เมนู

ในปวารณสูตรท่านกล่าวว่า อนุปฺปนฺนมคฺโค ด้วยอรรถว่าไม่เป็นไป
ในสูตรนี้ท่านกล่าวว่า ปุราณมคฺโค ด้วยอรรถว่าไม่ใช้สอย. บทว่า
พฺรหฺมจริยํ ได้แก่คำสอนทั้งสิ้นซึ่งสงเคราะห์ด้วยสิกขา 3. บทว่า อิทฺธํ
ได้แก่เจริญ คือภิกษาหาง่าย ด้วยความยินดีในฌาน. บทว่า ผีตํ
ได้แก่แพร่หลายด้วยเหตุคืออภิญญา. บทว่า วิตฺถาริกํ ได้แก่กว้างขวาง.
บทว่า พหุชญฺญํ ได้แก่ชนส่วนมากรู้แจ้ง. บทว่า ยาวเทวมนุสฺเสหิ
สุปกาสิตํ
ความว่า พระตถาคตทรงประกาศดีแล้ว คือทรงแสดงดีแล้ว
ในระหว่างนี้ ตลอดถึงพวกเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายที่มีกำหนดในหมื่น
จักรวาลแล.
จบอรรถกถานครสูตรที่ 5

6. สัมมสสูตร



ว่าด้วยการพิจารณาปัจจัยภายใน



[254] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กัมมาสทัมมนิคม
ของชาวกุรุ ณ กุรุชนบท. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้
มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย เมื่อพิจารณา
ย่อมพิจารณาปัจจัยภายในบ้างหรือไม่ เมื่อพระองค์ตรัสถามอย่างนี้แล้ว
มีภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลเนื้อความนี้ขึ้นแด่พระองค์ว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ข้าพระองค์เมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาปัจจัยภายในพระเจ้าข้า
พระองค์จึงตรัสถามว่า เธอเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาปัจจัยภายใน

อย่างไร ทันใดนั้นแล ภิกษุรูปนั้นก็ทูลเล่าถวายให้ทรงทราบ แต่ก็ไม่
ถูกพระหฤทัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
[255] เมื่อพระภิกษุรูปนั้นกราบทูลอย่างนั้นแล้ว ท่านพระ-
อานนท์
จึงได้กราบทูลเนื้อความนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้
มีพระภาคเจ้า
ถึงเวลาที่จะทรงแสดงเรื่องนี้แล้ว ข้าแต่พระสุคต ถึงเวลา
ที่จะทรงแสดงเรื่องนี้แล้ว พระองค์ตรัสการพิจารณาปัจจัยภายในข้อใด
ภิกษุทั้งหลายฟังการพิจารณาปัจจัยภายในข้อนั้นจากพระองค์แล้ว จักทรง
จำไว้ดังนี้ พระองค์จึงตรัสว่า อานนท์ ถ้าเช่นนั้นเธอทั้งหลายจงฟัง
จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
พระพุทธเจ้าข้า.
[256] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาซึ่งปัจจัยภายในว่า ชรา
และมรณะนี้อันใดแล ย่อมบังเกิดในโลก เป็นทุกข์หลายอย่างต่าง ๆ กัน
ชราและมรณะที่เป็นทุกข์นี้แล มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้ง มีอะไร
เป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมี ชราและมรณะจึงมี เมื่อ
เธอพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ได้อย่างนี้ว่า ชราและมรณะนี้อันใดแล ย่อม
บังเกิดขึ้นในโลก เป็นทุกข์หลายอย่างต่าง ๆ กัน ชราและมรณะที่เป็น
ทุกข์นี้แล มีอุปธิเป็นเหตุ มีอุปธิเป็นที่ตั้งขึ้น มีอุปธิเป็นกำเนิด มีอุปธิ
เป็นแดนเกิด เมื่ออุปธิมี ชราและมรณะจึงมี เมื่ออุปธิไม่มี ชราและ
มรณะก็ไม่มี เธอย่อมทราบชัดซึ่งชราและมรณะ ย่อมทราบชัดซึ่งความ
เกิดแห่งชราและมรณะ ย่อมทราบชัดซึ่งความดับแห่งชราและมรณะ และ
ย่อมทรามชัดซึ่งปฏิปทาอันสมควร เครื่องให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ

และเธอย่อมเป็นผู้ปฏิบัติตามนั้น ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติตามธรรม ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกภิกษุรูปนี้ว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์ เพื่อ
ความดับไปแห่งชราและมรณะโดยชอบทุกประการ.
[257] อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาซึ่ง
ปัจจัยภายในว่า ก็อุปธิอันนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไร
เป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมี อุปธิจึงมี เมื่ออะไรไม่มี
อุปธิจึงไม่มี เมื่อเธอพิจารณาอยู่ย่อมรู้ได้อย่างนี้ว่า อุปธิมีตัณหาเป็นเหตุ
มีตัณหาเป็นที่ตั้งขึ้น มีตัณหาเป็นกำเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด เมื่อ
ตัณหามี อุปธิจึงมี เมื่อตัณหาไม่มี อุปธิก็ไม่มี เธอย่อมทราบชัดซึ่ง
อุปธิ ย่อมทราบชัดซึ่งเหตุเกิดแห่งอุปธิ ย่อมทราบชัดซึ่งความดับแห่ง
อุปธิ ย่อมทรามชัดซึ่งปฏิปทาอันสมควรเครื่องให้ถึงความดับแห่งอุปธิ
และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติตามนั้น ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติตามธรรม ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราเรียกภิกษุรูปนี้ว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์ เพื่อความ
ดับแห่งอุปธิโดยชอบทุกประการ.
[258] อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาซึ่ง
ปัจจัยภายในว่า ก็ตัณหานี้เมื่อเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นในที่ไหน เมื่อตั้งอยู่
ย่อมตั้งอยู่ในที่ไหน เมื่อเธอพิจารณาอยู่ย่อมรู้อย่างนี้ว่า ที่ใดแล เป็นที่รัก
เป็นที่ชื่นใจในโลก ตัณหาเมื่อเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นในที่นั้น เมื่อตั้งอยู่
ย่อมตั้งอยู่ในที่นั้น ก็อะไรเล่าเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก. . . ตาเป็นที่รัก
เป็นที่ชื่นใจในโลก. . . หูเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก. . . จมูกเป็นที่รัก
เป็นที่ชื่นใจโนโลก. . . ลิ้นเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก. . . กายเป็นที่รัก
เป็นที่ชื่นใจในโลก. . . ใจเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก ตัณหานั้นเมื่อ

เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นที่ใจนั้น เมื่อตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ที่ใจนั้น.
[259] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่า
หนึ่งในอดีตกาล ได้เห็นอารมณ์อันเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลกนั้น โดย
ความเป็นของเที่ยง โดยความเป็นสุข โดยความเป็นตัวตน โดยความ
เป็นของไม่มีโรค โดยความเป็นของเกษม สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น
ชื่อว่าทำตัณหาให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดทำตัณหาให้เจริญ
ขึ้นแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าทำอุปธิให้เจริญขึ้น สมณะ
หรือพราหมณ์เหล่าใดมาทำอุปธิให้เจริญขึ้นแล้ว สมณะหรือพราหมณ์
เหล่านั้น ชื่อว่าทำทุกข์ให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดทำทุกข์ให้
เจริญขึ้นแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าไม่พ้นจากชาติ ชรา
มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เรากล่าวว่า เขา
ไม่พ้นแล้วจากทุกข์ได้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์
เหล่าใดเหล่าหนึ่งในอนาคตกาล จักเห็นอารมณ์อันเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจ
ในโลกนั้น โดยความเป็นของเที่ยง โดยความเป็นสุข โดยความเป็นตัวตน
โดยความเป็นของไม่มีโรค โดยความเป็นของเกษม สมณะหรือพราหมณ์
เหล่านั้น ชื่อว่าจักทำตัณหาให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดจัก
ทำตัณหาให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าจักทำอุปธิให้
เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดจักทำอุปธิให้เจริญขึ้น สมณะหรือ
พราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าทำทุกข์ให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด
จักทำทุกข์ให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าจักไม่พ้นไปจาก
ชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เรา
กล่าวว่าเขาจักไม่พ้นไปจากทุกข์ได้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือ

พราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในปัจจุบันนี้ เห็นอารมณ์อันเป็นที่รัก เป็นที่ชื่น
ใจในโลกนั้น โดยความเป็นของเที่ยง โดยความเป็นสุข โดยความเป็น
ตัวตน โดยความเป็นของไม่มีโรค โดยความเป็นของเกษม สมณะหรือ
พราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมทำตัณหาให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์
เหล่าใดทำตัณหาให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมทำ
อุปธิให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดทำอุปธิให้เจริญขึ้น สมณะ
หรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมทำทุกข์ให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์
เหล่าใดทำทุกข์ให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่พ้น
ไปจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส
เรากล่าวว่า เขาย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ได้เลย ดังนี้.
[260] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขันสำริดที่ใส่น้ำ ที่ถึงพร้อมด้วยสี
กลิ่น และรส แต่ว่าเจือด้วยยาพิษ ทันใดนั้น มีบุรุษเดินฝ่าความร้อนอบ
อ้าวเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามา ระหายน้ำ คนทั้งหลายจึงได้พูดกะบุรุษผู้นั้น
อย่างนี้ว่า นาย ขันสำริดที่ใส่น้ำนี้ ถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น และรส แต่ว่า
เจือยาพิษ ถ้าท่านประสงค์ก็จงดื่มเถิด เพราะว่าเมื่อดื่มน้ำนั้น ก็จักซาบ
ซ่านด้วยสีบ้าง กลิ่นบ้าง รสบ้าง ก็แหละครั้นดื่มเข้าไปแล้ว ตัวท่าน
จะถึงความตาย หรือถึงทุกข์แทบตาย เพราะการดื่มนั้นเป็นเหตุ ดังนี้
บุรุษนั้นผลุนผลันไม่ทันพิจารณาดื่มน้ำนั้นเข้าไปไม่บ้วนทิ้งเลย เขาก็พึง
ถึงความตาย หรือถึงทุกข์แทบตาย เพราะการดื่มน้ำนั้นเป็นเหตุทันที
แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งใน
อดีตกาล ได้เห็นอารมณ์อันเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก ฯ ล ฯ ใน
อนาคตกาล ฯ ล ฯ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในปัจจุบันนี้

เห็นอารมณ์อันเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลกนั้น โดยความเป็นของเที่ยง
โดยความเป็นสุข โดยความเป็นตัวตน โดยความเป็นของไม่มีโรค โดย
ความเป็นของเกษม สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมทำตัณหา
ให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าทำอุปธิให้เจริญขึ้น สมณะ
หรือพราหมณ์เหล่าใดทำอุปธิให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น
ชื่อว่าย่อมทำทุกข์ให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดทำทุกข์ให้เจริญ
ขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมไม่พ้นไปจากชาติ ชรา
มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เรากล่าวว่า เขา
ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ได้เลย ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล.
[261] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่า
หนึ่งในอดีตกาล ได้เห็นอารมณ์อันเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลกนั้น โดย
ความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นสภาพมิใช่ตัวตน
โดยความเป็นโรค โดยความเป็นภัยแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น
ชื่อว่าละตัณหาได้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดละตัณหาได้แล้ว
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าละอุปธิเสียได้ สมณะหรือพราหมณ์
เหล่าใดละอุปธิได้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าละทุกข์เสียได้
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดละทุกข์ได้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น
ชื่อว่าพ้นแล้วจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
และอุปายาสได้ เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นพ้นแล้วจาก
ทุกข์ได้ อนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในอนาคตกาล จัก
เห็นอารมณ์อันเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลกนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นสภาพมิใช่ตัวตน โดยความเป็นโรค

โดยความเป็นภัย สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นจักละตัณหาได้ ฯ ล ฯ
เรากล่าวว่า สมณหรือพราหมณ์เหล่านั้นจักพ้นจากทุกข์ ดังนี้ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในปัจจุบันกาล
ย่อมเห็นอารมณ์อันเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลกนั้น โดยความเป็นของ
ไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นสภาพมิใช่ตัวตน โดยความ
เป็นโรค โดยความเป็นภัย สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นย่อมละตัณหาได้
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดย่อมละตัณหาได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น
ชื่อว่าย่อมละอุปธิได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดย่อมละอุปธิได้ สมณะ
หรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมละทุกข์ได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด
ย่อมละทุกข์ได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมพ้นจากชาติ ชรา
มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เรากล่าวว่า สมณะ
หรือพราหมณ์เหล่านั้นย่อมพ้นจากทุกข์ได้ ดังนี้.
[262] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แก้วเหล้าที่พร้อมด้วยสี กลิ่น และ
รส แต่ว่าเจือด้วยยาพิษ ทันใดนั้น มีบุรุษเดินฝ่าความอบอ้าวเหน็ดเหนื่อย
เมื่อยล้ามา ระหายน้ำ คนทั้งหลายจึงได้พูดกะบุรุษผู้นั้นอย่างนี้ว่า นาย
แก้วเหล้าที่ถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น และรส แต่ว่าเจือด้วยยาพิษ ถ้าท่าน
ประสงค์ ก็จงดื่มเถิด เพราะว่าเมื่อดื่มเหล่านั้น ก็จักซาบซ่านด้วยสีบ้าง
กลิ่นบ้าง รสบ้าง ก็แหละครั้นดื่มเข้าไปแล้ว ตัวท่านจักถึงความตาย
หรือทุกข์แทบตาย เพราะการดื่มนั้นเป็นเหตุ ดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ลำดับนั้น บุรุษนั้นพึงคิดอย่างนี้ว่า เหล้านี้เราดื่มแล้ว เราอาจจะบรรเทา
ได้ด้วยน้ำเย็น ด้วยเนยใส ด้วนน้ำข้าวสัตตุเค็ม หรือด้วยน้ำชื่อโลณโสจิรกะ
แต่เราไม่ดื่มเหล่านั้นเลย เพราะไม่เป็นประโยชน์ มีแต่ทุกข์แก่เราช้า

