยคิโน
พหุการตฺตา ปฐมํ สมฺมาทิฏฺฐ เทสิตา.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสัมมาทิฏฐิ
ก่อน เพราะเป็นธรรมมีอุปการะมากแก่พระ-
โยคีผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุพระนิพพาน.

ก็สัมมาสังกัปปะมีอุปการะมากแก่สัมมาทิฏฐินั้น เพราะฉะนั้น จึง
ตรัสไว้ในลำดับแห่งสัมมาทิฏฐินั้น . เหมือนอย่างว่า เหรัญญิกใช้มือพลิก
ไปพลิกมา ตาดูเหรียญกษาปณ์ ย่อมรู้ว่า อันนี้ปลอม อันนี้ดี ฉันใด
แม้พระโยคาวจรก็ฉันนั้น ในเบื้องต้น ใช้วิตกตรึกไปตรึกมา ใช้วิปัสสนา-
ปัญญาตรวจดู ย่อมรู้ว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกามาวจร ธรรมเหล่านี้เป็น

รูปาวจรเป็นต้น. ก็หรือว่าช่างถาก เอาขวานถากไม้ใหญ่ที่บุรุษจับปลาย
คอยพลิกให้ ย่อมนำไปใช้งานได้ ฉันใด พระโยคาวจรพิจารณาธรรม
ที่วิตกคอยตรึกให้ด้วยปัญญา โดยนัยมีอาทิว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกามาวจร
ธรรมเหล่านี้เป็นรูปาวจร ย่อมนำเข้าไปใช้งานได้ ฉันนั้น เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า ก็สัมมาสังกัปปะมีอุปการะมากแก่สัมมาทิฏฐินั้น เพราะ-
ฉะนั้น จึงตรัสไว้ในลำดับแห่งสัมมาทิฏฐินั้น ดังนี้.
สัมมาสังกัปปะนี้นั้น มีอุปการะแก่สัมมาวาจา เหมือนดังมีอุปการะ
แก่สัมมาทิฏฐิฉะนั้น สมดังที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนคหบดี บุคคลตรึกแล้ว
พิจารณาแล้วในเบื้องต้นก่อนแล จึงเปล่งวาจา เพราะฉะนั้น พระองค์
จึงตรัสสัมมาวาจาไว้ในลำดับแห่งสัมมาสังกัปปะนั้น.
ก็เพราะเหตุที่คนจะต้องจัดแจงด้วยวาจาก่อนว่า เราจะกระทำสิ่งนี้
และสิ่งนี้ ดังนี้แล้ว จึงประกอบการงานในโลก เพราะฉะนั้น จึงตรัส
สัมมากัมมันตะไว้ในลำดับสัมมาวาจา เพราะวาจามีอุปการะแก่การงาน.
ก็เพราะเหตุที่ศีลมีอาชีวะเป็นที่ 8 ย่อมบริบูรณ์แก่ผู้ละวจีทุจริต 4 และ
กายทุจริต 3 แล้วทำวจีสุจริตและกายสุจริตทั้งสองให้บริบูรณ์ ไม่
บริบูรณ์สำหรับคนนอกนี้ เพราะฉะนั้น จึงตรัสสัมมาอาชีวะไว้ในลำดับ
แห่งสัมมาวาจาและสัมมากัมมันตะทั้งสองนั้น.
เพื่อแสดงว่า ถ้าบุคคลผู้มีอาชีวะบริสุทธิ์อย่างนี้ กระทำความปลาบ
ปลื้มด้วยเหตุเพียงเท่านี้ว่า อาชีพของเราบริสุทธิ์ แล้วเป็นผู้ประมาท
เหมือนดังหลับอยู่ ไม่ควร โดยที่แท้ ควรต้องปรารภความเพียรนี้ทุก ๆ
อิริยาบถ จึงตรัสสัมมาวายามะไว้ในลำคับแห่งสัมมาชีวะนั้น. ต่อแต่นั้น
เพื่อจะแสดงว่า แม้ปรารภความเพียรแล้ว ก็ควรการทำสติให้ตั้งมั่นใน

