เมนู

อรรถกถาอัฏฐาน1บาลี


อรรถกถาวรรคที่ 1


ในอัฏฐานบาลี พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อฏฺฐานํ ได้แก่ การปฏิเสธเหตุ. บทว่า อนวกาโส ได้แก่
การปฏิเสธปัจจัย. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฏิเสธเหตุเท่านั้น แม้ด้วย
เหตุและปัจจัยทั้งสอง. จริงอยู่ เหตุ ตรัสเรียกว่า ฐานะ เป็นเหตุที่ตั้ง
แห่งผลของตน และว่าโอกาส ( ช่องทาง ) เพราะมีความเป็นไปเนื่องด้วย
ผลนั้น. บทว่า ยํ แปลว่า เพราะเหตุใด. บทว่า ทิฏฺฐิสมฺปนฺโน
ได้แก่ พระอริยสาวก คือพระโสดาบันผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาในมรรค.
จริงอยู่ พระโสดาบันนั้นมีชื่อมาก เช่นชื่อว่า ทิฏฺฐิสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อม
ด้วยทิฏฐิก็มี ทสฺสนสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยทัสสนะก็มี อาคโต
อิมํ สทฺธมฺมํ
ผู้มาถึงพระสัทธรรมนี้ก็มี ปสฺสตฺ อิมํ สทฺธมฺมํ ผู้เห็น
พระสัทธรรมอยู่ก็มี เสกฺขาน ญาเณน สมนฺนาคโต ผู้ประกอบด้วย
ญาณของพระเสกขะก็มี เสกฺขาย วิชฺชาย สมนฺนาคโค ผู้ประกอบ
ด้วยวิชชาของพระเสกขะก็มี ธมฺมโสตสมาปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยกระแส
ธรรมก็มี อริโย นิพฺเพธิกปญฺโญ ผู้มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสอัน
ประเสริฐก็มี อมตทฺวารํ อาหจฺจ ติฏฺฐติ ผู้ตั้งอยู่ใกล้ประตูพระนิพะพาน
ก็มี.
บทว่า กญฺจิ สงฺขารํ ความว่า บรรดาสังขารที่เป็นไปในภูมิ 4
เฉพาะสังขารไร ๆ เพียงสังขารหนึ่ง. บทว่า นิจฺจโต อุปคจฺเฉยฺย

1. อธิบายบาลีข้อ 153-162.

ความว่า พึงยึดถือว่าเที่ยง. บทว่า เนตํ ฐานํ วิชฺชติ แปลว่า เหตุนี้
ไม่มี คือหาไม่ได้. บทว่า ยํ ปุถุชฺชโน แปลว่า ชื่อว่าปุถุชน
เพราะเหตุใด. บทว่า ฐานเมตํ วิชฺชติ แปลว่า เหตุนี้มีอยู่. อธิบายว่า
จริงอยู่ เพราะปุถุชนนั้นมีความเห็นว่าเที่ยง พึงยึดถือบรรดาสังขารที่เป็น
ไปในภูมิ 4 เฉพาะสังขารบางอย่าง โดยควานเป็นของเที่ยง.
ก็สังขารที่เป็นไปในภูมิที่1 4 ย่อมไม่เป็นอารมณ์ของทิฏฐิหรืออกุศล
อย่างอื่น เพราะมากด้วยเดช เหมือนก้อนเหล็กที่ร้อนอยู่ทั้งวัน ไม่เป็น
อารมณ์ของฝูงแมลงวัน เพราะเป็นของร้อนมากฉะนั้น. พึงทราบความ
แม้ในคำว่า กญฺจ สงขารํ สุขโต เป็นต้น โดยนัยนี้. คำว่า สุขโต
อุปคฺจเฉยฺย
นี้ ตรัสหมายถึงการยึดถือโดยความเป็นสุข ด้วยอำนาจ
อัตตทิฏฐิอย่างนี้ว่า ตนมีสุขโดยส่วนเดียว ไม่มีโรค จนกว่าจะตายไป.
ด้วยว่า พระอริยสาวกถูกความเร่าร้อนครอบงำแล้วย่อมเข้าไปยึดถือสังขาร
บางอย่างไว้โดยความเป็นสุข เพื่อระงับความเร่าร้อนโดยจิตปราศจาก
ทิฏฐิ เหมือนเสกขพราหมณ์2ผู้สะดุ้งกลัวช้างตกมัน ก็ยึดอุจจาระไว้ฉะนั้น.
ในอัตตวาระ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสว่า สงฺขารํ แต่ตรัสว่า
กญฺจิ ธมฺมํ เพื่อทรงรวมเอาบัญญัติมีกสิณเป็นต้น. แต่แม้ในที่นี้
พึงทราบกำหนดสำหรับพระอริยสาวก ด้วยอำนาจสังขารที่เป็นไปในภูมิ
ทั้ง 4. สำหรับปุถุชน ด้วยอำนาจสังขารที่เป็นไปในภูมิทั้ง 3. อีก
อย่างหนึ่ง ในวาระทุกวาระกำหนดสำหรับแม้พระอริยสาวก ด้วยอำนาจ
สังขารที่เป็นไปในภูมิ 3 ก็ควร. ก็ปุถุชนย่อมยึดถือธรรมใด ๆ พระ -

1. จตุภูมิกสงฺขารา สังขารพึงเป็นไปในภูมิที่ 4 คือโลกุตรภูมิ ควรเป็น จตุตฺถภูมิกสงฺขารา.
2. ม. โจกขพราหมณ์.

