เมนู

อรรถกถาโพชฌงคสังยุต


ปัพพตวรรควรรณนาที่ 1



อรรถกถาหิมวันตสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในหิมวันตสูตรที่ 1 แห่งโพชฌังคสังยุต.
บทว่า นาคา ความว่า นาคแม้เหล่านี้ อยู่ระหว่างคลื่น บนหลัง
มหาสมุทร หาอยู่ในวิมานไม่. นาคเกล้านั้นมีกายเติบโตเป็นต้น เพราะอาศัย
ภูเขาหิมวันต์ ทั้งหมดพึงทราบโดยนัยอันกล่าวแล้วในหนหลัง. ในบทว่า
โพชฺณงฺเค นี้ ชื่อว่าโพชฌงค์เพราะเป็นองค์แห่งความตรัสรู้ หรือองค์ของ
ผู้ตรัสรู้. มีคำที่ท่านอธิบายไว้อย่างไร ธรรมสามัคคีนี้ท่านเรียกว่า โพธิ
เพราะอธิบายไว้ว่า พระอริยสาวกย่อมตรัสรู้ด้วยธรรมสามัคคี กล่าวคือ สติ
ธรรมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา ซึ่งเป็นปฎิปักษ์ต่ออุปัทวะ
หลายอย่างมี ลีนะ ความหดหู่ อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน ปติฎฐานะ
ความตั้งอยู่ อายูหนะ การรวบรวม กามสุขัลลิกานุโยค ทำความเพียร
ในกามสุข อัตตกิลมถานุโยค ทำความเพียรในการทำตนให้ลำบาก อุจเฉท-
ทิฏฐิ
ความเห็นว่าขาดสูญ สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง และอภินิเวส
ความยึดมั่นเป็นต้น เมื่อธรรมสามัคคีเกิดขึ้นอยู่ ในขณะแห่งมรรคที่เป็น
โลกิยะและโลกุตระดังนี้ บทว่า พุชฺฌติ มีอธิบายว่า พระอริยสาวก ย่อม
ลุกขึ้นจากความหลับคือกิเลสสันดาน คือตรัสรู้อริยสัจ 4 หรือย่อมกระทำ
นิพพานให้แจ้ง. สมดังที่ท่านกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเจริญโพชฌงค์ 7
ตรัสรู้แล้ว ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ. ชื่อว่า โพชฌงค์เพราะเป็นองค์

แห่งความตรัสรู้ กล่าวคือธรรมสามัคคีนั้น เหมือนองค์แห่งฌานและองค์
แห่งมรรคเป็นต้น. ส่วนพระอริยสาวก เรียกว่า โพธิ เพราะอธิบายว่า
ย่อมตรัสรู้ด้วยธรรมสามัคคีนี้ มีประการตามที่กล่าวแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะเป็นองค์ของผู้ตรัสรู้นั้นบ้าง เหมือนองค์แห่งเสนา
และองค์แห่งรถเป็นต้น. เพราะเหตุนั้น พระอรรถกถาจารย์ จึงกล่าวว่า
อีกอย่างหนึ่งชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะเป็นองค์ของบุคคลผู้ตรัสรู้.
ถามว่า ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่าอย่างไร.
ตอบว่า ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า ย่อมเป็นไปเพื่อ
ความตรัสรู้ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้ตาม
เพราะอรรถว่า ตรัสรู้เฉพาะ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้ดี. พึงทราบ
อรรถแห่งโพชฌงค์ แม้โดยนัยแห่งปฏิสัมภิทาเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้แล
ส่วนในบทเป็นต้นว่า สติสมฺโพชฺณงฺคํ พึงทราบอรรถในบททั้งปวง
อย่างนี้ว่า ชื่อว่า สัมโพชฌงค์ เพราะเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ อันประเสริฐ
และดี สัมโพชฌงค์คือสติ ชื่อว่า สติสัมโพชฌงค์ ซึ่งสติสัมโพชฌงค์นั้น.
บทว่า ภาเวติ คือ ให้เจริญ อธิบายว่า ย่อมให้เกิดคือย่อมให้บังเกิดบ่อย ๆ
ในจิตสันดานของตน บททั้งหลายมีอาทิว่า วิเวกนิสฺสิตํ พึงทราบโดยนัย
อันกล่าวแล้วในบทนี้ว่า ภิกษุย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิอาศัยวิเวกดังนี้ ในโกสล-
สังยุต.
ส่วนความต่างกันดังนี้ ในโกสลลังยุตนั้น ท่านกล่าววิเวกไว้ 3 อย่าง
คือ อาศัยตทังควิเวก สมุจเฉทวิเวก นิลสรณวิเวก. ส่วนอาจารย์บางพวก
กล่าวถึงผู้เจริญโพชฌงค์อาศัยวิเวก 5 อย่างก็มี. ก็อาจารย์เหล่านั้นย่อมยก
โพชฌงค์ขึ้นแสดงอย่างนี้ ในขณะแห่งพลววิปัสสนา มรรคและผลอย่างเดียว
ก็หามิได้ ย่อมยกขึ้นแสดงแม้ในกสิณฌาน อานาปานสติ อสุภกัมมัฏฐาน

และพรหมวิหารฌาน อันเป็นบาทของวิปัสสนา อาจารย์บางพวกเหล่านั้น
จึงไม่สำเร็จตามพระอรรถกถาจารย์ เพราะฉะนั้น ตามมติของท่านเหล่านั้น
ในขณะแห่งความเป็นไปแห่งฌานเหล่านั้น ว่าโดยกิจ ฌานก็ยังอาศัยวิก-
ขัมภนวิเวก. ในขณะแห่งวิปัสสนา ท่านกล่าวว่า โดยอัธยาศัย ภิกษุย่อมเจริญ
วิปัสสนา อาศัยนิสสรณวิเวก ฉันใด. ก็ควรจะกล่าวว่า ภิกษุย่อมเจริญ
โพชฌงค์ อาศัยปฏิปัสสัทธิวิเวกฉันนั้น. คำที่เหลือในสูตรนี้มีนัยตามที่กล่าว
แล้วในหนหลังแล .
จบอรรถกถาหิมวันตสูตรที่ 1

2. กายสูตร



อาหารของนิวรณ์ 5


[357] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้
เพราะอาศัยอาการ ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด นิวรณ์ 5 ก็มีอาหาร
เป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้น
เหมือนกัน
[358] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหาร ให้กามฉันท์ที่
ยังไม้เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ศุภนิมิตมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในศุภนิมิตนั้น นี้เป็น
อาหารให้กามฉันท์ที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น