วัตถุทั้ง 4 มีกายเป็นต้น จึงทรงแสดงสัมมาสติไว้ในลำดับแห่งสัมมาวายามะ.
ก็เพราะเหตุที่สติตั้งมั่นอย่างนี้แล้ว ใส่ใจได้ดีถึงคติธรรมทั้งหลายที่
มีอุปการะและไม่มีอุปการะแก่สมาธิ ย่อมสามารถทำจิตให้แน่วแน่ใน
เอกัคคตารมณ์ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ทรงแสดงสัมมาสมาธิไว้ใน
ลำดับแห่งสัมมาสติแล. ดังนั้น จึงตรัสมรรคอันประกอบด้วยองค์ 8 แม้นี้
คละกันทั้งโลกิยะและโลกุตระ.
ในบทว่า อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี ดังนี้เป็นต้น ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้มี
ความเข้าใจรูปภายใน ด้วยอำนาจบริกรรมรูปภายใน. ก็เมื่อกระทำบริกรรม
รูปสีเขียวในภายใน ย่อมกระทำ (บริกรรม คือพิจารณาบ่อย ๆ )
ที่ผม ที่ดี หรือที่ดวงตา. เมื่อทำบริกรรมรูปสีเหลือง ย่อมทำที่มันข้น
ที่ผิวหนัง ที่ฝ่ามือฝ่าเท้า หรือในที่ที่นัยน์ตามีสีเหลือง. เมื่อทำบริกรรม
รูปสีแดง ย่อมทำที่เนื้อ ที่เลือด ที่ลิ้น หรือในที่ที่นัยน์ตามีสีแดง. เมื่อ
ทำบริกรรมรูปสีขาว ย่อมทำที่กระดูก ที่ฟัน ที่เล็บ หรือในที่ที่นัยน์ตา
มีสีขาว. ก็รูปสีเขียวเป็นต้นนั้น ไม่เป็นสีเขียวแท้ ไม่เหลืองแท้ ไม่แดง
แท้ ไม่ขาวแท้ เป็นสีไม่บริสุทธิ์เลย.
บทว่า เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ความว่า บริกรรม
อย่างนี้ของภิกษุใดเกิดขึ้นภายใน นิมิตเกิดขึ้นภายนอก ภิกษุนั้นเรียกว่า
มีความเข้าในรูปภายใน เป็นรูปภายนอก ด้วยอำนาจบริกรรมรูปภายใน
และให้รูปภายนอกถึงอัปปนา. บทว่า ปริตฺตานิ ได้แก่ ยังไม่เจริญ.
บทว่า สุวณฺณทุพฺพณฺณานิ ความว่า จะเป็นรูปมีวรรณะดี หรือวรรณะ
ทรามก็ช่างเถิด พึงทราบว่า ท่านกล่าวอภิภาย*ตนะนี้ ด้วยอำนาจรูปที่เป็น

* อภิภายตนะมี 8 ประการ หมายถึงการบำเพ็ญโดยเพ่งรูปคือวัณณกสิณเป็นอารมณ์.