นาน เขาพิจารณาดูแก้วเหล่านั้นแล้ว ไม่พึงดื่ม เขาทั้งเสีย เขาก็ไม่
เข้าถึงความตาย หรือความทุกข์แทบตาย เพราะการดื่มนั้นเป็นเหตุ
แม้ฉันนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งใน
อดีตกาล เห็นอารมณ์อันเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลกนั้น โดยความเป็น
ของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นสภาพมิใช่ตัวตน โดย
ความเป็นโรค โดยความเป็นภัยแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า
ละตัณหาได้แล้ว สมณหรือพราหมณ์เหล่าใดละตัณหาเสียได้ สมณะหรือ
พราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าสู่อุปธิได้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดละ
อุปธิเสียได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าละทุกข์ได้แล้ว สมณะ
หรือพราหมณ์เหล่าใดละทุกข์เสียได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า
พ้นแล้วจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และ
อุปายาส เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นพ้นแล้วจากทุกข์ ดังนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในอนาคตกาล
ฯ ล ฯในปัจจุบันกาล ย่อมเห็นอารมณ์อันเป็นที่รักเป็นที่ชื่นใจในโลก โดย
ความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นสภาพมิใช่ตัวตน
โดยความเป็นโรค โดยความเป็นภัย สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า
ย่อมละตัณหาได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดย่อมละตัณหาได้ สมณะ
หรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมละอุปธิได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด
ย่อมละอุปธิได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมละทุกข์ได้ สมณะ
หรือพราหมณ์เหล่าใดย่อมละทุกข์ได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า
ย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และ

อุปายาส เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นย่อมพ้นจากทุกข์ได้
ดังนี้.
จบสัมมสสูตรที่ 6

อรรถกถาสัมมสสูตรที่ 6



ในสัมมสสูตรที่ 6 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อามนฺเตสิ ความว่า ถามว่า เพราะเหตุไรจึงตรัสเรียก.
ตอบว่า เพราะพระธรรมเทศนาสุขุมนำพระไตรลักษณ์มาปรากฏ.
เล่ากันว่า ในชนบทนั้น พวกมนุษย์เป็นคนมีเหตุผล มีปัญญา
ได้ยินว่า โภชนาหารทั้งหลายในชนบทนั้นละเอียดอ่อน. เมื่อประชาชน
บริโภคโภชนาหารเหล่านั้น ปัญญาก็งอกงาม พวกเขาสามารถแทงตลอด
ธรรมกถาที่ลึกซึ่งซึ่งนำพระไตรลักษณ์มาได้ เพราะเหตุนั้นแหละ พระผู้-
มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสพระสูตรที่ลึกซึ่งแม้อื่น ๆ มีอาทิอย่างนี้คือ มหา-
สติปัฏฐานสูตร มหานิทานสูตร อาเนญชสัมมายสูตร ในทีฆนิกายและ
มัชฌิมนิกาย จูฬนิทานสูตรเป็นต้นในสังยุตตนิกาย ในชนบทนั้นทีเดียว.
บทว่า สมฺมสถ โน ได้แก่พิจารณาหนอ. บทว่า อนฺตรํ สมฺมสํ
ได้แก่พิจารณาปัจจัยในภายใน. บทว่า น โส ภิกฺขุ ภควโต จิตฺตํ
อาราเธสิ
ความว่า ภิกษุนั้นไม่พยากรณ์อย่างนั้น เมื่อพยากรณ์ด้วย
อำนาจอาการ 32 จึงไม่อาจยึดพระอัธยาศัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มี
พระประสงค์จะให้พยากรณ์ด้วยอำนาจปัจจยาการ.
บทว่า เอตทโวจ ความว่า เทศนาไม่ไปตามอนุสนธิ ได้ตรัส
คำนี้เพื่ออุเทศนาคำนั้นไปตามอนุสนธิ. บทว่า เตนหานนฺท สุณาถ นี้