เมนู

พระสุตันตปิฎก



สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค



เล่มที่ 5 ภาคที่ 2


ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



อินทริยสังยุ



สุทธิกวรรคที่ 1



1. สุทธิกสูตร



ว่าด้วยอินทรีย์ 5



[843] สาวัตถีนิทาน. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระ-
พุทธพจน์นี้ ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ 5 ประการนี้ 5 ประการเป็นไฉน
คือ สัทธินทรีย์ 1 วิริยินทรีย์ 1 สตินทรีย์ 1 สมาธินทรีย์ 1 ปัญญินทรีย์ 1
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ 5 ประการนี้แล.
จบสุทธิกสูตรที่ 1

อินทริยสังยุตตวรรณนา



สุทธิกวรรคที่ 1



อรรถกถาสุทธิสูตร



อินทริยสังยุต สุทธิกสูตรที่

1.อินทรีย์ 3 อย่างนี้ คือ สัทธิน-
ทรีย์ สตินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ย่อมได้ ทั้งในกุศลและวิบากที่เป็นไปในภูมิ
4 ทั้งในกิริยา. วิริยินทรีย์ สมาธินทรีย์ ย่อมได้ในจิตทุกดวงคือ ในกุศล
ที่เป็นไปในภูมิ 4 ในอกุศลวิบาก ในกิริยา. พึงทราบว่า พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสด้วยอำนาจการกำหนดธรรม ที่รวมเข้าไว้ทั้งสี่ภูมิ.
จบอรรถกถาสุทธิกสูตรที่ 1

2. ปฐมโสตาสูตร*



รู้คุณโทษของอินทรีย์ 5 เป็นพระโสดาบัน



[844] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ 5 ประการนี้ 5 ประการเป็น
ไฉน คือ สัทธินทรีย์ 1 วิริยินทรีย์ 1 สตินทรีย์ 1 สมาธินทรีย์ 1 ปัญ-
ญินทรีย์ 1 เมื่อใดแล อริยสาวกรู้ชัดซึ่ง (ความเกิด ความดับ) คุณ โทษ
และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งอินทรีย์ 5 ประการนี้ ตามความเป็นจริง เมื่อนั้น
เราเรียกอริยสาวกนี้ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็น
ผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.
จบปฐมโสตาสูตรที่ 2
*ตั้งแต่สูตรที่ 2-6 ไม่มีอรรถกถา

3. ทุติยโสตาสูตร



รู้ความเกิดดับของอินทรย์ 5 เป็นพระโสดาบัน



[845 ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ 5 ประการนี้ 5 ประการเป็น
ไฉน. ฯลฯเมื่อใดแล อริยสาวกรู้ชัดซึ่งความเกิด ความดับ คุณ โทษ และ
อุบายเครื่องสลัดออก... เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็น
ผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.
จบทุติยโสตาสูตรที่ 3

4. ปฐมอรหัตสูตร



รู้ความเกิดดับของอินทรีย์ 5 เป็นพระอรหันต์



[846] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ 5 ประการนี้ 5 ประการเป็น
ไฉน คือ สัทธินทรีย์ 1 วิริยินทรีย์ 1 สตินทรีย์ 1 สมาธินทรีย์ 1 ปัญ-
ญินทรีย์ 1 เมื่อใดแล. ภิกษุรู้ชัดซึ่งความเกิด ความดับ คุณ โทษ และ
อุบายเครื่องสลัดออกแห่งอินทรีย์ 5 ประการนี้ ตามความเป็นจริงแล้ว เป็น
ผู้หลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่น เมื่อนั้น เราเรียกภิกษุนั้นว่า เป็นพระอรหันต-
ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงแล้ว บรรลุ
ประโยชน์ของตนแล้ว สิ้นสังโยชน์ที่จะนำไปสู่ภพแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้
โดยชอบก่อน.
จบปฐมอรหันตสูตรที่ 4

5.ทุติยอรหันตสูตร



รู้ความเกิดดับของอินทรีย์ 5 เป็นพระอรหันต์



[847] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ 5 ประการนี้ 5 ประการเป็น
ไฉน คือ สัทธินทรีย์ 1 วิริยินทรีย์ 1 สตินทรีย์ 1 สมาธินทรีย์ 1 ปัญ-
ญินทรีย์ 1 เมื่อใดแล ภิกษุรู้ชัดซึ่งความเกิด ความดับ คุณ โทษ และ
อุบายเครื่องสลัดออกแห่งอินทรีย์ 5 ประการนี้ ตามความเป็นจริงแล้ว เป็น
ผู้หลุดพ้นเพราะไม่ถือมั่น เมื่อนั้น เราเรียกภิกษุนั้นว่า พระอรหันตขีณาสพ
อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงแล้ว บรรลุประโยชน์
ของตนแล้ว สิ้นสังโยชน์ที่จะนำไปสู่ภพแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ.
จบทุติยอรหันตสูตรที่ 5

6. ปฐมสมณพราหมณสูตร



ผู้ไม่รู้ความเกิดดับของอินทรีย์ 5 ไม่นับว่าสมณะหรือพราหมณ์.