ปริตตารมณ์เท่านั้น.
บทว่า ตานิ อภิภุยฺย ความว่า บุรุษผู้มีไฟธาตุดีได้ภัตตาหาร
ประมาณทัพพีหนึ่ง คิดว่า มีอะไรที่เราจะพึงบริโภคได้ในภัตตาหารนี้ จึง
รวมทำให้เป็นคำข้าวคำเดียวกัน ฉันใด บุคคลผู้มีญาณอันยิ่ง มีญาณแจ่มใส
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน พิจารณาว่า มีอะไรที่เราจะพึงเข้าฌานในปริตตารมณ์นี้
อันนี้ไม่เป็นเรื่องหนักสำหรับเรา จึงครอบงำรูปเหล่านั้นเข้าฌาน อธิบาย
ว่า ให้ถึงอัปปนาในรูปนั้นพร้อมกับทำนิมิตให้เกิดขึ้นทีเดียว. ก็ด้วยบทว่า
ชานามิ ปสฺสามิ นี้ ท่านกล่าวถึงความคำนึงของภิกษุนั้น. ก็ความ
คำนึงถึงนั้นแล ย่อมมีแก่ภิกษุผู้ออกจากสมาบัติ ไม่ใช่มีในภายในสมาบัติ.
บทว่า เอวํ สญฺญี โหติ ความว่า ย่อมมีความเข้าใจอย่างนี้ ด้วยความ
เข้าใจในความคำนึงถึงบ้าง ด้วยความเข้าใจในฌานบ้าง. ก็ความเข้าใจ
ในการครอบงำ (รูป ) ย่อมมีแก่ภิกษุนั้นในภายในสมาบัติ แต่ความ
เข้าใจในการคำนึงถึง ย่อมมีแก่ภิกษุผู้ออกจากสมาบัติแล้วเท่านั้น.
บทว่า อปฺปมาณานิ ความว่า ขยายขนาดขึ้น คือใหญ่ขึ้น. ก็ใน
บทว่า อภิภุยฺย นี้ มีความว่า เหมือนบุรุษผู้กินจุ ได้ภัตตาหารเพิ่มอีก
หนึ่งที่ ก็คิดว่า แม้ภัตตาหารอื่นก็ช่างเถิด ภัตตาหารนั้นจักทำอะไรเรา
ย่อมไม่เห็นภัตตาหารที่ได้เพิ่มนั้นโดยเป็นของมากมาย ฉันใด บุคคลผู้มี
ญาณอันยิ่ง มีญาณแจ่มใส ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เห็นว่า เราจะพึงเข้าฌาน
อะไรในรูปนี้ รูปนี้มีประมาณมากมายก็หามิได้ เราไม่หนักใจในการทำ
จิตให้แน่วแน่ (กับรูปนี้) ดังนี้ ครอบงำรูปเหล่านั้นเสียแล้วเข้าสมาบัติ
คือทำให้ถึงอัปปนาพร้อมกับทำนิมิตให้เกิดขึ้นทีเดียว.
บทว่า อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี ความว่า ผู้เดียวเว้นบริกรรมสัญญา

ในรูปภายในเสีย เพราะไม่ได้หรือเพราะไม่ต้องการ. บทว่า พหิทฺธา
รูปานิ ปสฺสติ
ความว่า บริกรรมก็ดี นิมิตก็ดี ของภิกษุใดเกิดขึ้นเฉพาะ
ภายนอก ภิกษุนั้นท่านเรียกว่าผู้เดียว มีความเข้าใจอรูปในภายใน เห็นรูป
ในภายนอก. คำที่เหลือในสูตรนี้ มีนัยดังกล่าวไว้ในอภิภายตนะที่ 4 นั่น
แล. ก็บรรดารูปทั้ง 4 นี้ รูปที่เป็นปริตตารมณ์ มาด้วยอำนาจวิตกจริต.
รูปมากหลายไม่มีประมาณ มาด้วยอำนาจโมหจริต. รูปมีวรรณะดี มาด้วย
อำนาจโทสจริต. รูปมีวรรณะทราม มาด้วยอำนาจราคจริต. เพราะรูป
เหล่านี้ เป็นสัปปายะของจริตเหล่านี้ . ก็ความที่รูปเหล่านั้นเป็นสัปปายะ
ได้กล่าวไว้พิสดารแล้วในจริยนิเทศในวิสุทธิมรรค.
ในอภิภายตนะที่ 5 เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยต่อไปนี้ :-
บทว่า นีลานิ กล่าวเนื่องด้วยการถือเอาทั้งหมด. บทว่า นีลวณฺณานิ
กล่าวเนื่องด้วยวรรณะ. บทว่า นีลนิทสฺสนานิ กล่าวเนื่องด้วยเห็นสีเขียว
อธิบายว่า สีไม่ปะปนกันปรากฏชัดเจน. เห็นเป็นสีเขียวสีเดียวเท่านั้น.
ก็บทว่า นีลนิภาสานิ กล่าวเนื่องด้วยแสง อธิบายว่า ประกอบด้วย
สีเขียว. ท่านแสดงว่า อภิภายตนะเหล่านั้นบริสุทธิ์ ด้วยบทว่า นีล-
นิภาสานิ
นี้. ก็ท่านกล่าวอภิภายตนะเหล่านั้น ด้วยสีบริสุทธิ์เท่านั้น. ก็ใน
อธิการที่ว่าด้วยอภิภายตนะนี้ การทำกสิณ การบริกรรม และวิธีถึง
อัปปนา มีอาทิว่า เมื่อถือเอานีลกสิณ ย่อมถือเอาตในดอกไม้ ผ้า
หรือวรรณธาตุที่มีสีเขียว ดังนี้ทั้งหมด ได้กล่าวไว้แล้วโดยพิสดารใน
วิสุทธิมรรค. ก็อภิภายตนฌานทั้ง 8 ประการนี้ เป็นวัฏฏะบ้าง เป็นบาท
ของวัฏฏะบ้าง เป็นบาทของวิปัสสนาบ้าง เป็นบาทของอภิญญาบ้าง แต่
พึงทราบว่าเป็นโลกิยะเท่านั้น ไม่เป็นโลกตระ.

