เมนู

หามิได้. เพราะเหตุไร. เพราะท่านแสดงปฏิปทาโดยผล. จริงอยู่ ในที่นี้
ท่านแสดงปฏิปทาโดยผล. ความในคำว่า เพราะอวิชชานั่นแลดับไปโดย
สำรอกไม่เหลือ สังขารจึงดับนี้
มีอธิบายดังนี้ นิพพานกล่าวคือการ
ดับสนิทนี้ เป็นผลของปฏิปทาใด ภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทานี้เราเรียกว่า
สัมมาปฏิปทา. ก็ในอรรถนี้ วิราคะ ในคำว่า อเสสวิราคนิโรธา นี้
เป็นไวพจน์ของการดับสนิทนั่นเอง. ก็ในคำว่า อเสสวิราคนิโรธา นี้
เป็นไวพจน์ของการดับสนิทนั่นเอง. ก็ในคำว่า อเสสวิราคา อเสส-
นิโรธา
นี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้ อีกอย่างหนึ่ง เพื่อแสดงมรรคกล่าวคือ
วิราคะ อันเป็นเหตุดับสนิทโดยไม่เหลือ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบท
ภาชนะนี้ว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ปฏิปทาอันเป็นไปกับด้วยอานุภาพ เป็นอัน
พระองค์ทรงจำแนกแล้ว. ดังนั้น พระองค์จึงตรัสเฉพาะวัฏฏะและวิวัฏฏะ
แม้นี้เท่านั้นแล.
จบอรรถกถาปฏิปทาสูตรที่ 3

4. วิปัสสีสูตร



ว่าด้วยพระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงปริวิตก



[22] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงพระนามว่าวิปัสสี
ก่อนแต่ตรัสรู้ เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ยังมิได้
ตรัสรู้ ได้ปริวิตกว่า โลกนี้ถึงความยากแล้วหนอ ย่อมเกิด แก่ ตาย
จุติ และอุปบัติ และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่รู้ธรรมอันออกจากทุกข์ คือชรา
และมรณะนี้ เมื่อไรเล่าความออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้ จักปรากฏ.

[23] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้
มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี. ชราและ
มรณะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้นนั้นแล
พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วย
ปัญญาว่า เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี. ชราและมรณะย่อมมีเพราะ
ชาติเป็นปัจจัย. . .เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชาติจึงมี. ชาติย่อมมีเพราะภพเป็น
ปัจจัย. . .เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ภพจึงมี. ภพย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย. . .
เมื่ออุปาทานมีอยู่ ภพจึงมี. ภพย่อมมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย. . .เมื่อ
อะไรหนอมีอยู่ อุปาทานจึงมี. อุปาทานย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย. . .
เมื่อตัณหามีอยู่ อุปาทานจึงมี. อุปาทานย่อมมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย. . .
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ตัณหาจึงมี. ตัณหาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย. . .เมื่อ
เวทนามีอยู่ ตัณหาจึงมี. ตัณหาย่อมมีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย. . .เมื่ออะไร
หนอมีอยู่ เวทนาจึงมี. เวทนาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย. . .เมื่อผัสสะมี
อยู่ เวทนาจึงมี. เวทนาย่อมมีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย. . .เมื่ออะไรหนอมีอยู่
ผัสสะจึงมี. ผัสสะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย. . .เมื่อสฬายตนะมีอยู่ ผัสสะ
จึงมี. ผัสสะย่อมมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย. . . เมื่ออะไรหนอมีอยู่
สฬายตนะจึงมี. สฬายตนะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย. . . เมื่อนามรูปมีอยู่
สฬายตนะจึงมี. สฬายตนะย่อมมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย. . . เมื่ออะไร
หนอมีอยู่ นามรูปจึงมี. นามรูปย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย. . . เมื่อ
วิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี. นามรูปย่อมมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย. . .
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ วิญญาณจึงมี. วิญญาณย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย. . .
เมื่อสังขารมีอยู่ วิญญาณจึงมี. วิญญาณย่อมมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย. ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย ครั้นนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สังขารจึงมี. สังขารย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้นนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะกระทำไว้
ในใจแยกแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่ออวิชชามีอยู่ สังขารจึงมี.
สังขารย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย. เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร.
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ. . . ดังพรรณนามานี้. ความเกิดขึ้น
แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้นแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์
ในธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้างเกิด ฝ่ายข้างเกิด ดังนี้.
[24] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้
มีความปริวิตกดังนี้ เมื่ออะไรหนอไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี. เพราะ
อะไรดับ ชราและมรณะจึงดับ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระ
วิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า
เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี. เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ. . .
เมื่ออะไรหนอไม่มี ชาติจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ ชาติจึงดับ. เมื่อ
ภพไม่มี ชาติจึงไม่มี. เพราะภพดับ ชาติจึงดับ. . .เมื่ออะไรหนอไม่มี
ภพจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ ภพจึงดับ. เมื่ออุปาทานไม่มี ภพจึงไม่มี.
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ. . . เมื่ออะไรหนอไม่มี อุปาทานจึงไม่มี.
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ. . . เมื่ออะไรอหนอไม่มี ตัณหาจึงไม่มี.
เพราะอะไรดับ ตัณหาจึงดับ. เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาจึงไม่มี. เพราะ
เวทนาดับ ตัณหาจึงดับ. . .เมื่ออะไรหนอไม่มี เวทนาจึงไม่มี. เพราะ

