เมนู

สดับมาก่อนแต่นี้ อย่างนี้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร ความเกิด
ขึ้นของสังขารย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัยดังนี้ หรือในอริยสัจธรรม 4.
บทว่า จกฺขุํ เป็นต้นเป็นไวพจน์ของญาณนั่นเอง. จริงอยู่ ในที่นี้ ญาณ
นั่นแลท่านกล่าวว่า จักขุ เพราะอรรถว่าเห็น, กล่าวว่าญาณ เพราะ
อรรถว่า รู้, กล่าวว่า ปัญญา เพราะอรรถว่า รู้ชัด, กล่าวว่า
วิชชา เพราะอรรถว่า แทงตลอด, กล่าวว่า อาโลกะ เพราะอรรถว่า
สว่าง. ก็ญาณนี้นั้น พึงทราบว่า ท่านชี้แจงว่าเจือทั้งโลกิยะและโลกุตระ
ในสัจจะ 4. แม้ในนิโรธวาระ พึงทราบความโดยนัยนี้แล.

จบอรรถกถาวิปัสสีสูตรที่ 4

5. สิขีสูตรที่ 9. กัสสปสูตร



ว่าด้วยพระปริวิตกของพระพุทธเจ้า 7 องค์



[25] พระปริวิตกของพระพุทธเจ้าแม้ทั้ง 7 พระองค์ ก็พึงให้
พิสดารเหมือนอย่างนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าสิขี. . .ทรงพระนามว่าเวสสภู. . .ทรง
พระนามว่ากกุสันธ. . . ทรงพระนามว่าโกนาคมนะ. . .ทรงพระนาม
ว่ากัสสปะ1.


10. มหาศักยมุนีโคตมสูตร

2

ว่าด้วยพระปริวตกของพระบรมโพธิสัตว์



[26] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรายังเป็นพระโพธิสัตว์ ก่อน
ตรัสรู้ยังมิได้ตรัสรู้ ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า โลกนี้ถึงความยากแล้วหนอ
ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติ และอุปบัติ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่รู้

1. ข้อความที่ละไว้ เหมือนข้อ 22-24 2. อรรถกถาสูตรที่ 5-10 แก้ไว้ท้ายวรรคนี้.

ธรรมอันออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้ เมื่อไรเล่า ความออกจาก
ทุกข์ คือชราและมรณะนี้จักปรากฏ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มี
ความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี. ชราและมรณะ
ย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นเพราะกระทำไว้
ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะ
จึงมี ชราและมรณะย่อมมีเพราะชาติเป็นปัจจัย. . .เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชาติ
จึงมี. ชาติย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย. เมื่อภพมีอยู่ ชาติจึงมี. ชาติ
ย่อมมีเพราะภพเป็นปัจจัย. . . เมื่ออะไรมีอยู่ ภพจึงมี. ภพย่อมมีเพราะ
อะไรเป็นปัจจัย. เมื่ออุปาทานมีอยู่ ภพจึงมี. ภพย่อมมีเพราะอุปาทาน
เป็นปัจจัย. . . เมื่ออะไรหนอมีอยู่ อุปาทานจึงมี. อุปาทานย่อมมีเพราะ
อะไรเป็นปัจจัย. . .เมื่อตัณหามีอยู่ อุปาทานจึงมี. อุปาทานย่อมมีเพราะ
ตัณหาเป็นปัจจัย. . .เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ตัณหาจึงมี. ตัณหาย่อมมีเพราะ
อะไรเป็นปัจจัย เมื่อเวทนามีอยู่ ตัณหาจึงมี. ตัณหาย่อมมีเพราะเวทนา
เป็นปัจจัย. . .เมื่ออะไรหนอมีอยู่ เวทนาจึงมี. เวทนาย่อมมีเพราะอะไร
เป็นปัจจัย. เมื่อผัสสะมีอยู่ เวทนาจึงมี. เวทนาย่อมมีเพราะผัสสะเป็น
ปัจจัย. . .เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ผัสสะจึงมี. ผัสสะย่อมมีเพราะอะไรเป็น
เป็นปัจจัย . เมื่อสฬายตนะมีอยู่ ผัสสะจึงมี. ผัสสะย่อมมีเพราะสฬายตนะเป็น
ปัจจัย. . .เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สฬายตนะจึงมี. สฬายตนะมีอยู่เพราะ
อะไรเป็นปัจจัย. เมื่อนามรูปมีอยู่ สฬายตนะจึงมี. สฬายตนะย่อมมีเพราะ
นามรูปเป็นปัจจัย. . . เมื่ออะไรหนอมีอยู่ นามรูปจึงมี. นามรูปย่อมมี
เพราะอะไรเป็นปัจจัย. เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี. นามรูปย่อมมีเพราะ
วิญญาณเป็นปัจจัย. . .เมื่ออะไรหนอมีอยู่ วิญญาณจึงมี. วิญญาณย่อมมี