ในบทว่า รูปี รูปานิ ปสฺสติ นี้ รูปฌานที่เกิดด้วยอำนาจ
นีลกสิณเป็นต้น ที่ผมเป็นต้นในภายใน ชื่อว่า รูป. ชื่อว่า รูปี เพราะ
อรรถว่าเขามีรูปฌานนั้น. บทว่า พทิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ความว่า
ย่อมเห็นรูปมีนีลกสิณเป็นต้นภายนอก ด้วยฌานจักษุ. ด้วยบทนี้ ท่าน
แสดงรูปาจรฌานแม้ทั้ง 4 ของบุคคลผู้ทำฌานให้เกิดในกสิณอันเป็น
วัตถุภายในและภายนอก. บทว่า อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี ความว่า ไม่มี
ความเข้าใจรูปภายใน คือ รูปาวจรฌานอันไม่เกิดที่ผมเป็นต้นของตน.
ด้วยบทนี้ ท่านแสดงรูปาวจรฌานของบุคคลผู้กระทำบริกรรม ( กสิณ )
ในภายนอกแล้วทำฌานให้เกิด ( ที่กสิณ ) ในภายนอกนั่นแหละ.
ด้วยบทว่า สุภนฺเตว อธิมุตฺโต โหติ นี้ ท่านแสดงฌานใน
วัณณกสิณมีนีลกสิณเป็นต้นอันบริสุทธิ์. ในฌานเหล่านั้น ความคำนึงว่า
งาม ย่อมไม่มีในภายในอัปปนาก็จริง ถึงอย่างนั้น ภิกษุใดทำความงาม
อันบริสุทธิ์ดีให้เป็นอารมณ์ของกสิณอยู่ เพราะเหตุที่ภิกษุนั้นจะต้องถูก
เรียกว่า เป็นผู้น้อมใจไปว่า งาม เพราะฉะนั้น จึงตรัสเทศนาอย่างนั้น.
ก็ในปฏิสัมภิทามรรค ท่านพระสารีบุตรกล่าวไว้ว่า ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะ
เป็นผู้น้อมใจไปว่า งามอย่างไร. ภิกษุในพระศาสนานี้ มีจิตสหรคต
ด้วยเมตตา ฯลฯ แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ เพราะเป็นผู้เจริญเมตตา สัตว์
ทั้งหลายจึงเป็นผู้ไม่น่ารังเกียจ. มีจิตสหรคตด้วยกรุณา มุทิตา อุเบกขา
แผ่ไป ฯ ล ฯ ตลอดทิศหนึ่งอยู่ เพราะเป็นผู้เจริญกรุณา มุทิตา อุเบกขา
สัตว์ทั้งหลายจึงเป็นผู้ไม่น่ารังเกียจ, ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่า เป็นผู้
น้อมใจว่างามอย่างนี้ ด้วยประการดังกล่าวนี้. คำใดที่จะพึงกล่าวในบทว่า
สพฺพโส รูปสญฺญานํ เป็นต้น คำทั้งหมดแม้นั้น ได้กล่าวไว้แล้วใน

