เมนู

[830] ครั้งนั้นแล ภิกษุนั้นชื่นชมอนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มี
พระภาคเจ้าแล้วลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้ากระทำประทักษิณ
แล้วหลีกไป ภิกษุนั้นเป็นผู้ผู้เดียว หลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความ
เพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่นานนักก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อัน
ยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วย
ปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบ
แล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นมิได้มี ก็แลภิกษุ
นั้นเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย.
จบปาฏิโมกขสูตรที่ 6

อรรถกถาปาฏิโมกขสูตร



ปาฏิโมกขสังวรสูตรที่ 6.

คำว่า ผู้สำรวมด้วยความสำรวม
ในพระปาฏิโมกข์
ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงศีลที่
ประเสริฐที่สุดของศีลทั้ง 4 อย่าง จึงได้ตรัสอย่างนั้น. ท่านปีกฏกจุลนาคเถระ
กล่าวว่า ศีล ก็คือการสำรวมในพระปาฏิโมกข์นั่นเอง. ท่านค้านว่า ขึ้นชื่อ
ว่าฐานะที่ว่าอีก 3 ข้อ เป็นศีล ไม่มี เมื่อไม่ยอมเห็นด้วยอย่างเด็ดขาดจึง
กล่าวไว้. มีชื่อว่า อินทรีย์สังวร ก็สักว่าที่เป็นไปในทวาร 6 เท่านั้น อาชีว-
ปาริสุทธิ ก็สักว่าที่เกิดปัจจัยขึ้นโดยถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเท่านั้น.
ชื่อว่า ปัจจัยนิสสิต ก็ตรงที่พิจารณาว่าเพื่อประโยชน์นี้ในปัจจัยที่ได้มาแล้ว
บริโภค (เพราะฉะนั้น) ว่าโดยตรง ศีลก็คือการสำรวมในพระปาฏิโมกข์เท่า
นั้น. ปาฏิโมกขสังวรนั้น ของภิกษุใดแตกแล้ว ภิกษุนี้ก็ไม่พึงกล่าวได้ว่า

จะรักษาศีลที่เหลือไว้ได้เพราะเหมือนคนหัวขาด ไม่มีทางจะรักษามือเท้าไว้ได้
ฉะนั้น. ส่วนปาฏิโมกขสังวรนั้น ของภิกษุใด ไม่เสียหาย ภิกษุนี้ ก็สามารถ
เพื่อทำศีลที่เหลือให้กลับเป็นปกติได้อีกแล้วรักษาข้ออื่น เหมือนคนหัวไม่ขาด
สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ฉะนั้น. เพราะฉะนั้น ศีลก็คือปาฏิโมกขสังวรนั่นเอง.
ด้วยความสำรวมในพระปาฏิโมกข์นั้น. คำว่า ผู้สำรวมแล้ว หมายความว่า
ผู้สำรวม เข้าถึงคือประกอบด้วยความสำรวมในพระปาฏิโมกข์. คำว่า ถึง
พร้อมด้วยอาจาระและโคจร
คือสมบูรณ์ทั้งอาจาระ ทั้งโคจร. คำว่า
อณุมตฺเตสุ คือมีประมาณเล็กน้อย. คำว่า โทษ คือในธรรมที่เป็นอกุศล
คำว่า มีปกติเห็นภัย คือเห็นเป็นของน่ากลัวโดยปกติ. คำว่า ยึดมั่น
คือถือไว้อย่างถูกต้อง. คำว่า จงศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย ได้แก่ การยึด
ถือศึกษาสิกขาบทนั้น ๆ ในสิกขาบททั้งหลาย คือก็สิกขาบทไร ๆ ที่เกี่ยวกับ
กายหรือที่เกี่ยวกับวาจาที่ต้องศึกษาในส่วนสิกขาในสิกขาบททั้งหลายนั้นใดจง
สมาทานศึกษาสิกขาบททั้งหมดนั้น ด้วยประการฉะนี้. นี้เป็นความย่อในพระ
สูตรนี้ ส่วนความพิสดาร ท่านกล่าวไว้แล้วในวิสุทธิมรรค. ด้วยประการฉะนี้
ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแต่ปาฏิโมกขสังวรศีลเท่านั้น.
จบอรรถกถาปฏิโมกขสูตรที่ 6

7. ทุจริตสูตร



ว่าด้วยทุจริต และสุจริต


[831] ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่
ประทับ ฯลฯ แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมโดยย่อแก่ข้าพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์
ได้ฟังแล้ว จะพึงเป็นผู้ผู้เดียว หลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท. มีความเพียร
มีใจเด็ดเดี่ยวเถิด.
[832] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เพราะฉะนั้นแหละ
เธอจงชำระเบื้องต้นในกุศลธรรมให้บริสุทธิ์เสียก่อน ก็อะไรเป็นเบื้องต้นของ
กุศลธรรม เธอจักละกายทุจริต เจริญกายสุจริต จักละวจีทุจริต เจริญวจีสุจริต
จักละมโนทุจริต เจริญมโนสุจริต.
[833] ดูก่อนภิกษุ เมื่อใดแล เราจักละกายทุจริต เจริญกายสุจริต
จักละวจีทุจริต เจริญวจีสุจริต จักละมโนทุจริต เจริญมโนสุจริต เมื่อนั้น เธอ
พึงอาศัยศีลดำรงอยู่ในศีลแล้ว เจริญสติปัฏฐาน 4 สติปัฏฐาน 4 เป็นไฉน เธอ
จงพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ . . . ใน มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัส
ในโลกเสีย เมื่อใดแล เธอจักอาศัยศีลเวทนาอยู่ ....ในจิตอยู่ . . . จงพิจารณาเห็น
ธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ ดำรงอยู่ในศีลแล้ว เจริญสติปัฏฐาน 4
เหล่านี้ อย่างนี้ เมื่อนั้น เธอพึงหวังความเจริญในกุศลธรรมได้ทีเดียว ตลอดคืน
หรือวันที่จักมาถึง ไม่มีความเสื่อมเลย ฯลฯ ก็แลภิกษุรูปนั้น เป็นพระอรหันต์
องค์หนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย.
จบทุจริตสูตรที่ 7