อริยสาวกย่อมเปลื้องความยึดถือจากธรรมนั้น ๆ. คือปุถุชนเมื่อยึดถือธรรม
นั้น ๆ ว่าเที่ยง ว่าสุข ว่าตน พระอริยสาวกเมื่อยึดถือธรรมนั้น ๆ
ว่าไม่เที่ยง ว่าเป็นทุกข์ ว่าไม่ใช่ตน ย่อมเปลื้องความยึดถือนั้นเสีย.
ในพระสูตรทั้ง 3 พระสูตรนี้ ข้อ 153, 154, 155 พระองค์ตรัสถึง
ความเปลื้องความยึดถือของปุถุชนไว้ด้วย.
ในคำว่า มาตรํ เป็นต้น ท่านประสงค์เอาสตรีผู้ให้กำเนิด ชื่อว่า
มารดา บุรุษผู้ให้กำเนิด ชื่อว่าบิดา และพระขีณาสพผู้เป็นมนุษย์เท่านั้น
ชื่อว่า พระอรหันต์. ถามว่า ก็พระอริยสาวกพึงปลงชีวิตผู้อื่นได้หรือ.
ตอบว่า ข้อนั้นไม่เป็นฐานะ. เพราะว่า ถ้าพระอริยสาวกที่เกิดระหว่าง
ภพไม่รู้ว่าตัวเป็นอริยสาวกไซร้ ใคร ๆ ก็จะพึงบังคับอย่างนี้ว่า ท่านจง
ปลงชีวิตมดดำมดแดงนี้เสียแล้วปฏิบัติหน้าที่เป็นพระเจ้าจักรพรรดิในห้วง
จักรวาลทั้งสิ้นเถิด. พระอริยสาวกนั้น ก็ไม่พึงปลงชีวิตมดดำมดแดงนั้น
ได้เลย. แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น คนทั้งหลายพึงบังคับท่านอย่างนี้ว่า ก็ถ้า
ท่านไม่ฆ่ามดดำมดแดงนั้นไซร้ พวกเราก็จักตัดศีรษะท่านเสีย. คน
ทั้งหลายจะพึงตัดศีรษะของท่าน แต่ท่านก็ไม่พึงฆ่ามดดำมดแดงนั้น. แต่
คำนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้เพื่อทรงแสดงความมีโทษมากของความเป็น
ปุถุชน เพื่อทรงแสดงกำลังของพระอริยสาวก. ก็ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า
ความเป็นปุถุชน ชื่อว่ามีโทษตรงที่ปุถุชนจักทำอนันตริยกรรมมีมาตุฆาต
เป็นต้นได้ อริยสาวกชื่อว่ามีกำลังมากตรงที่ไม่ทำกรรมเหล่านั้น.
บทว่า ปทุฏฺฐจิตฺโต ได้แก่ เป็นผู้มีจิตอันวธกจิต (จิตคิดจะฆ่า)
ประทุษร้ายแล้ว. บทว่า โลหิตํ อุปฺปาเทยฺย ได้แก่ ทำพระโลหิต
แม้เท่าแมลงวันตัวเล็กดื่มได้ให้ห้อขึ้นในพระสรีระของพระตถาคตผู้ยังทรง

พระชนม์อยู่.
บทว่า สงฺฆํ ภินฺเทยฺย ได้แก่ ทำสงฆ์ผู้มีสังวาสธรรมเป็นเครื่อง
อยู่ร่วมเสมอกัน ผู้ตั้งอยู่ในสีมาที่เสมอกัน ให้แตกกันด้วยอาการ 5
อย่าง. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำนี้ ไว้ว่า ดูก่อนอุบาลี สงฆ์
ย่อมแตกกันด้วยอาการ 5 คือ ด้วยกรรม ด้วยอุเทศ ด้วยการชี้แจง
ด้วยประกาศ ด้วยจับสลาก. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กมฺเมน
ได้แก่ ด้วยกรรมทั้ง กรรมใดกรรมหนึ่ง. บทว่า อุทฺเทเสน
ได้แก่ ด้วยปาติโมกขุทเทส 5 อุเทศอย่างหนึ่ง. บทว่า โวหารนฺโต
ได้แก่ ด้วยการชี้แจง คือแสดงเภทกรวัตถุเรื่องทำให้แตกกัน 18
อย่าง มีแสดงว่าอธรรมเป็นธรรมเป็นต้น ด้วยอุปบัติเหตุเกิดเรื่องนั้น ๆ.
บทว่า อนุสฺสาวเนน ได้แก่ ทำการเปล่งถ้อยคำประกาศโดยนัยเป็นต้นว่า
พวกท่านทราบกันหรือว่า เราบวชมาแต่ตระกูลสูง และเป็นพหูสูต
พวกท่านไม่ควรเกิดจิตคิดว่า คนเช่นเราจะพึงถือสัตถุศาสน์คำสอนของ
พระศาสดานอกธรรม นอกวินัย อเวจีสำหรับเราเป็นของเย็นเหมือนสวน
อุบลขาบหรือ เราไม่กลัวอบายหรือ. บทว่า สลากคาเหน ได้แก่
ด้วยการประกาศอย่างนี้แล้วทำจิตของภิกษุเหล่านั้นให้มั่นคง กระทำให้
เป็นธรรมไม่กลับกลอกแล้ว ได้จับสลากด้วยกล่าวว่า พวกท่านจงจับ
สลากนี้.
ก็บรรดาอาการทั้ง 5 นั้น กรรมหรืออุเทศเท่านั้น ควรถือเป็น
ประมาณ. ส่วนการกล่าว การประกาศ และการให้จับสลากเป็นส่วน
เบื้องต้น. ด้วยว่า แต่เมื่อสงฆ์กล่าวด้วยอำนาจแสดงเรื่อง 18 ประการ
ประกาศชักชวนเพื่อให้เกิดความชอบใจในเรื่องนั้น จับสลากกันแล้ว ก็