[848] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ 5 ประการนี้ 5 ประการเป็น
ไฉน คือ สัทธินทรีย์ 1 วิริยินทรีย์ 1 สตินทรีย์ 1 สมาธินทรีย์ 1 ปัญ-
ญินทรีย์ 1 ก็สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ไม่รู้ชัดซึ่งความเกิด
ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งอินทรีย์ 5 ประการนี้ ตาม
ความเป็นจริง สมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น เราไม่นับว่าเป็นสมณะในพวก
สมณะ หรือเป็นพราหมณ์ในพวกพราหมณ์ เพราะท่านเหล่านั้นยังไม่กระทำ

ให้แจ้ง ซึ่งประโยชน์ของความเป็นสมณะ หรือของความเป็นพราหมณ์ ด้วย
ปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่.
[849] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพรหมณ์เหล่าใดรู้ชัด
ซึ่ง ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งอินทรีย์
5 ประการนี้ ตามความเป็นจริง สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น เรานับว่าเป็น
สมณะในพวกสมณะ หรือเป็นพราหมณ์ในพวกพราหมณ์ เพราะท่านเหล่า
นั้นกระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ของความเป็นสมณะและของความเป็นพราหมณ์
ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่.
จบปฐมสมณพราหมณ์สูตรที่ 6

7. ทุติยสมณพราหมณสูตร



ผู้รู้ชัดถึงความเกิดของอินทรีย์ 5 นับว่าเป็นสมณพราหมณ์



[850] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ไม่รู้ชัดซึ่งสัทธินทรีย์ ความเกิดแห่งสัทธินทรีย์ ความดับแห่งสัทธินทรีย์
และปฏิปทา อันให้ถึงความดับแห่งสัทธินทรีย์ ไม่รู้ชัดซึ่งวิริยินทรีย์ ฯลฯ
สตินทรีย์ ฯลฯ สมาธินทรีย์ ฯลฯ ไม่รู้ชัดซึ่งปัญญินทรีย์ ความดับแห่งปัญ-
ญินทรีย์ ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งปัญญินทรีย์ สมณะหรือพราหมณ์เหล่า
นั้น เราไม่นับว่าเป็นสมณะในพวกสมณะ หรือเป็นพราหมณ์ในพวกพราหมณ์
เพราะท่านเหล่านั้นยังไม่กระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ของความเป็นสมณะหรือ
ของความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่.

[851] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่า
หนึ่งรู้ชัดซึ่งสัทธินทรีย์ ความเกิดแห่งสัทธินทรีย์ ความดับแห่งสัทธินทรีย์
และปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสัทธินทรีย์ รู้ชัดซึ่งวิริยินทรีย์... สติน-
ทรีย์... สมาธินทรีย์... รู้ชัดซึ่งปัญญินทรีย์ ความเกิดแห่งปัญญินทรีย์
ความดับแห่งปัญญินทรีย์ และปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งปัญญินทรีย์ สมณะ
หรือพราหมณ์พวกนั้น เรานับว่าเป็นสมณะในพวกสมณะ หรือเป็นพราหมณ์
ในพวกพราหมณ์ เพราะท่านเหล่านั้นกระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ของความเป็น
สมณะและของความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.
จบทุติยสมณพราหมณสูตรที่ 7

อรรถกถาทุติยสมณพราหมณสูตร



สูตรที่ 7.

คำว่า ไม่รู้ชัดซึ่งสัทธินทรีย์ คือไม่เข้าใจด้วยอำนาจ
แห่งทุกขสัจ. คำว่า ไม่รู้ชัดซึ่งความเกิดขึ้นแห่งสัทธินทรีย์ คือไม่เข้า
ใจชัดด้วยอำนาจสมุทัยสัจ ไม่เข้าใจชัดนิโรธด้วยสามารถแห่งนิโรธสัจ ไม่เข้า
ใจชัดทางปฏิบัติ ด้วยอำนาจมรรคสัจ อย่างนี้แล. แม้ในคำที่เหลือก็นัย
นี้แหละ.
ส่วนในฝ่ายขาว การเกิดขึ้นพร้อมแห่งสัทธินทรีย์ ย่อมมีได้ด้วยการ
เกิดขึ้นพร้อมแห่งการพิจารณาด้วยอำนาจอธิโมกข์ (การน้อมใจเชื่อ). การ
เกิดขึ้นพร้อมแห่งวิริยินทรีย์ ย่อมมีได้ด้วยการเกิดขึ้นพร้อมแห่งการพิจารณา
ด้วยอำนาจการประคับประคองจิตไว้ การเกิดขึ้นพร้อมแห่งสตินทรีย์ ย่อมมีได้