เมนู

2. เวทนาสังยุต



ปฐมกสคาถวรรคที่ 1



1. สมาธิสูตร



ว่าด้วยผู้มีจิตตั้งมั่นรู้เหตุเกิดและดับแห่งเวทนา



[359] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เวทนา 3 เหล่านี้ เวทนา 3 เป็น
ไฉน คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เวทนา 3 เหล่านี้แล.
[360] สาวกของพระพุทธเจ้ามีจิตมั่นคงดีแล้ว มี
สัมปชัญญะ มีสติ ย่อมรู้ชัดซึ่งเวทนาและเหตุ
เกิดแห่งเวทนาทั้งหลาย อนึ่งเวทนาเหล่านี้จะ
ดับไปในที่ใด ย่อมรู้ชัดซึ่งที่นั้น ( คือนิพพาน )
และทางดำเนินให้ถึงความสิ้นไปแห่งเวทนาเหล่า
นั้น เพราะสิ้นเวทนา ภิกษุเป็นผู้หมดความหิว
ปรินิพพานแล้ว.

จบ สมาธิสูตรที่ 1

เวทนาสังยุต



ปฐมกสคาถวรรคที่ 1



อรรถกถาสมาธิสูตรที่ 1



พึงทราบวินิจฉัยในสมาธิสูตรที่ 1 แห่งสหคาถาวรรค1ในเวทนา
สังยุต ดังต่อไปนี้.
บทว่า สมาหิโต ความว่า มีจิตตั้งมั่นด้วยอุปจาร หรือด้วย
อัปปนา. บทว่า เวทนา จ ปชานาติ ความว่า สาวกของพระพุทธเจ้า
ย่อมรู้ชัดเวทนาด้วยสามารถแห่งทุกขสัจ. บทว่า เวทนานญฺจ สมฺภวํ
ความว่า ย่อมรู้ชัดเหตุเกิดแห่งเวทนาเหล่านั้นแล ด้วยสามารถแห่งสมุทย-
สัจ. บทว่า ยตฺถ เจตา ความว่า เวทนาเหล่านี้ จะดับในนิพพานใด-
ย่อมรู้ชัด ซึ่งนิพพานนั้น ด้วยสามารถแห่งนิโรธสัจ. บทว่า ขฺยคามินํ
ความว่า ย่อมรู้ชัดทางดำเนินให้ถึงความสิ้นไปแห่งเวทนาเหล่านั้นแล ด้วย
สามารถแห่งมรรคสัจ. บทว่า นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต ความว่า ภิกษุผู้
หมดตัณหา ปรินิพพานแล้วด้วยความดับกิเลส. ในพระสูตรนี้ พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสเวทนาอันเที่ยวไปในการพิจารณาด้วยประการดังนี้. ตรัส
สมณะและวิปัสสนาด้วยบททั้งสองในคาถาทั้งหลาย. ตรัสสัจจะ 4 ด้วย
บทที่เหลือ การกำหนดธรรมเป็นไปในภูมิ 4 อันรวบรวมธรรมไว้ทั้งหมด
ก็ได้ตรัสไว้ในพระสูตรนี้ด้วยประการฉะนี้.
จบ อรรถกถาสมาธิสูตรที่ 1
1. บาลี เป็น ปฐมสคาถวรรค

2. สุขสูตร



ว่าด้วยผู้รู้ว่าเวทนาเป็นทุกข์ย่อมหมดความยินดีในเวทนา



[361] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เวทนา 3 เหล่านี้ เวทนา 3 เป็น
ไฉน คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เวทนา 3 เหล่านี้แล.
[362] ความเสวยอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็น
สุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็
ตาม ทั้งที่เป็นภายในทั้งที่เป็นภายนอกอยู่ ภิกษุ
รู้ว่า เวทนานี้เป็นทุกข์ มีความพินาศเป็นธรรมดา
มีความทำลายเป็นธรรมดา ถูกต้องความเสื่อมไป
อยู่ ย่อมคลายความยินดีในเวทนาเหล่านั้น ด้วย
ประการอย่างนี้.

จบ สุขสูตรที่ 2

อรรถกถาสุขสูตรที่ 2



พึงทราบวินิจฉัยในสุขสูตรที่ 2 ดังต่อไปนี้.
บทว่า อทุกฺขมสุขํ สห ได้แก่ มิใช่ทุกข์มิใช่สุข พร้อมด้วยสุข
และทุกข์ บทว่า อชฺฌตฺตญฺจ พิหิทฺธา จ ความว่า ของตนและของคนอื่น.
บทว่า โมสธมฺมํ คือมีความพินาศเป็นสภาพ. บทว่า ปโลกินํ คือทำลาย
มีความแตกเป็นสภาพ. บทว่า ผุสฺส ผุสฺส วยํ ผุสฺสํ ความว่า ถูกต้อง

ความเสื่อมเพราะถูกต้องด้วยญาณ. บทว่า เอวํ ตตฺถ วิรชฺชติ ความว่า
ย่อมคลายความยินดี ในเวทนาเหล่านั้น ด้วยประการอย่างนี้. ในพระสูตร
แม้นี้ ตรัสเวทนาอันเที่ยวไปในการพิจารณา ตรัสการถูกต้องด้วยญาณ
ในคาถาทั้งหลาย.
จบ อรรถกถาสุขสูตรที่ 2