ยังไม่ชื่อว่าทำสงฆ์ให้แตกกัน . ต่อเมื่อใด ภิกษุ 9 รูป หรือเกิน 4 รูป
จับสลากแล้ว กระทำกรรม (สังฆกรรม ) หรืออุเทศแยกกันต่างหาก
เมื่อนั้น จึงชื่อว่า ทำสงฆ์ให้แตกกัน . ข้อว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ
อย่างนี้ พึงทำสงฆ์ให้แตกกันนี้มิใช่ฐานะ. ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ ก็เป็น
อันทรงแสดงอนันตริยกรรม 5 มีมาตุฆาตฆ่ามารดาเป็นต้น . ปุถุชนทำ
อนันตริยกรรมเหล่าใดได้ แต่อนันตริยกรรมเหล่านั้นพระอริยสาวกไม่ทำ.
เพื่อความแจ่มแจ้งแห่งอนันตริยกรรม 5 นั้น พึงทราบวินิจฉัย โดยกรรม
โดยทวาร โดยการตั้งอยู่ในอเวจีตลอดกัป โดยวิบาก โดยสาธารณะ
เป็นต้น.
ในเหตุเหล่านั้น พึงทราบวินิจฉัยโดยกรรมก่อน. แท้จริง ผู้ที่
เป็นมนุษย์ท่านนั้น ปลงชีวิตมารดาหรือบิดาผู้เป็นมนุษย์ ซึ่งยังไม่เปลี่ยน
เพศจากมนุษย์ จึงเป็นอนันตริยกรรม. ผู้ทำอนันตริยกรรม คิดว่า เรา
จักห้ามวิบากของกรามนั้น ดังนี้ จึงสร้างสถูปทองคำขนาดเท่าพระมหา-
เจดีย์ให้เต็มห้วงจักรวาลทั้งสิ้นก็ดี ถวายมหาทานแด่พระภิกษุสงฆ์ที่นั่งเต็ม
สากลจักรวาลก็ดี ไม่ละชายผ้าสังฆาฏิของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเที่ยวไป
ก็ดี เมื่อกายทำลายแตกตายไปก็เข้าถึงนรกเท่านั้น. ส่วนผู้ใด ตนเอง
เป็นมนุษย์ ปลงชีวิตมารดาหรือบิดาผู้เป็นสัตว์ดิรัจฉานก็ดี ตนเองเป็น
สัตว์ดิรัจฉานปลงชีวิตมารดาหรือบิดาผู้เป็นมนุษย์ก็ดี ตนเองเป็นสัตว์
ดิรัจฉานด้วยกันก็ดี กรรมของผู้นั้นไม่เป็นอนันตริยกรรม แต่เป็นกรรม
หนักตั้งจดอนันตริยกรรมทีเดียว. แต่ปัญหานี้ ท่านกล่าวสำหรับผู้ที่เป็น
มนุษย์. ในปัญหานั้นควรกล่าวเรื่องเอฬกจตุกกะ สังคามาจตุกกะ และโจร-
จตุกกะ ก็บุคคลแม้เข้าใจว่า เราจะฆ่าแล้วฆ่ามารดาหรือบิดาผู้เป็น

มนุษย์ ซึ่งตั้งอยู่ในที่อยู่ของแพะ ชื่อว่าต้องอนันตริยกรรม. บุคคลผู้ฆ่า
แพะด้วยเข้าใจว่าเป็นแพะ หรือด้วยเข้าใจว่าเป็นมรรคหรือบิดา ชื่อว่า
ไม่ต้องอนันตริยกรรม. บุคคลผู้ฆ่ามารดาหรือบิดาโดยเข้าใจว่าเป็นมารดา
หรือบิดา ชื่อว่าต้องอนันตริยกรรมโดยแท้. ใน 2 จตุกกะนอกนี้ก็นัยนี้
เหมือนกัน. พึงทราบจตุกกะเหล่านี้แม้ในพระอรหันต์ ก็เหมือนในมารดา
หรือบิดา. บุคคลผู้ฆ่าพระอรหันต์ผู้เป็นมนุษย์เท่านั้น ชื่อว่าต้องอนันตริย-
กรรม. ฆ่าพระอรหันต์ผู้เป็นยักษ์ ชื่อว่าไม่ต้องอนันตริยกรรม. แต่เป็น
กรรมหนัก เหมือนอนันตริยกรรมทีเดียว. เมื่อบุคคลใช้ศัสตราประหาร
หรือวางยาพิษพระอรหันต์ผู้เป็นมนุษย์ เวลาที่ท่านยังเป็นปุถุชน ผิว่า
ท่านบรรลุพระอรหัต มรณะลงด้วยการประหารด้วยศัสตราหรือยาพิษนั้น
นั่นแล ผู้นั้นย่อมชื่อว่าฆ่าพระอรหันต์โดยแท้. ทานใดเขาถวายเวลาที่
ท่านเป็นปุถุชน ท่านบรรลุพระอรหัตแล้วบริโภค ทานนั้นก็ยังชื่อว่า
ให้แก่ปุถุชนอยู่นั่นเอง. บุคคลผู้ฆ่าพระอริยบุคคลที่เหลือ (โสดาบัน
สกทาคามี อนาคามี ) ไม่เป็นอนันตริยกรรม แต่เป็นกรรมหนักเหมือน
อนันตริยกรรมทีเดียว.
พึงทราบวินิจฉัยในอนันตริยกรรมข้อโลหิตุปบาท ดังต่อไปนี้ :-
ชื่อว่าบุคคลผู้เป็นช้าศึกจะตัดพระจัมมะ (หนัง ) ในพระวรกาย
ที่ยังๆไม่แตกของพระตถาคตให้พระโลหิตไหลออกไม่ได้. เว้นแต่พระโลหิต
จะคั่งค้างอยู่ในที่หนึ่งภายในพระวรกายเท่านั้น. สะเก็ดหินที่กะเทาะจาก
ก้อนหินที่พระเทวทัตยกทุ่มไปกระทบปลายพระบาทของพระตถาคต.
พระบาทเหมือนถูกฟันด้วยขวาน ได้มีโลหิตคั่งอยู่ข้างในเท่านั้น. กรรม
ของพระเทวทัตผู้กระทำอย่างนั้น ชื่อว่าเป็นอนันตริยกรรม. ส่วนหมอ