เพราะอะไรเป็นปัจจัย. เมื่อสังขารมีอยู่ วิญญาณจึงมี. วิญญาณย่อมมีเพราะ
สังขารเป็นปัจจัย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่อ
อะไรหนอมีอยู่ สังขารจึงมี. สังขารย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย. ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เรานั้น เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคายจึงได้รู้ด้วยปัญญา
ว่า เมื่ออวิชชามีอยู่ สังขารจึงมี. สังขารย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร. เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
. . .ดังพรรณนามาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วย
ประการอย่างนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสง
สว่าง ได้บังเกิดขึ้นแก่เราในธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้างเกิด
ฝ่ายข้างเกิด ดังนี้.
[27] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่อ
อะไรหนอไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ ชราและมรณะจึงดับ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้น เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคายจึงได้รู้ด้วย
ปัญญาว่า เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี. เพราะชาติดับ ชราและมรณะ
จึงดับ. . .เมื่ออะไรหนอไม่มี ชาติจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ ชาติจึงดับ เมื่อ
ภพไม่มี ชาติจึงไม่มี. เพราะภพดับ ชาติจึงดับ. . . เมื่ออุปาทานไม่มี ภพ
จึงไม่มี. เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ. . . เมื่ออะไรหนอไม่มี อุปาทาน
จึงไม่มี. เพราะอะไรดับ อุปาทานจึงดับ. เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานจึงไม่มี.
เพราะตัณหาจึงดับ อุปาทานจึงดับ. . .เมื่ออะไรหนอไม่มี ตัณหาจึงไม่มี.
เพราะอะไรดับ ตัณหาจึงดับ. เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาจึงไม่มี. เพราะ
เวทนาดับ ตัณหาจึงดับ. . . เมื่ออะไรหนอไม่มี เวทนาจึงไม่มี. เพราะ

อะไรดับ เวทนาจึงดับ. เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาจึงไม่มี. เพราะผัสสะดับ
เวทนาจึงดับ. . . เมื่ออะไรหนอไม่มี ผัสสะจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ ผัสสะ
จึงดับ. เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะจึงไม่มี. เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะ
จึงดับ. . . เมื่ออะไรหนอไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ
สฬายตนะจึงดับ. เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี. เพราะนามรูปดับ
สฬายตนะจึงดับ. . . เมื่ออะไรหนอไม่มี นามรูปจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ
นามรูปจึงดับ. เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มี. เพราะวิญญาณดับ
นามรูปจึงดับ. . . เมื่ออะไรหนอไม่มี วิญญาณจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ
วิญญาณจึงดับ. เมื่อสังขารไม่มี วิญญาณจึงไม่มี. เพราะสังขารดับ
วิญญาณจึงดับ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า
เมื่ออะไรหนอไม่มี สังขารจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ สังขารจึงดับ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้น เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคายจึงได้รู้
ด้วยปัญญาว่า เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารจึงไม่มี. เพราะอวิชชาดับ สังขาร
จึงดับ. ก็เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ. เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ. . .
ดังพรรณนามาฉะนี้ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการ
อย่างนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง
ได้บังเกิดขึ้นแก่เราในธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้างดับ ฝ่ายข้าง
ดับ ดังนี้.

จบมหาศักยมุนีโคตมสูตรที่ 10
จบพุทธวรรคที่ 1

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ



1. เทศนาสูตร 2. วิภังคสูตร 3. ปฏิปทาสูตร
4. วิปัสสีสูตร 5. สิขีสูตร 6. เวสสภูสูตร
7. กกสันธสูตร 8. โกนาคมนสูตร 9. กัสสปสูตร
10. มหาศักยมุนีโคตมสูตร.

อรรถกถาสิขีสูตรเป็นต้น (5-10)



ในสิขีสูตรที่ 5 เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
อรรถแห่งบทว่า สิขิสฺส ภิกฺขเว เป็นต้น พึงกล่าวความประกอบ
อย่างนี้ว่า สิขิสฺสปิ ภิกฺขเว. เพราะเหตุไร เพราะไม่แสดงในอาสนะ
เดียว. จริงอยู่ พระสูตรเหล่านี้ทรงแสดงไว้ในฐานะต่าง ๆ แต่เนื้อความ
เหมือนกันทุกแห่งทีเดียว ความจริง เมื่อพระโพธิสัตว์ทุก ๆ พระองค์
ประทับนั่ง ณ โพธิบัลลังก์ ผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นสมณะก็ตาม พราหมณ์ก็ตาม
เทวดาก็ตาม พรหมก็ตาม ไม่ได้บอกว่า พระโพธิสัตว์ในอดีตพิจารณา
ปัจจยาการแล้วเป็นพระพุทธเจ้า. เหมือนอย่างว่า พระพุทธเจ้าพระองค์
หลัง ๆ ย่อมดำเนินไปตามทางที่พระพุทธเจ้าก่อน ๆ เหล่านั้นดำเนินไป
แล้ว เหมือนเมื่อฝนตกในครั้งปฐมกัป แม้น้ำฝนก็ย่อมบ่าไปตามทางที่น้ำ
ไหลไปแล้วนั้นแหละ. จริงอยู่ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ออกจากจตุตถฌาน
อันมีลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ ทำญาณให้หยั่งลงในในปัจจยาการ
พิจารณาปัจจยาการนั้นโดยอนุโลมและปฏิโลม ย่อมเป็นพระพุทธเจ้า
ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวให้ชื่อว่า พุทธวิปัสสนา ใน 7 สูตรตามลำดับแล.

จบอรรถกถาพุทธวรรคที่ 1