เมนู

อรรถกถาเอกธัมมาทิบาลี



อรรถกถาวรรคที่1 1


พึงทราบวินิจฉัยในเอกธรรมบาลี ต่อไป.
ความเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ชื่อว่าเอกธรรม ธรรมอย่างหนึ่ง. บทว่า
เอกนฺตนิพฺพิทาย ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่ความหน่าย คือ เพื่อประโยชน์
แก่ความเบื่อระอาในวัฏฏะโดยส่วนเดียว. บทว่า วิราคาย ได้แก่ เพื่อ
ประโยชน์แก่การคลายกำหนัดในวัฏฏะ. อีกอย่างหนึ่ง เพื่อสำรอก คือ
เพื่อความไปปราศแห่งกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น. บทว่า นิโรธาย
ได้แก่ เพื่อความดับกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น คือ เพื่อประโยชน์แก่
การทำกิเลสมีราคะ เป็นต้น มิให้ดำเนินต่อไป. อีกอย่างหนึ่ง เพื่อประ-
โยชน์แก่ การดับวัฏฏะ. บทว่า อุปสมาย เพื่อประโยชน์แก่การเข้า
ไปสงบกิเลส. บทว่า อภิญญาย คือ เพื่อประโยชน์แก่การยกขึ้นสู่ไตร-
ลักษณ์ มีความไม่เที่ยงเป็นต้นแล้วรู้ยิ่ง. บทว่า สมฺโพธาย ได้แก่
เพื่อประโยชน์แก่การตรัสรู้สัจจะทั้ง 4. อีกอย่างหนึ่ง คือ เพื่อประโยชน์
แก่การแทงตลอดญาณในมรรคทั้ง ซึ่งพระองค์ตรัสไว้อย่างนี้ว่า ญาณ
ในมรรคทั้ง 4 เราเรียกว่า โพธิ การตรัสรู้. บทว่า นิพฺพานาย ได้แก่
เพื่อประโยชน์แก่การทำให้แจ้งพระนิพพานซึ่งหาปัจจัย ( ปรุงแต่ง )
มิได้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพรรณนา พุทธธานุสสติกรรมฐาน ด้วย
บททั้ง 7 นี้ ด้วยประการดังนี้ เพราะเหตุไร. เพราะพระองค์เป็น

1. บาลีข้อ 179-180.

บัณฑิต ตรัสพรรณนาไว้เพื่อให้มหาชนเกิดความอุตสาหะ เหมือนพ่อค้า
ชื่อว่าวิสกัณฏกะผู้ค้ำน้ำอ้อยงบฉะนั้น. คุฬวาณิชพ่อค้ำน้ำตาลก้อน ชื่อว่า
วิสกัณฏกวาณิช พ่อค้าน้ำอ้อยงบ.
ได้ยินว่า พ่อค้านั้น ได้บรรทุกสินค้ามีน้ำตาลก้อนและน้ำตาลกรวด
ด้วยเกวียนแล้ว ไปยังหมู่บ้านชายแดงแล้วร้องโฆษณา (ขาย) ว่า
พวกท่านจงมาซื้อเอา วิสกัณฏกะไป พวกท่านจงมาซื้อเอาวิสกัณฏกะไป
ดังนี้. ฝ่ายพวกชาวบ้าน ครั้นฟังคำโฆษณาแล้ว จึงคิดกันว่า ชื่อว่ายาพิษ
เป็นก้อน ก็มีพิษร้ายแรง ผู้ใดเคี้ยวกินก้อนยาพิษนั้น ผู้นั้นย่อมตาย,
แม้หนาม (ที่มีพิษ) แทงแล้ว ก็ย่อมตาย, สินค้าแม้ทั้งสองเหล่านั้น
ก็เป็นก้อนแข็ง ๆ. บรรดาสินค้าที่เป็นก้อนแข็ง ๆ เหล่านั้น จะมีอานิสงส์
อะไร ดังนี้แล้ว ให้ปิดประตูเรือนและไล่ให้เด็ก ๆ หลบหนีไป. พ่อค้า
เห็นเหตุนั้นแล้วคิดว่า พวกชาวบ้านเหล่านี้ ไม่เข้าใจในถ้อยคำ เอาละ
เราจะให้พวกเขาซื้อสินค้าไป ด้วยอุบาย ดังนี้แล้ว จึงร้องโฆษณาว่า
พวกท่านจงมาซื้อสินค้าอร่อยมากไป พวกท่านจงมาซื้อสินค้าดีมากไป
พวกท่านจะได้น้ำตาลงบ น้ำอ้อย น้ำตาลกรวดอันมีราคาแพงไป พวก
ท่านจะซื้อแม้ด้วยทรัพย์มีมาสกเก่าหรือกหาปณะเก่าเป็นต้นก็ได้. พวกชาว
บ้านครั้นฟังคำโฆษณานั้นแล้ว ต่างก็ชื่นชมยินดี จับกลุ่มกันเป็นพวก ๆ
ไปให้ทรัพย์มูลค่าคาสูง ซื้อเอาสินค้ามาแล้ว.
ในเรื่องกรรมฐานนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนกรรมฐานมี
พุทธานุสสติเป็นอารมณ์ เปรียบเหมือนพ่อค้าชื่อว่าวิสกัณฏกะโฆษณา
ว่า พวกท่านจงซื้อเอาวิสกัณฏกะไป ดังนี้. การที่ทรงกระทำมหาชนให้
เกิดความอุตสาหะในกรรมฐานนั้น ด้วยการตรัสสรรเสริญคุณของพุทธา-