ชีวกตัดพระจัมมะด้วยศัสตราตามความชอบพระทัยของพระตถาคต นำ
โลหิตเสียออกจากที่นั้น ได้กระทำให้ทรงผาสุก. กรรมของหมอชีวกผู้
กระทำอย่างนั้น เป็นบุญกรรมโดยแท้.
ถามว่า เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว คนเหล่าใดทำลายพระเจดีย์
ตัดต้นโพธิ์ เหยียบย่ำพระธาตุ กรรมอะไรจะมีแก่บุคคลเหล่านั้น.
ตอบว่า กรรมนั้นเป็นกรรมหนักเช่นเดียวกับอนันตริยกรรม. แต่
กิ่งโพธิ์ที่เบียดสถูปหรือพระปฏิมาที่มีพระธาตุ (บรรจุ ) จะตัดเสียก็ควร.
แม้ถ้าพวกนกจับที่กิ่งโพธิ์นั้น ถ่ายอุจจาระรดพระเจดีคีย์ ก็ควรตัดเสีย.
เพราะพระเจดีย์บรรจุพระสรีรธาตุ สำคัญกว่าบริโภคเจดีย์ที่บรรจุเครื่อง
บริโภค. จะตัดรากโพธิ์ที่ไปทำลายเจดีย์วัตถุออกไปเสียก็ควร. แต่กิ่งโพธิ์
ที่เบียดเรือนโพธิ์ จะตัดกิ่งโพธิ์เพื่อจะรักษาเรือนโพธิ์ไม่ได้ เพราะเรือน
โพธิ์มีไว้เพื่อ ประโยชน์แก่ต้นโพธิ์ (แต่) ต้นโพธิ์หามีไว้เพื่อประโยชน์
แก่เรือนโพธิ์ไม่. แม้ในเรือนเก็บอาสนะ ( พระแท่น) ก็นัยนี้เหมือนกัน.
จะตัดกิ่งโพธิ์เพื่อรักษาเรือนอาสนะ (พระแท่น) ที่เขาบรรจุพระธาตุ
ก็ควร. เพื่อบำรุงคันโพธิ์ จะตัดกิ่งที่แย่งโอชะ. (คืออาหาร) หรือกิ่งผุ
เสีย ก็ควรเหมือนกัน. แม้บุญก็มีเหมือนดังปรนนิบัติพระสรีระพระ-
พุทธเจ้าฉะนั้น.
ในสังฆเภท การทำลายสงฆ์ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
เมื่อสงฆ์ผู้อยู่ในสีมามิได้ประชุมกัน เมื่อภิกษุผู้ซึ่งสงฆ์ทำการชี้แจงๆ
การสวดประกาศและการให้จับสลาก แล้วยังพาบริษัทส่วนหนึ่งแยกไป
ทำสังฆกรรม หรือสวดปาฏิโมกข์ต่างหาก ชื่อว่าสังฆเภทด้วย เป็น
อนันตริยกรรมด้วย. แต่เมื่อภิกษุกระทำด้วยความสำคัญว่าจะสมัครสมาน

กัน (หรือ) ด้วยความสำคัญว่าทำถูก ก็เป็นเพียงการแตกกันเท่านั้น
ยังไม่เป็นอนันตริยกรรม. ทำในบริษัทที่หย่อนกว่า 9 รูปก็เหมือนกัน
(คือเป็นการแตกกันแต่ไม่เป็นอนันตริยกรรม). โดยกำหนดภิกษุจำนวน
9 รูป เป็นอย่างต่ำสุด ในหมู่ภิกษุ 9 รูป ภิกษุใดทำลายสงฆ์ อนัน-
ตริยกรรมย่อมมีแก่ภิกษุนั้น. กรรมของภิกษุพวกอธรรมวาทีผู้ปฏิบัติตาม
ภิกษุนั้น เป็นกรรมมีโทษมาก . สำหรับภิกษุผู้เป็นธรรมวาทีไม่มีโทษ.
ในการทำสังฆเภทสำหรับภิกษุ 9 รูปนั้น มีพระสูตรอ้างอิงดังนี้ว่า ดูก่อน
อุบาลี ฝ่ายหนึ่งมี 4 รูป (อีก) ฝ่ายหนึ่งก็มี 4 รูป รูปที่ 9 สวด
ประกาศให้จับสลากโดยกล่าวว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ พวกท่าน
จงถือเอาสลากอันนี้ จงชอบใจสลากนี้แล. ดูก่อนอุบาลี สังฆราชี
(ความร้าวรานแห่งพระสงฆ์ ) ด้วยสังฆเภท ( ความแตกแห่งสงฆ์ ) ด้วย
ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ก็ในกรรม 5 อย่างนี้ สังฆเภทเป็นวจีกรรม
กรรมที่เหลือเป็นกายกรรม. ฉะนั้น พึงทราบวินิจฉัยโดยกรรม ด้วย
ประการดังนี้.
บทว่า ทฺวารโต มีอธิบายว่า ก็กรรมเหล่านี้ทั้งหมดนั่นแล ย่อม
ตั้งขึ้นทางกายทวารบ้าง ทางวจีทวารบ้าง. ในเรื่องที่ว่าด้วยทวารนี้
กรรม 4 ประการข้างต้น แม้จะตั้งขึ้นทางวจีทวารด้วยอาณัตติกประโยค
(คือประโยคสั่งบังคับ) และวิชชามยประโยค (คือประโยคที่สำเร็จด้วย
วิชาเวทมนตร์) ก็ทำกายทวารให้บริบูรณ์ได้เหมือนกัน. สังฆเภท แม้
จะตั้งขึ้นทางกายทวารซึ่งภิกษุผู้ผู้ทำการยกมือ ก็ทำให้วจีทวารบริบูรณ์ได้
เหมือนกัน. ในเรื่องนี้ พึงทราบวินิจฉัยแม้โดยทวาร ด้วยประการดังนี้ .

1. ม. อิทํ (สลากํ) โรเจถ.