3. ปหานสูตร



ว่าด้วยพึงละราคานุสัยเป็นต้นในเวทนา 3



[363] ตูก่อนภิกษุทั้งหลาย เวทนา 3 เหล่านี้ เวทนา 3 เป็น
ไฉน คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายพึงละราคานุสัยในสุขเวทนา พึงละปฏิฆานุสัยในทุกขเวทนา
พึงละอวิชชานุสัยในอทุกขมสุขเวทนา เพราะเหตุที่ภิกษุละราคานุสัยใน
สุขเวทนา ละปฏิฆานุสัยในทุกขเวทนา ละอวิชชานุสัยในอทุกขมสุข-
เวทนา ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ไม่มีราคานุสัย มีความเห็นชอบ ตัด
ตัณหาได้เด็ดขาด เพิกถอนสังโยชน์ได้แล้ว ได้กระทำที่สุดแห่งทุกข์แล้ว
เพราะละมานะได้โดยชอบ.
[364] ราคานุสัยนั้น ย่อมแก่ภิกษุผู้เสวยสุข
เวทนาไม่รู้สึกตัวอยู่ มีปกติไม่เห็นธรรมเป็น
เครื่องสลัดออก ปฏิฆานุสัยย่อมมีแก่ภิกษุผู้เสวย
ทุกขเวทนา ไม่รู้สึกตัว มีปกติไม่เห็นธรรมเป็น
เครื่องสลัดออก บุคคลเพลิดเพลินอทุกขมสุข-

เวทนาซึ่งมีอยู่ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีปัญญา
ประดุจปฐพีทรงแสดงแล้ว ย่อมไม่หลุดพ้นไป
จากทุกข์เลย เพราะเหตุที่ภิกษุผู้มีความเพียร
ละทิ้งเสียได้ด้วยสัมปชัญญะ เธอชื่อว่าเป็น
บัณฑิตย่อมกำหนดรู้เวทนาทั้งปวง ครั้นกำหนด
รู้เวทนาแล้ว เป็นผู้หาอาสวะมิได้ในปัจจุบัน
ตั้งอยู่ในธรรมถึงที่สุดเวท เมื่อตายไป ย่อมไม่
เข้าถึงความนับว่า เป็นผู้กำหนัด ขัดเคือง เป็น
ผู้หลง ดังนี้.

จบ ปหานสูตรที่ 3

อรรถกถาปหานสูตรที่ 3



พึงทราบวินิจฉัยในปหานสูตรที่ 3 ดังต่อไปนี้.
บทว่า อจฺเฉชฺช ตยฺหํ ความว่า ตัดตัณหาแม้ทั้งปวงได้เด็ดขาด
แล้ว. บทว่า นิวตฺตยิ สญฺโญชนํ ความว่า เพิกถอนสังโยชน์ทั้ง 10
อย่างได้แล้ว คือได้ทำให้หมดมูล. บทว่า สมฺมา คือโดยเหตุ คือโดยการณ์.
บทว่า มานาภิสมยา ความว่า เพราะเห็นและละมานะเสียได้ ด้วยว่า
อรหัตตมรรค ย่อมเห็นซึ่งมานะด้วยสามารถแห่งกิจ. นี้จัดเป็นการละมานะ
นั้นด้วยทัสสนะ. ส่วนมานะนั้นอันอรหัตมรรคนั้นเห็นแล้ว ย่อมละได้
ทันทีเหมือนชีวิตของสัตว์อันบุคคลเห็นละได้ด้วยสามารถทิฏฐิฉะนั้น.นี้ จัด
เป็นการละมานะนั้นด้วยปหานะ. บทว่า อนฺตมาสิ ทุกฺขสฺส ท่านอธิบาย

ว่าที่สุด 4 เหล่านี้ ใด คือที่สุดมีเขตแดนเป็นที่สุด ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า
เครื่องผูกกาย ย่อมคร่ำคร่าเป็นที่สุด หรือมีความสดสวยเป็นที่สุดดังนี้ 1
ที่สุดแห่งความลามกพระองค์ตรัสอย่างนี้ว่า นี้เป็นที่สุดแห่งชีวิต นะภิกษุ
ทั้งหลายดังนี้ 1 ส่วนสุดท่านกล่าวอย่างนี้ว่า กายของตนมีที่สุดอย่างหนึ่ง
ดังนี้ 1 ส่วนสุดท่านกล่าวอย่างนี้ว่า นั้นแลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ เพราะสิ้น
ปัจจัยทั้งหมดดังนี้ 1 ในที่สุด 4 เหล่านั้น ภิกษุได้ทำที่สุดกล่าวคือส่วน
ที่ 4 แห่งวัฏฏทุกข์ทั้งหมดนั้นแล คือได้ทำการเพื่อกำหนด การที่กำหนดไว้
คือได้ทำทุกข์เหลือเพียงร่างกายเป็นที่สุดดังนี้.
บทว่า สมฺปชญฺเญน นิพฺพาติ ได้แก่ ย่อมละเสียได้ด้วยสัมป-
ชัญญะ บทว่า สํขยํ นูเปติ ความว่า ย่อมไม่เข้าถึงบัญญัติว่าเป็นผู้กำหนัด
ขัดเคือง เป็นผู้หลงดังนี้ เธอละบัญญัตินั้นได้แล้ว ได้ชื่อว่ามหาขีณาสพ.
อารัมมณานุสัยตรัสไว้แล้วในพระสูตรนี้แล.
จบ อรรถกถาปหานสูตรที่ 3

4. ปาตาลสูตร



ว่าด้วยผู้ไม่ปรากฏและปรากฏในบาดาล



[365] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว ย่อมพูด
อย่างนี้ว่า ในมหาสมุทรมีบาดาล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้
สดับแล้ว ย่อมพูดวาจาอันไม่มีอันไม่ปรากฏอย่างนี้ว่าในมหาสมุทรมีบาดาล
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า บาดาล นี้เป็นชื่อของทุกขเวทนาที่เป็นไปใน
สรีระแล ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับถูกทุกขเวทนาอันเป็นไปในสรีระถูกต้องแล้ว