นุสสติกรรมฐานด้วยบททั้ง 7 นี้ เปรียบเหมือนพ่อค้ากล่าวสรรเสริญคุณ
วิสกัณฏกะ ทำให้มหาชนเกิดอุตสาหะเพื่อต้องการจะซื้อเอาวิสกัณฏกะนั้น
ฉะนั้น.
ปัญหาว่า กตโม เอกธมฺโม ดังนี้ เป็นกเถตุกัมยตาปุจฉา คำถาม
ที่พระองค์ตรัสถามเพื่อทรงตอบด้วยพระดำรัสว่า พุทฺธานุสฺสติ นี้ เป็นชื่อ
ของอนุสสติซึ่งเกิดขึ้นเพราะปรารภพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์. ก็พุทธา-
นุสสติกรรมฐานนั่นนั้นเป็น 2 อย่าง คือเป็นประโยชน์แก่การทำจิตให้
ร่าเริง และเป็นประโยชน์แก่วิปัสสนา.
คำที่กล่าวนั้น เป็นอย่างไร. คือ ในขณะใดภิกษุเจริญอสุภสัญญา
ในอสุภารมณ์ จิตตุปบาทถูกกระทบกระทั่ง เอือมระอา ไม่แช่มชื่น
ไม่ไปตามวิถี ซัดส่ายไปทางโน้นทางนี้ เหมือนโคโกงฉะนั้น ในขณะนี่น
จิตตุปบาทนั้นละกรรมฐานเดิมเสีย แล้วระลึกถึงโลกิยคุณและโลกุตร-
คุณของพระตถาคตโดยนัยว่า อิติปิ โส ภควา ดังนี้เป็นต้น. เมื่อ
ภิกษุนั้นระลึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่ จิตตุปบาทย่อมผ่องใส ปราศจากนิวรณ์.
ภิกษุนั้นฝึกจิตนั้นอย่างนั้นแล้วจึงมนสิการกรรมฐานเดิมนั่นแหละอีก.
ถามว่า มนสิการกรรมฐานเดิมอีกอย่างไร. ตอบว่า มนสิการกรรม-
ฐานเดิม เหมือนบุรุษกำลังตัดต้นไม้ใหญ่เพื่อต้องการเอาไปทำช่อฟ้าเรือน
ยอด เมื่อคมขวานบิ่นไปเพราะเพียงตัดกิ่งและใบไม้เท่านั้น แม้เมื่อไม่อาจ
ตัดต้นไม้ใหญ่ได้ ก็ไม่ทอดธุระ ไปโรงช่างเหล็กให้ทำขวานให้คม แล้วพึง
ตัดต้นไม้ใหญ่นั้นอีกฉันใด พึงทราบข้ออุปไมยนี้ฉันนั้น ภิกษุฝึกจิตด้วย
อำนาจพุทธานุสสติอย่างนี้ได้แล้ว จึงมนสิการถึงกรรมฐานเดิมอีก ทำ
ปฐมฌานมีอสุภเป็นอารมณ์ให้เกิดขึ้น พิจารณาองค์ฌานทั้งหลาย ย่อมหยั่ง