วิสุทธิมรรคนั่นแล.
ก็ในบทว่า ปฐวีกสิณ ภาเวติ นี้ ที่ชื่อว่า เพราะอรรถว่า
ทั้งสิ้น. กสิณมีปฐวีเป็นอารมณ์ ชื่อว่าปฐวีกสิณ. คำว่า ปฐวีกสิณํ ภาเวติ
นี้ เป็นชื่อของบริกรรมว่าปฐวีก็มี ของอุคคหนิมิตก็มี ของปฏิภาคนิมิต
ก็มี ของฌานอันทำนิมิตนั้นให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้นก็มี. แต่ในที่นี้ ท่าน
ประสงค์เอาฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์. ภิกษุนั้นเจริญปฐวีกสิณนั้น.
แม้ในอาโปกสิณเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ก็ภิกษุเมื่อจะเจริญ
กสิณเหล่านี้ ชำระศีลแล้วตั้งอยู่ในศีลอันบริสุทธิ์ ตัดบรรดาปลิโพธความ
กังวล 10 ประการที่มีอยู่นั้นออกไปเสีย แล้วเข้าไปหากัลยาณมิตรผู้ให้
กรรมฐาน เรียนเอากรรมฐานที่เป็นสัปปายะโดยเกื้อกูลแก่จริตของตน
แล้วละที่อยู่อันไม่เหมาะแก่การบำเพ็ญกสิณ อยู่ในที่อยู่อันเหมาะสม ทำ
การตัดความกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ทำภาวนาวิธีทุกอย่างให้เสื่อมไป พึง
เจริญเถิด. นี้เป็นความย่อในสูตรนี้ ส่วนความพิสดารได้กล่าวไว้แล้วใน
วิสุทธิมรรค.
ก็วิญญาณกสิณมาในวิสุธิมรรคนั้นทั้งสิ้น วิญญาณกสิณนั้นโดยใจ
ความก็คือวิญญาณอันเป็นไปในอากาสกสิณ. ก็วิญญาณนั้นแล ท่านกล่าว
โดยเป็นอารมณ์ ไม่ใช่กล่าวโดยเป็นสมาบัติ. ก็ภิกษุนี้กระทำวิญญาณกสิณ
นั้นให้เป็นวิญญาณไม่มีที่สุด แล้วเจริญวิญญาณจายตนะสมาบัติอยู่
เรียกว่าเจริญวิญญาณกสิณ. กสิณ 10 แม้นี้ เป็นวัฏฏะบ้าง เป็นบาทของ
วัฏฏะบ้าง เป็นบาทของวิปัสสนาบ้าง เป็นประโยชน์แก่การอยู่เป็นสุขใน
ปัจจุบันบ้าง เป็นบาทของอภิญญาบ้าง เป็นบาทของนิโรธบ้าง เป็นโลกิยะ
เท่านั้น ไม่เป็นโลกุตระ.

