เมนู

8. โกสัมพีสูตร



ว่าด้วยชาติเป็นปัจจัยจึงมีชราและมรณะ



[268] สมัยหนึ่ง ท่านพระมุสิละ ท่านพระปวิฏฐะ ท่าน
พระนารทะ และท่านพระอานนท์ อยู่ ณ โฆสิตาราม กรุงโกสัมพี.
[269] ครั้งนั้น ท่านพระปวิฏฐะได้กล่าวคำนี้ กะท่านพระมุสิละ
ว่า ดูก่อนท่านมุสิละ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา
ความตรึกไปตามอาการ และจากการทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฏฐิ ท่าน
มุสิละมีญาณเฉพาะตัวท่านว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จีงมีชราและมรณะ
ดังนี้หรือ.
พระมุสิละกล่าวว่า ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ
การฟังตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ และการทนต่อความเพ่งพินิจ
ด้วยทิฏฐิ ผมย่อมรู้ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา
และมรณะ. .
ป. ท่านมุสละ เว้นจากตามเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขา
ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฏฐิ ท่านมุสิละ
มีญาณเฉพาะตัวท่านว่า เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ฯลฯ เพราะ
อุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ. . . เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน. . .
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา. . . เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี
เวทนา. . . เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ. . . เพราะนามรูปเป็น
ปัจจัย จึงมีสฬายตนะ. . . เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป. . .
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ. . . เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมี
สังขารดังนี้หรือ.

ม. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขา
มา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฏฐิ ผมย่อมรู้
ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร.
[270] ป. ดูก่อนท่านมุสิละ อนึ่ง เว้นจากความเชื่อ ความ
พอใจ การมีญาณเฉพาะตัวว่า เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ
ดังนี้หรือ.
ม. ดูก่อนท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟัง
ตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฏฐิ
ผมย่อมรู้ ย่อมเห็น อย่างนี้ว่า เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ.
ป. ดูก่อนท่านมุสิละ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตาม
เขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฏฐิ ท่าน
มุสิละมีญาณเฉพาะตัวท่าน เพราะภพดับ ชาติจึงดับ ฯ ล ฯ เพราะ
อุปาทานดับ ภพจึงดับ. . . เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ. . . เพราะ
เวทนาดับ ตัณหาจึงดับ. . . เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ. . . เพราะ
สฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ. . . เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ. . .
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ. . . เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ. . .
เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ดังนี้หรือ.
ม. ดูก่อนท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟัง
ตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฏฐิ
ผมย่อมรู้ ย่อมเห็น อย่างนี้ว่า เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ.
[271] ป. ดูก่อนท่านมุสิละ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การ

ฟังตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฏฐิ
ท่านมุสิละมีญาณเฉพาะตัวท่านว่า ภพดับ เป็นนิพพานหรือ.
ม. ดูก่อนท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟัง
ตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฏฐิ
ผมย่อมรู้ ย่อมเห็น อย่างนี้ว่า ภพดับ เป็นนิพพาน.
ป. ถ้าอย่างนั้น ท่านมุสิละ ก็เป็นพระอรหันตขีณาสพ.
เมื่อพระปวิฏฐะกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านมุสิละได้นิ่งอยู่.
[272] ครั้งนั้นแล ท่านพระนารทะได้กล่าวกะท่านปวิฏฐะว่า
สาธุท่านปวิฏฐะ ผมพึงได้ปัญหานั้น ท่านจงถามปัญหาอย่างนั้น ผม
จะแก้ปัญหานั้นแก่ท่าน ท่านปวิฏฐะกล่าวว่า ท่านนารทะได้ปัญหานั้น
ผมขอถามปัญหานั้นกะท่านนารทะ และขอท่านนารทะจงแก้ปัญหานั้น
แก่ผม ดูก่อนท่านนารทะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตาม
เขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฏฐิ ท่าน
นารทะ
มีญาณเฉพาะตัวท่านว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
ดังนี้หรือ.
นา. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขา
มา ความตรึกไปตามอาการ การตนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฏฐิ ผม
ย่อมรู้ ย่อมเห็น อย่างนี้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ.
ป. ท่านนารทะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขา
มา การตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฏฐิ ท่าน
นารทะ
มีญาณเฉพาะตัวท่านว่า เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ฯ ล ฯ เพราะ
อวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ดังนี้หรือ.