บทว่า กปฺปฏฺฐติยโต มีอธิบายว่า ก็ในเรื่องนี้ สังฆเภทเป็นบาป
ตั้งอยู่ชั่วกัป. ทำสังฆเภทใน (ตอนที่) กัปยังตั้งอยู่ หรือในตอน
ระหว่างกลางกัป ก็พ้นบาปต่อเมื่อกัปพินาศนั่นแหละ. ก็ถ้าว่าพรุ่งนี้ กัป
จักพินาศไซร้ ทำสังฆเภทวันนี้ พรุ่งนี้ก็พ้น จะไหม้อยู่ในนรกวันเดียว
เท่านั้น. แต่การกระทำอย่างนี้ ไม่มี. กรรม 4 ประการที่เหลือเป็น
อนันตริยกรรมเท่านั้น ไม่เป็นกรรมดังอยู่ตลอดกัป. พึงทราบวินิจฉัย
แม้โดยความเป็นกรรมตั้งอยู่ตลอดกัปในเรื่องนี้ ด้วยประการดังนี้.
บทว่า ปากโต มีอธิบายว่า ก็บุคคลใดกระทำกรรมแม้ทั้ง 5
ประการนี้ สังฆเภทเท่านั้นย่อมให้ผลแก่บุคคลนั้นด้วยอำนาจปฏิสนธิ
กรรมที่เหลือย่อมนับว่าเป็นกรรมที่มี (ทำ) แล้ว แต่วิบากของกรรมยังไม่มี
ดังนี้ เป็นต้น. เมื่อสังฆเภทไม่มี โลหิตุปบาท (คือการทำพระโลหิตให้ห้อ)
ย่อมให้ผล เมื่อโลหิตุปบาทนั้นไม่มี อรหันตฆาต (คือการฆ่าพระอรหันต์)
ย่อมให้ผล เมื่ออรหันตฆาตนั้นไม่มี ถ้าบิดาเป็นผู้มีศีล มารดาทุศีล
หรือไม่มีศีลอย่างบิดานั้น ปิตุฆาต (คือการฆ่าบิดา ) ย่อมให้ผลด้วย
อำนาจปฏิสนธิ. ถ้ามารดาเป็นผู้มีศีล มาตุฆาตย่อมให้ผล. แม้เมื่อบิดา
มารดาทั้งสองท่าน เป็นผู้เสมอกันโดยศีล หรือโดยทุศีล มาตุฆาตเท่านั้น
ย่อมให้ผลด้วยอำนาจปฏิสนธิ เพราะมารดาเป็นผู้ทำสิ่งที่ทำได้ยาก ทั้งเป็น
ผู้มีอุปการะมากแก่บุตรทั้งหลาย. ฉะนั้น พึงทราบวินิจฉัยแม้โดยวิบาก
คือผลในเรื่องนี้ ด้วยประการดังนี้
บทว่า สาธารณาทีหิ ความว่า กรรม 4 ประการเบื้องต้น เป็น
กรรมทั่วไปแก่คฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งปวง ส่วนสังฆเภทย่อมเป็นเฉพาะ
แก่ภิกษุผู้มีประการดังตรัสไว้ ย่อมไม่เป็นแก่คนอื่น โดยพระบาลีว่า

ดูก่อนอุบาลี ภิกษุณีทำสายสงฆ์ไม่ได้แล สิกขมานา สามเณร สามเณรี
อุบาสก อุบาสิกา ก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้ ดูก่อนอุบาลี ภิกษุผู้เป็นปกตัตตะ
มีธรรมเครื่องอยู่ร่วมอันเสมอกัน อยู่ในสีมาเสมอกัน ย่อมทำสังฆเภทได้
เพราะฉะนั้น สังฆเภทจึงเป็นกรรมไม่ทั่วไป. ด้วยอาทิศัพท์ (คือศัพท์ว่า
เป็นต้น ) ชนเหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้สหรคตด้วยทุกขเวทนา และ
สัมปยุตด้วยโทสะ โมหะ. พึงทราบวินิจฉัยโดยเป็นกรรมทั่วไปเป็นต้น
ในเรื่องนี้ ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า อญฺญํ สตฺถารํ ความว่า บุคคลคิดว่า พระศาสดาของ
เรานี้ ไม่สามารถทำกิจของพระศาสดาได้ จึงถือเจ้าลัทธิอื่นอย่างนี้ว่า
ท่านผู้นี้ เป็นศาสดาของเรา ดังนี้ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้.
บทว่า เอกิสฺสาย โลกธาตุยา คือ ในหมื่นโลกธาตุ. ก็เขตมี 3
คือ ชาติเขต 1 อาณาเขต 1 วิสัยเขต 1. ในเขตทั้ง 3 นั้น หมื่น
โลกธาตุ ชื่อว่า ชาติเขต. ด้วยว่า หมื่นโลกธาตุนั้นไหวในเวลาที่
พระตถาคตเสด็จลงสู่ครรภ์พระมารดา เสด็จออก (ผนวช) ตรัสรู้
ประกาศพระธรรมจักร ปลงพระชนนายุสังขาร และปรินิพพาน.
แสนโกฏิจักรวาล ชื่อว่า อาณาเขต. เพราะว่าอาณาเขตของอาฏานาฏิย-
ปริตร โมรปริตร ธชัคคปริตร และรัตนปริตร เป็นต้น ย่อมแผ่ไปในแสน
โกฏิจักรวาลนี้. ส่วนวิสัยเขตไม่มีปริมาณ ( คือนับไม่ได้). ก็ธรรมดา
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ชื่อว่าธรรมมิใช่วิสัยหามีไม่ เพราะพระบาลีว่า
พระญาณ (ความรู้) มีประมาณเพียงใด ข้อที่จะพึงรู้ก็มีประมาณเพียง
นั้น ข้อที่จะพึงรู้มีประมาณเพียงใด พระญาณก็มีประมาณเพียงนั้น.
ข้อที่จะพึงรู้มีพระญาณเป็นที่สุด พระญาณก็มีข้อที่จะพึงรู้เป็นที่สุด ดังนี้ .