บทว่า อสุภสญฺญํ ภาเวติ ความว่า สัญญาอันสหรคตด้วยปฐม
ฌานซึ่งเกิดในอารมณ์ 10 มีศพที่ขึ้นพองเป็นต้น เรียกว่า อสุภ. อบรม
คือพอกพูน เจริญอสุภสัญญานั้น. อธิบายว่า ทำอสุภสัญญาที่ยังไม่เกิดขึ้น
ตามรักษาอสุภสัญญาที่เกิดขึ้นแล้วเอาไว้. ก็แนวของการเจริญอสุภ 10
ทั้งหมดกล่าวไว้พิสดารแล้วในวิสุทธิมรรค.
บทว่า มรณสญฺญํ ภาเวติ ความว่า เจริญสัญญาอันทำมรณะ
แม้ทั้ง 3 คือ สมมุติมรณะ ขณิกมรณะ สมุจเฉทมรณะให้เป็นอารมณ์
เกิดขึ้น อธิบายว่า ทำสัญญาที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ตามรักษาสัญญาที่
เกิดขึ้นแล้วเอาไว้. มรณสติอันมีลักษณะดังกล่าวไว้ในหนหลังนั่นแหละ
เรียกว่า มรณสัญญาในที่นี้ . อธิบายว่า เจริญมรณสัญญานั้น ทำให้เกิด
ขึ้น ให้เจริญขึ้น. ก็นัยแห่งการเจริญมรณสัญญานั้นกล่าวไว้พิสดารแล้ว
ในวิสุทธิมรรคนั่นแล.
บทว่า อาหาเร ปฏิกูลสญฺญํ ภาเวติ ความว่า ย่อมเจริญสัญญา
อันเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้พิจารณาความปฏิกูล 9 อย่าง มีปฏิกูลโดยการไป
เป็นต้น ในกวฬิงการาหารชนิดที่กินและดื่มเป็นต้น อธิบายว่า ทำให้
เกิดขึ้น ให้เจริญขึ้น. นัยแห่งการเจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญาแม้นั้น ก็ได้
กล่าวไว้อย่างพิสดารแล้วในวิสุทธิมรรคเหมือนกัน.
บทว่า สพฺพโลเก อนภิรตสญฺญํ ภาเรติ ความว่า เจริญ
อนภิรตสัญญา (ความสำคัญว่าไม่น่ายินดี) คืออุกกัณฐิตสัญญาในไตร-
โลกธาตุแม้ทั้งสิ้น. บทว่า อนิจฺจสญฺญํ ภาเวติ ความว่า เจริญสัญญา
อันเกิดขึ้นในขันธ์ 5 ว่าไม่เที่ยง กำหนดพิจารณาความเกิดขึ้น ความ
เสื่อมไป และความแปรปรวนแห่งอุปาทานขันธ์ 5. บทว่า อนิจฺเจ

ทุกฺขสญฺญํ ภาเวติ ความว่า เจริญสัญญาอันเกิดขึ้นว่า เป็นทุกข์ กำหนด
พิจารณาทุกขลักษณะคือความบีบคั้น ในขันธบัญจกอันไม่เที่ยง.
บทว่า ทุกฺเข อนตฺตสญญํ ภาเวติ ความว่า เจริญสัญญาอัน
เกิดขึ้นว่า เป็นอนัตตา อันกำหนดพิจารณาอนัตตลักษณะ กล่าวคือ
อาการอันไม่อยู่ในอำนาจ ในขันธบัญจกอันเป็นทุกข์เพราะอรรถว่าบีบคั้น.
บทว่า ปหานสญฺญํ ภาเวติ ความว่า เจริญสัญญาอันทำปหานะ 5 อย่าง
ให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้น. บทว่า วิราคสญฺญํ ภาเวติ ความว่า เจริญสัญญา
อันกระทำวิราคะ 5 อย่างนั่นแลให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้น.
บทว่า นิโรธสญฺญํ ภาเวติ ความว่า เจริญสัญญาอันทำสังขาร-
นิโรธให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้น. บางอาจารย์กล่าวว่า สัญญาอันกระทำ
พระนิพพานให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้น ดังนี้ก็มี. ก็ในบทว่า นิโรธสญฺญํ
ภาเวติ
นี้ ท่านกล่าวถึงวิปัสสนาอันแก่กล้า ด้วยสัญญาทั้ง 3 นี้ คือ
สัพพโลเกอนภิรตสัญญา 1 อนิจจสัญญา 1 อนิจเจทุกขสัญญา 1. ท่าน
กล่าวซ้ำเฉพาะการปรารภวิปัสสนา ด้วยสัญญา 10 ประการ มีคำว่า
อนิจฺจสญฺญํ ภาเวติ ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า พุทฺธานุสฺสติ เป็นต้น ได้กล่าวอธิบายความไว้แล้ว .
บทว่า ปฐมชฺฌานสหคตํ แปลว่า ไป คือเป็นไปพร้อมกับ
ปฐมฌาน อธิบายว่า สัมปยุตด้วยปฐมฌาน. บทว่า สทฺธินฺทฺริยํ ภาเวติ
ความว่า เจริญสัทธินทรีย์ให้สหรคตด้วยปฐมฌาน คืออบรม พอกพูน
ให้เจริญ. ในบททุกบทมีนัยดังกล่าวนี้.

