เมนู

ดูก่อนอุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ อัน
อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ ไพบูลย์ เป็นมหรคต หาประมาณมิ
ได้ ไม่มีความเบียดเบียน เมื่อภิกษุนั้นเจริญสติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ ไพบูลย์ เป็นมหรคต หาประมาณมิได้ ไม่มี
ความเบียดเบียน ย่อมละตัณหาได้ ฯลฯ ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ อัน
อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ ไพบูลย์ เป็นมหรคต หาประมาณมิ
ได้ ไม่มีความเบียดเบียน เมื่อภิกษุนั้นเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัย
วิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ ไพบูลย์ เป็นมหรคต หาประมาณมิได้
ไม่มีความเบียดเบียน ย่อมละตัณหาได้ เพราะละตัณหาได้ จึงละกรรมได้
เพราะละกรรมได้ จึงละทุกข์ได้ ดูก่อนอุทายี เพราะสิ้นตัณหา จึงสิ้นกรรม
เพราะสิ้นกรรม จึงสิ้นทุกข์ ด้วยประการดังนี้แล.
จบขยสูตรที่ 6

อรรถกถาขยสูตร



พึงทราบวินิจฉัยใน ขยสูตรที่ 6.
บทว่า เอตทโวจ ความว่า พระอุทายีเถระ เมื่อจะทูลถามว่า ข้า-
พระองค์จักรู้ถึงเทสนาอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้จบลง ด้วยดำริว่า ภิกษุผู้
ฉลาดในอนุสนธิ ชื่อว่า อุทายีเถระ นั่งอยู่ในบริษัทนี้มีอยู่ เธอจักถามเรา
ดังนี้แล้ว สืบต่ออนุสนธิแห่งเทศนา จึงกราบทูลถามถึงข้อนั้น. บทว่า วิปุลํ
เป็นต้น ตรัสหมายถึงสติสัมโพชฌงค์ที่เจริญดีแล้วทั้งหมด เพราะว่า สติสัม-
โพชฌงค์ที่เจริญดีแล้ว ไพบูลย์ เป็นมหรคต หาประมาณมิได้ และชื่อว่า