ก็ในเขตทั้ง 3 นี้ ไม่มีพระสูตรที่ว่า เว้นจักรวาลนี้เสีย พระ-
พุทธเจ้าทั้งหลายย่อมเสด็จอุบัติในจักรวาลอื่น แต่มีพระสูตรว่า ไม่เสด็จ
อุบัติ. ก็พระปิฎกมี 3 คือพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรม-
ปิฎก. สังคีติ (คือการสังคายนา) ก็มี 3 ครั้ง คือ สังคีติของพระ-
มหากัสสปเถระ 1 สังคีติของพระยสเถระ 1 สังคีติของพระโมคคัลลีบุตร-
เถระ 1. ในพระพุทธพจน์ คือ พระไตรปิฎกที่ยกขึ้นสู่สังคีติทั้ง 3
ครั้งนี้ ไม่มีพระสูตรที่ว่า พ้นจักรวาลนี้ไป พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรง
อุบัติในจักรวาลอื่น แต่มีพระสูตรอยู่ว่าไม่ทรงอุบัติในจักรวาลอื่น.
บทว่า อปุพฺพํ อจริมํ ได้แก่ ในกาลไม่ก่อนไม่หลังกัน ท่าน
อธิบายว่า ไม่ทรงอุบัติพร้อมกัน คือ ทรงอุบัติก่อนกันหรือหลังกัน.
ในคำที่ว่า ไม่ก่อนไม่หลังกัน นั้น ไม่พึงทราบว่า ในกาลก่อน คือ
ตั้งแต่เวลาที่ประทับนั่ง ณ โพธิบัลลังก์ด้วยตั้งพระทัยว่า ไม่บรรลุพระ-
โพธิญาณจักไม่ลุกขึ้น จนถึงทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์พระมารดา.
ก็ในการถือปฏิสนธิของพระโพธิสัตว์ ท่านกำหนดเขตด้วยหมื่นจักรวาล
ไหวเท่านั้น ก็เป็นอันห้ามการอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นในระหว่าง.
ไม่พึงทราบว่าในกาลภายหลัง คือ ตั้งแต่ปรินิพพานจนถึงพระธาตุแม้
เท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดยังทรงดำรงอยู่ เพราะเมื่อพระธาตุยังคงดำรงอยู่
พระพุทธเจ้าทั้งหลายชื่อว่ายังทรงดำรงอยู่ เพราะเหตุนั้น ในระหว่างกาลนี้
ย่อมเป็นอันห้ามการเสด็จอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น. แต่เมื่อ
พระธาตุปรินิพพานแล้ว ไม่ห้ามการเสด็จอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์
อื่น.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงไม่ทรงอุบัติ

ไม่ก่อนไม่หลังกัน (คือพร้อมกัน). ตอบว่า เพราะอุบัติพร้อมกัน
ไม่เป็นเหตุอัศจรรย์. เพราะว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอัจฉริยะ มนุษย์
อัศจรรย์. สมดังที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเอก เป็น
มนุษย์อัศจรรย์ ย่อมอุบัติขึ้น บุคคลเอกเป็นไฉน คือ พระตถาคต
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า. ก็ถ้าพระพุทธเจ้ามี 2 พระองค์ มี 4 พระองค์
มี 8 พระองค์ หรือ 16 พระองค์ พึงอุบัติพร้อมกันไซร้ ก็พึงเป็นผู้
ไม่น่าอัศจรรย์. แม้มีเจดีย์ 2 เจดีย์ในวิหารเดียวกัน ลาภสักการะย่อมไม่
มโหฬาร. แม้ภิกษุทั้งหลายก็ไม่น่าอัศจรรย์ เพราะมีมาก แม้พระพุทธ-
เจ้าทั้งหลายก็พึงเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น จึงไม่ทรงอุบัติพร้อมกัน.
เมื่อว่าโดยเทศนาก็ไม่แปลกกันดังนี้:- พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
ทรงแสดงธรรมใดมีสติปัฏฐานเป็นต้น พระพุทธเจ้าพระองค์อื่นแม้อุบัติ
ขึ้น ก็จะทรงแสดงธรรมนั้นนั่นแหละ. เพราะเหตุนั้น จึงไม่น่าอัศจรรย์.
แต่เมื่อพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวทรงแสดงธรรม แม้การแสดงธรรมก็
เป็นของน่าอัศจรรย์.
เมื่อว่าโดยไม่มีการโต้แย้งกัน อนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าหลายพระองค์
อุบัติขึ้น พวกพุทธมามกะก็จะพึงวิวาทกันว่า พระพุทธเจ้าของพวกเรา
น่าเลื่อมใส พระพุทธเจ้าของพวกเรามีพระสุรเสียงไพเราะ มีลาภ มีบุญ
ดังนี้ เหมือนพวกศิษย์ของพวกอาจารย์เป็นอันมาก ฉะนั้น แม้เพราะ
เหตุนั้น จึงไม่อุบัติขึ้นอย่างนั้น.
อีกประการหนึ่ง เหตุข้อนี้พระนาคเสนถูกพระเจ้ามิลินท์ถาม ก็ได้
กล่าวไว้พิสดารแล้ว. จริงอยู่ ในมิลินทปัญหานั้น ท่านกล่าวไว้ว่า
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ท่านพระนาคเสนเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า

