เมนู

9. ธีตุสูตร



ว่าด้วยสงสารและสัตว์ที่ไม่เคยเป็นธิดา



[455] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า
ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย. . . แล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็น
ที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้อง
ต้นย่อมไม่ปรากฏ สัตว์ที่ไม่เคยเป็นธิดาโดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลาย
ไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ
ไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ภิกษุทั้งหลาย พวก
เธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็น
ป่าช้าตลอดกาลนาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียว
เพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะ
หลุดพ้น ดังนี้.
จบธีตุสูตรที่ 9

10. เวปุลลปัพพตสูตร



ว่าด้วยความเป็นไปของภูเขาเวปุลละ



[456] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขา
คิชฌกูฏ กรุงราชคฤห์.
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุ

ทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้า
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังนี้.
[457] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชา
เป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุด
เบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว เวปุลล-
บรรพตนี้ได้ชื่อว่าปาจีนวังสะ สมัยนั้นแล หมู่มนุษย์ได้ชื่อว่า ติวรา
หมู่มนุษย์ชื่อติวรา มีอายุประมาณ 4 หมื่นปี หมู่มนุษย์ชื่อติวรา ขึ้นปาจีน-
วังสบรรพตเป็นเวลา 4 วัน ลงก็เป็นเวลา 4 วัน. สมัยนั้นแล พระ-
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนามว่ากกุสันธะ เสด็จอุบัติ
ขึ้นในโลก พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ
มีพระสาวกคู่หนึ่ง เป็นคู่เลิศ เป็นคู่เจริญ ชื่อว่าวิธูระ และสัญชีวะ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงดูเถิด ชื่อแห่งภูเขานี้นั้นแล อันตรธาน
ไปแล้ว มนุษย์เหล่านั้นกระทำกาละไปแล้ว และพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้นก็ปรินิพพานแล้ว สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงอย่างนี้ ไม่ยั่งยืน
อย่างนี้ ไม่น่าชื่นใจอย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอ
ทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อ
จะหลุดพ้น ดังนี้.
[458] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ภูเขาเวปุลละนี้
มีชื่อว่าวงกต. สมัยนั้นแล หมู่มนุษย์มีชื่อว่าโรหิตัสสะ มีอายุประมาณ
3 หมื่นปี มนุษย์ชื่อว่าโรหิตัสสะ ขึ้นวงกตบรรพตเป็นเวลา 3 วัน ลง
ก็เป็นเวลา 3 วัน สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคอรหัตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทรงพระนามว่าโกนาคมนะ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระผู้มีพระภาค-
อรหันตสัมมาสันพุทธเจ้า
พระนามว่าโกนาคมนะ มีพระสาวกคู่หนึ่ง
เป็นคู่เลิศ เป็นคู่เจริญ ชื่อว่าภิยโยสะและอุตตระ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจงดูเถิด ชื่อแห่งภูเขานี้นั้นแลอันตรธานไปแล้ว มนุษย์เหล่านั้น
ทำกาละไปแล้ว และพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นก็ปรินิพพานแล้ว
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงอย่างนี้ ฯ ล ฯ พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้.
[459] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว เวปุลลบรรพต
นี้มีชื่อว่า สุปัสสะ. สมัยนั้นแล หมู่มนุษย์ชื่อสุปนียา มีอายุประมาณ
2 หมื่นปี หมู่มนุษย์ที่ชื่อว่าสุปปิยา ขึ้นสุปัสสะบรรพตเป็นเวลา 2 วัน
ลงก็เป็นเวลา 2 วัน สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนามว่ากัสสปะ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระผู้มีพระภาคอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนามว่ากัสสปะ ได้มีพระสาวกคู่หนึ่ง เป็นคู่เลิศ
เป็นคู่เจริญ ชื่อว่ติสสะและภารทวาชะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ
จงดูเถิด ชื่อแห่งภูเขานี้นั้นแลอันตรธานไปแล้ว มนุษย์เหล่านั้นกระทำ
กาละไปแล้ว และพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นก็ปรินิพพานแล้ว
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงอย่างนี้ ฯ ล ฯ พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้.
[460] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บัดนี้แล ภูเขาเวปุลละนี้มีชื่อว่า
เวปุลละทีเดียว ก็บัดนี้หมู่มนุษย์เหล่านี้มีชื่อว่ามาคธะ หมู่มนุษย์ที่ชื่อมาคธะ
มีอายุน้อย นิดหน่อย ผู้ใดมีชีวิตอยู่นาน ผู้นั้นมีอายุเพียงร้อยปี น้อย
กว่าก็มี เกินกว่าก็มี หมู่มนุษย์ชื่อมาคธะ ขึ้นเวปุลลบรรพตเพียงครู่เดียว
และบัดนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุพธเจ้าพระองค์นี้ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
ในโลก ก็เราแลมีสาวกคู่หนึ่ง เป็นคู่เลิศ เป็นคู่เจริญ ชื่อสารีบุตรและ

โมคคัลลานะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยนั้นก็จักมี สละชื่อแห่งบรรพตนี้
จักอันตรธาน หมู่มนุษย์เหล่านี้จักทำกาละ และเราก็จักปรินิพพาน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงอย่างนี้ ไม่ยั่งยืนอย่างนี้
ไม่น่าชื่นใจอย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อ
จะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น
ดังนี้.
[460] พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยา-
กรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงตรัสพระคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
ปาจีนวังสบรรพตของหมู่มนุษย์ชื่อติวระ วงกฏ
บรรพตของหมู่มนุษย์ชื่อโรหิตัสสะ สุปัสสบรรพต
ของหมู่มนุษย์ชื่อสุปปิยา และเวปุลลบรรพตของหมู่
มนุษย์ชื่อมาคธะ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มี
อันเกิดขึ้นแลเสื่อมไปเป็นธรรมดา ครั้นเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมดับไป ความที่สังขารเหล่านั้นสงบระงับไป
เป็นสุข ดังนี้.

จบเวปุลลปัพพตสูตรที่ 10
จบทุติยวรรคที่ 2

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ



1. ทุคตสูตร 2. สุขิตสูตร 3. ติงสมัตตาสูตร
4. มาตุสูตร 5. ปิตุสูตร 6. ภาตุสูตร
7. ภคินีสูตร 8. ปุตตสูตร 9. ธีตุสูตร
10. เวปุลลปัพพตสูตร
จบอนมตัคคสังยุตที่ 3

อรรถกถาเวปุลลปัพพตสูตรที่ 10



พึงทราบวินิจฉัยในเวปุลปัพพตสูตรที่ 10 ดังต่อไปนี้.
บทว่า ภูตปุพฺพํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำเรื่องราวเรื่อง
หนึ่งในอดีตกาลมาแสดง. บทว่า สมญฺญา อุทปาทิ ได้แก่ บัญญัติ. บทว่า
จตุเหน อาโรหนฺติ นี้ ท่านกล่าวหมายถึงคนมีกำลังปานกลาง. บทว่า
อคฺคํ คือสูงสุด. บทว่า ภทฺทยุคํ คือคู่ที่ดี. บทว่า ตีเหน อาโรหนฺติ
ความว่า ได้ยินว่า แผ่นดินหนาขึ้น 1 โยชน์ ระหว่างพระพุทธเจ้าทั้งสอง
ด้วยคำมีประมาณเท่านี้. ภูเขานั้นสูง 3 โยชน์. บทว่า อปฺปํ วา ภิยฺโย
ความว่า ผู้อยู่เกินกว่า 100 ปี น้อยกว่า 10 ปีบ้าง. ผู้ที่ชื่อว่าอยู่ตลอด
100 ปี ไม่มีอีก. แต่โดยสูงสุด สัตว์มีชีวิตอยู่ได้ 60 ปีบ้าง 80 ปีบ้าง
ส่วนสัตว์ยังไม่ถึง 100 ปี ตายไปในเวลา 5 ปี หรือ 10 ปีเป็นต้นก็มี
มาก. คำนี้ว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้ากกุสันธะ บังเกิดในเวลามีอายุ
4 หมื่นปี พระผู้มีพระภาคเจ้าโกนาคมนะ บังเกิดในเวลามีอายุ 3
หมื่นปี ดังนี้ ท่านจัดให้เป็นความเสื่อมโดยลำดับ. แต่ไม่พึงทราบว่า