ลงสู่อริยภูมิได้อย่างนั้น. พุทธานุสสติกรรมฐานย่อมเป็นประโยชน์แก่การ
ทำจิตให้ร่าเริง ด้วยประการอย่างนี้ก่อน.
ก็ในกาลใด ภิกษุนั้นระลึกถึงพุทธานุสสติแล้ว ตามระลึกถึงโดย
นัยเป็นต้นว่า โก อยํ อิติปฺ โส ภควา แปลว่า บุคคลผู้นี้คือใคร
แม้เพราะเหตุนี้ บุคคลผู้นั้น คือ พระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้เป็นต้น.
กำหนดอยู่ว่าเขาเป็นสตรีหรือเป็นบุรุษ เป็นเทวดา มนุษย์ มาร พรหม
คนใดคนหนึ่งหรือ ก็ได้เห็นว่า ผู้นี้หาใช่ใครอื่นไม่ จิตที่ประกอบด้วย
สติเท่านั้นระลึกได้ ดังนี้ แล้วกำหนดอรูปว่า ก็จิตนี้นั่นแล ว่าโดยขันธ์
เป็นวิญญาณขันธ์ เวทนาที่สัมปยุตด้วยจิตนั้น เป็นเวทนาขันธ์ สัญญา
อันสัมปยุตด้วยจิตนั้น เป็นสัญญาขันธ์ ธรรมมีผัสสะเป็นต้น ที่เกิดพร้อม
กัน เป็นสังขารขันธ์ (รวมความว่า) ขันธ์ 4 เหล่านี้ เป็นอรูปขันธ์
แล้วค้นหาที่อาศัยของอรูปนั้น ก็ได้พบหทัยวัตถุ จึงพิจารณามหาภูตรูป
ทั้ง 4 อันเป็นที่อาศัยของอรูปนั้น และอุปาทารูปที่เหลือ ซึ่งอาศัย
มหาภูตรูปนั้นเป็นไป แล้วกำหนดรูปและอรูปโดยสังเขปว่า นี้เป็นรูป
อันก่อนเป็นอรูป และกำหนดทุกขสัจในขันธ์ 5 โดยเป็นประเภทอีกว่า
โดยย่อขันธ์แม้ทั้ง 5 เหล่านี้เป็นทุกขสัจ ดังนี้ ในเบื้องต้นกำหนดสัจจะ
ทั้ง 4 อย่างนี้ว่า ตัณหาเป็นที่เกิดของทุกข์นั้นเป็นสมุทัยสัจ ความดับ
ของทุกข์นั้นเป็นนิโรธสัจ ปฏิปทาเป็นเครื่องรู้ความดับเป็นมรรคสัจ
แล้วก้าวลงสู่อริยภูมิโดยลำดับ. ในกาลนั้น กรรมฐานนี้ทั้งหมดย่อมชื่อว่า
เป็นประโยชน์แก่วิปัสสนา. ในบทว่า อยํ โข เป็นต้น พึงทราบ
วาระแห่งอัปปนา โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

แม้ในธัมมานุสสติเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ก็ในข้อที่ว่าด้วย
ธัมมานุสสตินั่น มีความหมายของถ้อยคำดังต่อไปนี้ :- อนุสสติที่เกิด
ขึ้นเพราะปรารภพระธรรม ชื่อว่า ธัมมานุสสติ. คำว่า ธัมมานุสสติ
นี้ เป็นชื่อของสติซึ่งมีพระธรรมคุณที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้วเป็นต้นเป็น
อารมณ์.
อนุสสติที่เกิดขึ้นเพราะปรารภพระสงฆ์ ชื่อว่า สังฆานุสสติ.
คำว่า สังฆานุสสติ นี้ เป็นชื่อของสติซึ่งมีพระสังฆคุณมีความเป็นผู้ปฏิบัติ
ดีแล้วเป็นต้นเป็นอารมณ์.
อนุสสติที่เกิดขึ้นเพราะปรารภศีล ชื่อว่า สีลานุสสติ. คำว่า
สีลานุสสติ นี้ เป็นชื่อของสติอันมีคุณของศีลมีความมีศีลไม่ขาดเป็นต้น
เป็นอารมณ์.
อนุสสติที่เกิดขึ้นเพราะปรารภจาคะการบริจาค ชื่อว่า จาคานุสสุติ.
คำว่า จาคานุสสติ นี้ เป็นชื่อของสติอันมีความเป็นผู้มีทานอันตนบริจาค
แล้วเป็นต้นเป็นอารมณ์.
อนุสสติที่เกิดขึ้นเพราะปรารภเทวดา ชื่อว่า เทวตานุสสติ.
คำว่า จาคานุสสติ นี้ เป็นชื่อของสติอันมีศรัทธาของตนเป็นอารมณ์
โดยตั้งเทวดาไว้ในฐานะเป็นสักขีพยาน.
สติที่เกิดขึ้นเพราะปรารภลมหายใจเข้าออก ชื่อว่า อานาปานสติ.
คำว่า อานปานสติ นี้ เป็นชื่อของสติอันมีลมหายใจเข้าและลมหายใจ
ออกเป็นนิมิตเป็นอารมณ์.
สติที่เกิดขึ้นเพราะปรารภความตาย ชื่อว่า มรณสติ. คำว่า
มรณสติ นี้ เป็นชื่อของสติอันมีการตัดขาดชีวิตินทรีย์เป็นอารมณ์.