ได้ภาษิตข้อนี้ไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
จะพึงอุบัติไม่ก่อนไม่หลัง พร้อมกัน 2 พระองค์ ในโลกธาตุเดียวกัน
นั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ข้อที่ว่า นั้นมิใช่ฐานะที่จะมีได้. ท่าน
พระนาคเสนเจ้าข้า ก็พระตถาคตแม้ทุกพระองค์ เมื่อจะทรงแสดง ก็
ทรงแสดงโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ เมื่อจะตรัสอริยสัจะ 4
เมื่อจะทรงให้ศึกษา ก็ทรงให้ศึกษาสิกขา 3 และเมื่อจะทรงพร่ำสอน ก็
ทรงพร่ำสอนข้อปฏิบัติ คือ ความไม่ประมาท. ท่านพระนาคเสนเจ้าข้า
ถ้าว่า พระตถาคตแม้ทุกพระองค์ มีอุเทศเดียวกัน มีกถาเดียวกัน มี
การพร่ำสอนอย่างเดียวกันไซร้ เพราะเหตุไร พระตถาคต 2 พระองค์
จึงไม่อุบัติในสมัยเดียวกัน. ด้วยการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าพระองค์
เดียว โลกนี้ยังเกิดแสงสว่างถึงเพียงนั้นแล้ว ถ้าจะพึงมีพระพุทธเจ้า
แม้องค์ที่ 2 โลกนี้ก็จะพึงเกิดแสงสว่าง มีประมาณอย่างยิ่ง ด้วยพระรัศมี
ของพระพุทธเจ้า 2 พระองค์. อนึ่ง พระพุทธเจ้า 2 พระองค์ เมื่อจะ
ทรงสั่งสอน ก็ทรงสั่งสอนสะดวก และเมื่อจะทรงพร่ำสอนก็ทรงพร่ำสอน
สะดวก. ในเรื่องที่พระพุทธเจ้า 2 พระองค์ไม่อุบัติพร้อมกันนั้น ท่าน
โปรดแสดงเหตุให้ข้าพเจ้าหมดสงสัยทีเถิด.
พระนาคเสนตอบว่า มหาบพิตร หมื่นโลกธาตุนี้ทรงพระพุทธเจ้า
ไว้ได้เพียงพระองค์เดียว ทรงพระคุณของพระตถาคตได้เพียงพระองค์
เดียว ถ้าพระพุทธเจ้าจะพึงเสด็จอุบัติเป็นองค์ที่ 2 หมื่นโลกธาตุนี้ก็จะ
ทรงไว้ไม่ได้ พึงสั่นสะเทือนทรุดเซซวนเรี่ยรายกระจัดกระจายทำลายไป
ถึงการตั้งอยู่ไม่ได้. มหาบพิตร เรือรับคนได้คนเดียว เมื่อคน ๆ เดียว
ขึ้น เรือจะเพียบเสมอน้ำ ครั้นคนที่สองซึ่งเป็นคนมีอายุ ผิวพรรณ วัย

ขนาดประมาณความผอมความอ้วน มีอวัยวะทุกส่วนบริบูรณ์มาถึง เขาพึง
ขึ้นเรือลำนั้น มหาบพิตร เรือลำนั้นจะรองรับคนทั้งสองได้บ้างไหม.
ไม่ได้เลยท่าน เรือจะโคลงเคลงน้อมเอียงตะแคงส่ายล่มจมไป ทรงลำอยู่.
ไม่ได้ พึงจมลงไปในน้ำ ฉันใด มหาบพิตร หมื่นโลกธาตุนี้ ก็ฉันนั้น
เหมือนกัน ย่อมทรงพระคุณของพระตถาคตได้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
ถ้าพระพุทธเจ้าองค์ที่สองอุบัติขึ้น หมื่นโลกธาตุนี้จะดำรงอยู่ไม่ได้ จะพึง
สั่นสะเทือนโน้มเอียงเอนเรี่ยรายกระจัดกระจายทำลายไป ตั้งอยู่ไม่ได้.
มหาบพิตร หรือเปรียบเหมือนบุรุษพึงบริโภคอาหารพอเกิดความต้องการ
จนล้นปิดคอหอย เขาเอิบอิ่มจากการบริโภคนั้นเต็มที่ไม่ขาดระยะ. ทำให้
เกียจคร้าน ก้มตัวไม่ลงเหมือนท่อนไม้ ยังบริโภคอาหารประมาณเท่านั้น
ซ้ำเข้าไป มหาบพิตร คนผู้นั้นจะพึงมีความสุขบ้างหรือหนอ. ไม่เป็นสุข
เลยท่าน เขาบริโภคอีกตรงเท่านั้นก็จะตาย อุปมานั้นฉันใด มหาบพิตร
หมื่นโลกธาตุนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน รองรับพระพุทธเจ้าได้เพียงพระองค์
เดียว ทรงคุณของพระตถาคตได้เพียงพระองค์เดียว ถ้าพระพุทธเจ้า
พระองค์ที่ 2 จะอุบัติขึ้นหมื่นโลกธาตุนี้จะธำรงอยู่ไม่ได้ จะสั่นสะเทือน
ทรุดเซซวนเรี่ยรายกระจัดกระจายทำลายไปถึงตั้งอยู่ไม่ได้. ท่านพระ-
นาคเสน แผ่นดินไหวเพราะความหนักของธรรมอันยิ่งหรืออย่างไร ?
ถวายพระพร มหาบพิตร ในที่นี้มีเกวียน 2 เล่ม เติมด้วยรัตนะจนเสมอ
ขอบเกวียน เขาเอารัตนะจากเกวียนเล่มหนึ่ง มาเติมใส่ในเกวียนอีกเล่ม
หนึ่ง มหาบพิตร เกวียนเล่มนั้นจะรองรับรัตนะของเกวียนทั้งสองเล่มได้
บ้างหรือหนอ. ไม่ได้เลยท่าน แม้คุมของเกวียนนั้นก็จะแตก แม้เพลาของ
เกวียนนั้นก็จะทำลาย แม้กงของเกวียนนั้นก็จะหักลงไป แม้เพลาของ

