เมนู

บทว่า พระตถาคตเจ้าอันใครพึงเปรียบไม่ได้อย่างนี้ ความว่า
ความเคลือบแคลง สงสัยในพระตถาคตเจ้า เขาจักละได้.
จบอรรถกถานาฬันทสูตรที่ 2

3. จุนทสูตร



ว่าด้วยการปรินิพพานของพระสารีบุตร


[733] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหาร
เชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี. ก็ในสมัยนั้น ท่าน
พระสารีบุตรอยู่ ณ บ้านนาลกคาม ในแคว้นมคธ อาพาธ เป็นไข้หนัก
ได้รับทุกขเวทนา. สามเณรจุนทะเป็นอุปัฏฐากของท่าน. ครั้งนั้น ท่านพระ-
สารีบุตรปรินิพพานด้วยอาพาธนั่นแหละ.
[734] ครั้งนั้น สามเณรจุนทะถือเอาบาตรและจีวรของท่านพระ-
สารีบุตร เข้าไปหาพระอานนท์ยังพระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณ-
ฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี นมัสการท่านพระอานนท์แล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ท่านพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว นี้บาตรและจีวรของท่าน. ท่านพระอานนท์
กล่าวว่า ดูก่อนอาวุโสจุนทะ นี้เป็นมูลเรื่องที่จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า มีอยู่
มาไปกันเถิด เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลเนื้อความนั้น
แด่พระองค์. สามเณรจุนทะรับคำของท่านพระอานนท์แล้ว.

[735] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์กับสามเณรจุนทะ เข้าไปเฝ้าพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
สามเณรจุนทะรูปนี้ ได้บอกอย่างนี้ว่า ท่านพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว นี้
บาตรและจีวรของท่าน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายของข้าพระองค์ประหนึ่งจะ
งอมงมไป แม้ทิศทั้งหลายก็ไม่ปรากฏแก่ข้าพระองค์ แม้ธรรมก็ไม่แจ่มแจ้งแก่
ข้าพระองค์ เพราะได้ฟังว่า ท่านพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว.
[736] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนอานนท์ สารีบุตรพา
เอาศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ หรือวิมุตติญาณทัสสนขันธ์
ปรินิพพานไปด้วยหรือ.
ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า หามิได้ พระเจ้าข้า ท่านพระสารีบุตร
มิได้พาศีลขันธ์ปรินิพพานไปด้วย ฯลฯ มิได้พาวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ปริ-
นิพพานไปด้วย. ก็แต่ว่าท่านพระสารีบุตรเป็นผู้กล่าวสอนให้รู้ชัดแสดงให้เห็น
แจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ไม่เกียจคร้านในการแสดงธรรม
อนุเคราะห์เพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหลายมาตามระลึกถึงโอชะ
แห่งธรรม ธรรมสมบัติและการอนุเคราะห์ด้วยธรรมนั้นของท่านพระสารีบุตร.
[737] พ. ดูก่อนอานนท์ ข้อนั้น เราได้บอกเธอทั้งหลายไว้ก่อน
แล้วไม่ใช่หรือว่า จักต้องมีความเป็นต่าง ๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่าง
อื่น. จากของรักของชอบใจทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักชอบใจนี้
แต่ที่ไหน. สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็น
ธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะ
มีได้.

[738] ดูก่อนอานนท์ เปรียบเหมือนเมื่อต้นไม้ใหญ่ มีแก่น ตั้งอยู่
ลำต้นใดซึ่งใหญ่กว่า ลำต้นนั้นพึงทำลายลง ฉันใด เมื่อภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่
ซึ่งมีแก่น ดำรงอยู่ สารีบุตรปรินิพพานแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น
จะพึงได้ในข้อนี้แต่ที่ไหน. สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มี
ความทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้
มิใช่ฐานะที่จะมีได้. เพราะฉะนั้นแหละ. เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตน
เป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่า
มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่เถิด.
[739] ดูก่อนอานนท์ ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่ง
อื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
อยู่อย่างไร. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความ
เพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย. ย่อมพิจารณา
เห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ... ย่อมพิจารณา
เห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกเสีย. ดูก่อนอานนท์ ภิกษุมีตนเป็นเกาะ. มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มี
สิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ. มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
อยู่อย่างนี้แล.
[740] ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุพวกใดพวกหนึ่ง ในบัดนี้ก็ดี ใน
กาลที่เราล่วงไปก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่
พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ พวก
ภิกษุเหล่านี้นั้นที่เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา จักเป็นผู้เลิศ.
จบจุนทสูตรที่ 3

อรรถกถาจุนทสูตร



จุนทสูตรที่ 3.

คำว่า ในแคว้นมคธ คือ ในชนบทที่มีชื่ออย่าง
นั้น. คำว่า ในตำบลนาฬกะ คือ ในตำบลที่มีชื่ออย่างนั้น อันเป็นของสกุล
ของตนไม่ไกลกรุงราชคฤห์.
บทว่า สามเณรชื่อว่าจุนทะ ความว่า พระเถระนี้เป็นน้องชาย
คนเล็กของพระธรรมเสนาบดี ในเวลาที่ท่านยังไม่อุปสมบท พวกพระร้องเรียก
ท่านว่า สามเณรจุนทะ แม้เวลาเป็นพระเถระก็ร้องเรียกอย่างนั้นเหมือนกัน
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สามเณรจุนทะ.
บทว่า เป็นผู้ทำการอุปัฏฐาก ความว่า เป็นผู้ถวายการอุปัฏฐาก
ด้วยน้ำล้างหน้า ไม้สีฟัน และน้ำฉัน กวาดบริเวณ นวดหลังและรับบาตร
จีวร.
บทว่า ปรินิพพานแล้ว ความว่า ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิ-
เสสนิพพานธาตุ.
บทว่า เวลาไหน ความว่า ในปีปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ในเรื่องนั้น มีอนุปุพพิกถา ดังต่อไปนี้.
ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอยู่จำพรรษาแล้ว เสด็จออกจาก
หมู่บ้านเวฬุวะ ทรงดำริว่า เราจะไปเมืองสาวัตถี แล้วเสด็จกลับจากทางที่เสด็จ
มานั่นเทียว ถึงเมืองสาวัตถีโดยลำดับแล้วเสด็จไปพระเชตวัน. พระธรรม
เสนาบดี แสดงวัตรถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วไปที่พักกลางวัน. เพื่อนเหล่า
อันเตวาสิกในที่นั้นแสดงวัตรหลีกไปแล้ว ท่านจึงกวาดที่พักกลางวัน ปูแผ่น
หนัง ล้างเท้าแล้วนั่งคู้บัลลังก์เข้าผลสมาบัติ. ลำดับนั้น เมื่อท่านออกจากผล