เมื่อควรจะกล่าวว่าสติที่เป็นไปสู่รูปกายอันต่างด้วยผมเป็นต้น หรือ
ที่เป็นไปในกาย ชื่อว่า กายคตา, กายคตาด้วย สตินั้นด้วย ชื่อว่า
กายคตสติ แต่ท่านไม่ทำการรัสสะให้สั้น กลับกล่าวว่า กายคตาสติ
ดังนี้ คำว่า กายคตาสติ นี้ เป็นชื่อของสติอันมีส่วนของกายมีผมเป็นต้น
เป็นนิมิตเป็นอารมณ์.
อนุสสติที่เกิดขึ้นเพราะปรารภความเข้าไปสงบระงับ ชื่อว่า. อุป-
สมานุสสติ.
คำว่า อุปสมานุสสติ นี้ เป็นชื่อของสติอันมีความเข้าไปสงบ
ระงับ ทุกข์ทั้งปวงเป็นอารมณ์. อีกอย่างหนึ่ง ความเข้าไปสงบระงับมี 2
อย่าง คือ อัจจันตุปสมะ ความเข้าไปสงบระงับโดยสุดยอด และขยูปสมะ
ความเข้าไปสงบระงับโดยความสิ้นกิเลส. ใน 2 อย่างนั้น พระนิพพาน
ชื่อว่าความสงบระงับโดยสุดยอด มรรคชื่อว่าความสงบระงับโดยความสิ้น
กิเลส. ความหมายในอธิการนี้มีว่า สติอันเกิดขึ้นแก้ผู้ระลึกถึงความสงบ
ระงับแม้ทั้งสองนี้ ด้วยประการอย่างนี้ ชื่อว่า อุปสมานุสสติ.
ในกรรมฐาน 10 เหล่านี้ กรรมฐาน 3 อย่างนี้ คือ อานาปานสติ
มรณสติ กายคตาสติ ย่อมเป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาอย่างเดียว กรรมฐาน
ที่เหลือ 7 อย่าง เป็นประโยชน์แก่การทำจิตให้ร่าเริงด้วย เป็นประโยชน์
แก่วิปัสสนาด้วย ด้วยประการฉะนี้.

จบอรรถกถาวรรคที่ 1

วรรคที่ 2



ว่าด้วยมิจฉาทิฏฐิและสัมมาทิฏฐิ


[181] ดูก่อนภิกษุทั้งกลาย เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่นแม้
ข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรืออกุศล-
ธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ ไพบูลย์ยิ่ง เหมือนกับ-
มิจฉาทิฏฐินี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลเป็นผู้มีความเห็นผิด
อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อม
เป็นไปเพื่อความเจริญ ไพบูลย์ยิ่ง.
[182] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่นแม้
ข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกุศลธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ ไพบูลย์ยิ่ง เหมือนกับสัมมา-
ทิฏฐินี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลเป็นผู้มีความเห็นชอบ กุศล-
ธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไป
เพื่อความเจริญ ไพบูลย์ยิ่ง.
[183] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่นแม้
ข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรือกุศลธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป เหมือนกับมิจฉาทิฏฐินี้เลย ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เมื่อบุคคลเป็นผู้มีความเห็นผิด กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่
เกิดขึ้น และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[184] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่นแม้