อะไรดับ เวทนาจึงดับ. . . เมื่อผัสสะไม่มี. เวทนาจึงไม่มี เพราะผัสสะดับ
เวทนาจึงดับ. . . . เมื่ออะไรหนอไม่มี ผัสสะจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ
ผัสสะจึงดับ. เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะจึงไม่มี. เพราะสฬายตนะดับ
ผัสสะจึงดับ. . . เมื่ออะไรหนอไม่มี สฬายตนะไม่มี. เพราะอะไรดับ
สฬายตนะจึงดับ. . . เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี. เพราะนามรูป
ดับ สฬายตนะจึงดับ. . . เมื่ออะไรหนอไม่มี นามรูปจึงไม่มี. เพราะ
อะไรดับ นามรูปจึงดับ. . . เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มี. เพราะ
วิญญาณดับ นามรูปจึงดับ. . . เมื่ออะไรหนอไม่มี วิญญาณจึงไม่มี.
เพราะอะไรดับ วิญญาณจึงดับ. เมื่อสังขารไม่มี วิญญาณจึงไม่มี. เพราะ
สังขารดับ วิญญาณจึงดับ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสี
โพธิสัตว์ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอไม่มี สังขารจึงไม่มี.
เพราะอะไรดับ สังขารจึงดับ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระ
วิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า
เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารจึงไม่มี. เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ.
ก็เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ. เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ. . .
ดังพรรณนามาฉะนี้ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการ
อย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง
ได้บังเกิดขึ้นแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ในธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า
ฝ่ายข้างดับ ฝ่ายข้างดับ ดังนี้.
จบวิปัสสีสูตรที่ 4

อรรถกถาวิปัสสีสูตรที่ 4



ในวิปัสสีสูตรที่ 4 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า วิปสฺสิสฺส ความว่า ได้ยินว่า ดวงตาทั้งหลายของโลกิย-
มนุษย์ผู้มองดูอะไร ๆ ย่อมกลอกไปมา เพราะประสาทตาอันเกิดแต่กรรม
ที่บังเกิดแต่กรรมเล็กน้อย มีกำลังอ่อนเช่นใด แต่ดวงตาของพระโพธิสัตว์
นั้น หากลอกเช่นนั้นไม่ เพราะประสาทตาอันเกิดแต่กรรม บังเกิดแต่กรรม
มีกำลังมีกำลังมากพระองค์จึงมองดูด้วยดวงตาที่ไม่กลอกไม่ก็พริบนั่นแล
เหมือนเทวดาในดาวดึงส์ฉะนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระกุมาร
เพ่งดูโดยไม่กะพริบ เพราะฉะนั้น พระวิปัสสีกุมารนั้นจึงเกิดสมัญญาว่า
วิปัสสี วิปัสสี นั่นแล. จริงอยู่ ในข้อนี้ มีอธิบายดังนี้ ชื่อว่า วิปัสสี
เพราะเห็นความบริสุทธิ์ อีกอย่างหนึ่งชื่อว่า วิปัสสี เพราะเห็นด้วยทั้ง
ดวงตาที่เบิก. ก็ในที่นี้ดวงตาของพระโพธิสัตว์ทั้งหมด ผู้เกิดใน
ภพสุดท้ายย่อมไม่กลอก เพราะประสาทที่เกิดแต่กรรมอันมีกำลัง มีกำลัง
แรง. ก็พระโพธิสัตว์นั้น ย่อมได้ชื่อด้วยเหตุนั้นนั่นเอง. อีกอย่างหนึ่ง
ชื่อว่า วิปัสสี เพราะพิจารณาเห็น อธิบายว่า เพราะเลือกเฟ้นจึงเห็น.
ได้ยินว่า วันหนึ่ง อำมาตย์ทั้งหลายนำพระมหาบุรุษผู้ประดับตกแต่ง
พระวรกายแล้วมาวางไว้บนพระเพลาของพระราชาผู้ประทับนั่งพิจารณา
คดีอยู่ในศาล เมื่อพระราชาทรงพอพระทัยที่ได้มหาบุรุษนั้นอยู่บนพระ
เพลา อำมาตย์ทั้งหลายได้กระทำเจ้าของทรัพย์ไม่ให้เป็นเจ้าของทรัพย์.
พระโพธิสัตว์ทรงเปล่งเสียงแสดงความไม่พอพระทัย. พระราชาตรัสว่า
พวกท่านพิจารณาทบทวนดูที่หรือว่าเรื่องนั้นเป็นอย่างไร เรื่องนี้เป็น
เป็นอย่างไร. พวกอำมาตย์เมื่อพิจารณาทบทวน ก็ไม่เห็นกรณีเป็นอย่าง