นา. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตาม
เขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฏฐิ ผม
ย่อมรู้ ย่อมเห็น อย่างนี้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร.
[273] ป. ดูก่อนท่านนารทะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ
การฟังตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วย
ทิฏฐิ ท่านนารทะมีญาณเฉพาะตัวท่านว่า เพราะชาติดับ ชราและมรณะ
จึงดับ ฯลฯ เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ดังนี้หรือ.
น. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตาม
เขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฏฐิ ผม
ย่อมรู้ ย่อมเห็น อย่างนี้ว่า เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ.
[274] ป. ดูก่อนท่านนารทะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ
การฟังตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วย
ทิฏฐิ ท่านนารทะมีญาณเฉพาะตัวท่านว่า ภพดับเป็นนิพพาน ดังนี้หรือ.
น. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขา
มา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฏฐิ ผม
ย่อมรู้ ย่อมเห็น อย่างนี้ว่า ภพดับเป็นนิพพาน.
ป. ถ้าอย่างนั้น ท่านนารทะ ก็เป็นพระอรหันตขีณาสพหรือ.
น. อาวุโส ข้อว่า ภพดับเป็นนิพพาน ผมเห็นดีแล้วด้วยปัญญา
อันชอบตามความเป็นจริง แต่ว่าผมไม่ใช่พระอรหัตขีณาสพ อาวุโส
เปรียบเหมือนบ่อน้ำในหนทางกันดาร ที่บ่อนั้นไม่มีเชือก โพงจะตักน้ำก็
ไม่มี ลำดับนั้น บุรุษถูกความร้อนแผดเผา เหน็ดเหนื่อย หิว ระหาย

เดินมา เขามองดูบ่อน้ำนั้น ก็รู้ว่ามีน้ำ แต่จะสัมผัสด้วยกายไม่ได้ ฉันใด
ดูก่อนอาวุโส ข้อว่า ภพดับเป็นนิพพาน ผมเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอัน
ชอบตามความเป็นจริง แต่ว่าผมให้ใช่พระอรหันตขีณาสพ ฉันนั้น
เหมือนกัน.
[275] เมื่อท่านพระนารทะกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์
ได้กล่าวกะท่านพระปวิฏฐะว่า ดูก่อนท่านปวิฏฐะ ท่านชอบพูดอย่างนี้
ท่านได้พูดอะไรกะท่านนารทะบ้าง พระปวิฏฐะกล่าวว่า ท่านอานนท์
ผมพูดอย่างนี้ ไม่ได้พูดอะไรกะท่านนารทะ นอกจากกัลยาณธรรม
นอกจากกุศลธรรม.
จบโกสัมพีสูตรที่ 8

อรรถกถาโกสัมพีสูตรที่ 8



ในโกสัมพีสูตรที่ 8 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อญฺญตฺเรว ความว่า ก็คนบางคนเชื่อต่อผู้อื่น ย่อมยึดถือ
ว่า ข้อที่ผู้นี้กล่าวนั้นเป็นความจริง ย่อมชอบใจเหตุที่ผู้อื่นนั่งคิดอยู่ เขา
ย่อมยึดถือตามความชอบใจว่า นั่นมีได้ คนหนึ่งยึดถือตามที่เล่ากันมาว่า
เรื่องเล่าลืออย่างนี้มีมานาน นั่นเป็นความจริง. เมื่อคนอื่นตรึกอยู่ ย่อม
ปรากฏเหตุเป็นอย่างหนึ่ง เขายึดถือโดยตรึกตามอาการว่า นั่นมิได้ ย่อม
ทนต่อทิฏฐิอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแก่อีกคนหนึ่ง ผู้คิดเพ่งพินิจถึงเหตุอยู่
เขาย่อมยึดถือด้วยความทนต่อการเพ่งพินิจด้วยทิฏฐิว่า นั่นมีได้. แต่
พระเถระปฏิเสธเหตุทั้ง 5 เหล่านี้ เมื่อถามถึงภาวะที่แทงตลอดด้วยญาณ