เกวียนนั้นก็จะแตกรูป. มหาบพิตร เกวียนพังเพราะความหนักของรัตนะ
มากเกินไปหรือหนอ. ใช่สิท่าน. มหาบพิตร แผ่นดินสั่นสะเทือนก็เพราะ
ความหนักของธรรมอันยิ่ง ฉันนั้นเหมือนกันแล.
มหาบพิตร อนึ่งเล่า เหตุนี้ท่านประมวลมาก็เพื่อแสดงพระพละ
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอพระองค์โปรดสดับเหตุแม้อย่างอื่นอีก อัน
เป็นเหตุทำให้พระพุทธเจ้า 2 พระองค์ ไม่อุบัติในสมัยเดียวกัน มหาบพิตร
ผิว่าพระพุทธเจ้า 2 พระองค์ พึงอุบัติในขณะเดียวกันไซร้ บริษัทก็จะพึง
วิวาทกัน จะพึงเกิดเป็น 2 ฝ่ายว่า พระพุทธเจ้าของพวกท่าน พระ-
พุทธเจ้าของพวกเรา มหาบพิตร ความวิวาทย่อมเกิดแก่บริษัทของพวก
อำมาตย์ผู้เข้มแข็ง 2 พวก ย่อมเกิดเป็น 2 ฝ่ายว่า อำมาตย์ของพวกท่าน
อำมาตย์ของพวกเรา ดังนี้ฉันใด มหาบพิตร ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
แหละ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพึงอุบัติในคราวเดียวกัน 2 พระองค์ไซร้
บริษัทก็จะพึงเกิดความวิวาทกัน จะพึงเกิดเป็น 2 ฝ่ายว่า พระพุทธเจ้า
ของพวกท่าน พระพุทธเจ้าของพวกเรา
ดังนี้ . ขอพระองค์โปรดทรง
สดับเหตุข้อแรกอัน เป็นเหตุให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่อุบัติในคราวเดียว
กัน 2 พระองค์.
ขอพระองค์โปรดทรงสดับเหตุแม้ข้ออื่นยิ่งขึ้นไป อันเป็นเหตุให้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 2 พระองค์ ไม่อุบัติในคราวเดียวกัน มหาบพิตร
ถ้าว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 2 พระองค์ จะพึงอุบัติในคราวเดียวกัน
คำที่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นเอกอัครบุคคลก็จะพึงผิดไป คำที่ว่า พระพุทธเจ้า
ทรงเจริญที่สุด ฯลฯ พระพุทธเจ้าทรงประเสริฐที่สุด พระพุทธเจ้าทรง
สูงสุด พระพุทธเจ้าทรงล้ำเลิศ พระพุทธเจ้าไม่มีผู้เสมอ พระพุทธเจ้า

ไม่มีคนเปรียบ พระพุทธเจ้าไม่มีคนเทียบ พระพุทธเจ้าไม่มีบุคคลเทียมถึง
ดังนี้นั้น ก็จะพึงผิดไป. มหาบพิตร ขอพระองค์โปรดทรงทรามเหตุ
อัน เป็นเหตุให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 2 พระองค์ ไม่ทรงอุบัติในคราว
เดียวกันแม้นี้แล โดยใจความเถิด.
มหาบพิตร ก็อีกอย่างหนึ่ง ข้อที่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น
อุบัติขึ้นในโลกนั้นเป็นสภาพปกติของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. เพราะเหตุไร.
เพราะคุณของพระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเหตุใหญ่. มหาบพิตร แม้
สิ่งอื่นใดชื่อว่าเป็นของใหญ่ สิ่งนั้นก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น. มหาบพิตร
แผ่นดินเป็นของใหญ่ แผ่นดินนั้นก็มีผืนเดียว สาครใหญ่ก็มีแห่งเดียว
ขุนเขาสิเนรุใหญ่ก็มีลูกเดียว อากาศใหญ่ก็มีห้วงเดียว พระพรหมใหญ่มีองค์
เดียว พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าใหญ่มีพระองค์เดียว พระ-
ตถาคตอรหันตสัมมาพุทธเจ้าเป็นต้นเหล่านั้น อุบัติในที่ใด ในที่นั้น
คนพวกอื่นย่อมไม่มีโอกาส เพราะฉะนั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัม-
พุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น อุบัติขึ้นในโลก. ท่านพระนาคเสน ปัญหา
พร้อมทั้งเหตุอันเป็นข้ออุปมาท่านกล่าวดีแล้วละ.
บทว่า เอติสฺสาย โลกธาตุยา คือในจักรวาลเดียว ในตอนต้น
ท่านถือเอาหมื่นจักรวาลด้วยคำ ( ว่าโลกธาตุหนึ่ง ) นี้. แม้หมื่นจักรวาล
นั้น ก็ควรกำหนดเองเพียงจักรวาลเดียวเท่านั้น. ด้วยว่า พระพุทธเจ้า
ทั้งหลายเมื่อจะอุบัติ ย่อมอุบัติในจักรวาลนี้เท่านั้น ก็เมื่อห้ามสถานที่
อุบัติไว้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายจึงไม่อุบัติในจักรวาลอื่น ๆ นอกจาก
จักรวาลนี้ เพราะเหตุนั้น สถานที่อุบัติอื่น ๆ ย่อมเป็นอันห้ามเด็ดขาด
(คือจะอุบัติที่อื่นไม่ได้).

จบอรรถกถาวรรคที่ 1

วรรคที่ 2



ว่าด้วยฐานะและอฐานะ



[163] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่พระเจ้าจักรพรรดิ 2 พระองค์
จะพึงเสด็จอุบัติขึ้นพร้อมกันในโลกธาตุเดียวกันนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่
โอกาสจะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่พระเจ้าจักรพรรดิพระองค์
เดียวจะพึงเสด็จอุบัติขึ้นในโลกธาตุอันหนึ่ง เป็นฐานะที่จะดีได้.
[164] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่สตรีจะพึงเป็นพระอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
แต่ข้อที่บุรุษจะพึงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นฐานะที่จะ
มีได้.
[165] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่สตรีจะพึงเป็นพระเจ้าจักร-
พรรดินั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อ
ที่บุรุษจะพึงเป็นพระเจ้าจักรพรรดินั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.
[166] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่สตรีจะพึงเป็นท้าวสักกะ ฯลฯ
จะพึงเป็นมาร ฯลฯ จะพึงเป็นพรหมนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะ
มีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุรุษจะพึงเป็นท้าวสักกะ ฯลฯ จะพึง
เป็นมาร ฯลฯ จะพึงเป็นพรหมนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.
[167] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่วิบากอันน่าปรารถนา น่าใคร่
น่าพอใจ แห่งกายทุจริต จะพึงเกิดขึ้นนั้น มิ ใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะ
มีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่วิบากอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่
ไม่น่าพอใจ แห่งกายทุจริต จะพึงเกิดขึ้นนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.