เมนู

5. พราหมณสูตร *



ว่าด้วยพระสัทธรรมตั้งอยู่ไม่ได้นาน


[777] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบัณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้น พราหมณ์
คนหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกะพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง. ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
[778] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัย
เครื่องทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ไม่ได้นาน ในเมื่อพระตถาคตเสด็จปรินิพพาน
แล้ว. และอะไร เป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้นาน
ในเมื่อพระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้ว.
[779] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ เพราะบุคคล
ไม่ได้เจริญ ไม่ได้กระทำให้มากซึ่งสติปัฏฐาน 4 พระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ไม่ได้
นาน ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว. และเพราะบุคคลเจริญ กระทำให้มาก
ซึ่งสติปัฏฐาน พระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ได้นาน ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว.
สติปัฏฐาน 4 เป็นไฉน. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย. ย่อม
* อรรถกถาว่า มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.

พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ... ย่อม
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัด
อภิชฌาและโทมนัสโนโลกเสีย. ดูก่อนพราหมณ์ เพราะบุคคลไม่ได้เจริญ
ไม่ได้กระทำให้มากซึ่งสติปัฏฐาน 4 เหล่านั้นแล พระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ได้
ไม่นาน ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว. และเพราะบุคคลได้เจริญ ได้กระทำ
ให้มากซึ่งสติปัฏฐาน 4 เหล่านี้แล พระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ได้นาน ในเมื่อ
ตถาคตปรินิพพานแล้ว.
[780] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์นั้นได้
กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์
ไพเราะยิ่งนัก. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ไพเราะยิ่งนัก
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่บุคคลผู้หลงทาง
หรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่าผู้มีจักษุจักแลเห็นได้ ฉะนั้น ขอท่าน
พระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะจนตลอดชีวิตตั้งแต่
วันนี้เป็นต้นไป.
จบพราหมณสูตรที่ 5

6. ปเทสสูตร



ว่าด้วยบุคคลจะชื่อว่าเป็นพระเสขะ


[781] สมัยหนึ่งท่านพระสารีบุตรท่านพระมหาโมคคัลลานะ
และ ท่านพระอนุรุทธะอยู่ ณ กัณฏกีวัน ใกล้เมืองสาเกต.
ครั้งนั้น
ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะออกจากที่พักผ่อนในเวลาเย็น
เข้าไปหาท่านพระอนุรุทธะถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอนุรุทธะ ครั้น
ผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้น
แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้ถามท่านพระอนุรุทธะว่า
[782] ดูก่อนท่านอนุรุทธะ ที่เรียกว่า พระเสขะ ๆ ดังนี้ ด้วย
เหตุเพียงเท่าไรหนอ บุคคลจึงจะชื่อว่าเป็นพระเสขะ. ท่านพระอนุรุทธะตอบ
ว่า ดูก่อนผู้มีอายุ บุคคลที่จะชื่อว่าเป็นพระเสขะ เพราะเจริญสติปัฏฐาน 4
ได้เป็นส่วน ๆ. สติปัฏฐาน 4 เป็นไฉน. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณา
เห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัส
ในโลกเสีย. ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นจิตใน
จิตอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย. ดูก่อนผู้มีอายุ บุคคลที่จะชื่อว่า
เป็นพระเสขะ เพราะเจริญสติปัฏฐาน 4 เหล่านี้แล ได้เป็นส่วน ๆ.
จบปเทสสูตรที่ 6