จบอรรถกถาอปรอัจฉราสังฆาตวรรค

อรรถกถากายคตาสติวรรค1



ในบทว่า เจตสา ผุโฏ ( แผ่ไปด้วยใจ ) นี้ การแผ่มี 2 อย่าง
คือ แผ่ไปด้วยอาโปกสิณ 1 แผ่ไปด้วยทิพยจักษุ 1. ใน 2 อย่างนั้น
การเข้าอาโปกสิณแล้วแผ่ไปด้วยอาโป ชื่อว่าแผ่ด้วยอาโปกสิณ. เมื่อ
มหาสมุทรแม้ถูกแผ่ไปด้วยการแผ่ไปอย่างนี้ แม่น้ำน้อยทุกสายที่ไหลลง
มหาสมุทร ย่อมเป็นอันรวมเข้าอยู่ด้วย. ก็การเจริญอาโลกกสิณแล้วเห็น
สมุทรทั้งสิ้นด้วยจักษุ ชื่อว่าแผ่ด้วยทิพยจักษุ เมื่อมหาสมุทรแม้ถูกแผ่ไป
ด้วยการแผ่ไปอย่างนี้ แม่น้ำน้อยที่ไหลลงมหาสมุทร ย่อมเป็นอันรวม
เข้าไว้ด้วย.
บทว่า อนฺโตคธา ตสฺส ความว่า กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเป็น
อันหยั่งลงในภายในแห่งการเจริญของภิกษุนั้น. ในบทว่า วิชฺชาภาคิยา
นี้ มีวิเคราะห์ดังต่อไปนี้ :- ชื่อว่าวิชชาภาคิยะ เพราะบรรจบวิชชา ด้วย
การประกอบเข้ากันได้. ชื่อว่าวิชชาภาคิยะ เพราะเป็นไปในส่วนแห่ง
วิชชา คือในภาคของวิชชา. ในบทว่า วิชฺชาภาคิยา นั้น วิชชามี 8
คือ วิปัสสนาญาณ 1 มโนมยิทธิ 1 อภิญญา 6. โดยความหมายแรก
ธรรมที่สัมปยุตด้วยวิชชาเหล่านั้น เป็นวิชชาภาคิยะ. โดยความหมายหลัง
วิชชาข้อใดข้อหนึ่งเพียรข้อเดียวในบรรดาวิชชา 8 นั้นเป็นวิชชา. ธรรม
ที่เหลือเป็นวิชชาภาคิยะ คือเป็นส่วนแห่งวิชชา. รวมความว่า วิชชาก็ดี
ธรรมอันสัมปยุตด้วยวิชชาก็ดี พึงทราบว่าเป็นวิชชาภาคิยะทั้งนั้น
บทว่า มหโต สํเวคาย แปลว่า เพื่อประโยชน์แก่ความสังเวช
ใหญ่. แม้ในสองบทข้างหน้า ก็มีนัยนี้เหมือนกัน . ก็ในอธิการนี้

1. บาลีข้อ 225- ข้อ 234, วรรคนี้รวมอยู่ในปสาทกรธัมมาทิบาลี.