จิตดวงสุดท้าย เมื่อนั้น สรีระที่ไม่มีใจครองของพระขีณาสพนั้น จักเหลือ
อยู่ เหมือนกระเบื้องหม้อแล. ก็คำว่า สรีรานิ อวสิสฺสนฺตีติ ปชานาติ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเพื่อยกความพยายามของพระขีณาสพขึ้น.
บทว่า "วิญฺญาณํ ปญฺญาเยถ วิญญาณพึงปรากฏ" ได้แก่
ปฏิสนธิวิญญาณพึงปรากฏ. บทว่า "สาธุ สาธุ ดีละ ๆ" ได้แก่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชื่นชมการพยากรณ์ของพระเถระ. บทว่า
เอวเมตํ ความว่า คำว่า เมื่ออภิสังขาร 3 อย่างไม่มี ปฏิสนธิวิญญาณ
ก็ไม่ปรากฏเป็นต้น. คำนั้นก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน. บทว่า อธิมุจฺจถ
ได้แก่ จงได้ความน้อมใจเชื่อ กล่าวคือความตกลงใจ. ข้อว่า "เอเสวนฺโต
ทุกฺขสฺส นั่นเป็นที่สุดทุกข์" ได้แก่ นี้แหละเป็นที่สุดทุกข์ในวัฏฏะ
คือ นี้เป็นข้อกำหนด ได้แก่ พระนิพพาน.
จบอรรถกถาปริวีมังสนสูตรที่ 1
2. อุปาทานสูตร
ว่าด้วยอุปาทาน
[196 ] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล. . . พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นความพอใจเนืองๆ
ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมเจริญ เพราะ
ตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะ
ภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสก-
ปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อม-
มีด้วยประการอย่างนี้.
[197] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฟกองใหญ่แห่งไม้สิบเล่มเกวียน
บ้าง ยี่สิบเล่มเกวียนบ้าง สามสิบเล่มเกวียนบ้าง สี่สิบเล่มเกวียนบ้าง
พึงลุกโพลง บุรุษใส่หญ้าแห้ง ใส่โคมัยแห้ง และใส่ไม้แห้งในไฟ
กองนั้นทุก ๆ ระยะ ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ ไฟกองใหญ่นั้น มีอาหารอย่างนั้น
มีเชื้ออย่างนั้น พึงลุกโพลงตลอดกาลนาน แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อภิกษุเห็นความพอใจเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งอุปา-
ทานอยู่ ตัณหาย่อมเจริญ ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะตัณหาเป็นปัจจัย
จึงมีอุปาทาน ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการ
อย่างนี้.
[198] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นโทษเนือง ๆ ในธรรม
ทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมดับไป เพราะตัณหา
ดับ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติ
จึงดับ เพราะชาติดับ ชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
จึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[199] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฟกองใหญ่แห่งไม้สิบเล่มเกวียน
บ้าง ยี่สิบเล่มเกวียนบ้าง สามสิบเล่มเกวียนบ้าง สี่สิบเล่มเกวียนบ้าง
พึงลุกโพลง บุรุษไม่ใส่หญ้าแห้ง ไม่ใส่โคมัยแห้ง และไม่ใส่ไม้แห้งใน
กองไฟนั้นทุก ๆ ระยะ ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ ไฟกองใหญ่นั้น
ไม่มีอาหาร พึงดับไป เพราะสิ้นเชื้อเก่า และเพราะไม่เติมเชื้อใหม่
แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อเห็นโทษเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลาย
อันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมดับฉันนั้นเหมือนกัน เพราะ
ตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ.
จบอุปาทานสูตรที่ 2
อรรถกถาอุปาทานสูตรที่ 2
พึงทราบวินิจฉัยอุปาทานสูตรที่ 2 ต่อไป.
บทว่า "อุปาทานีเยสุ อันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทาน " ได้แก่ ใน
ธรรมอันเป็นไปในภูมิ 3 อันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทาน 4. บทว่า
" อสฺสาทานุปสฺสิโน เห็นความพอใจเนือง ๆ " คือ เห็นอยู่เนือง ๆ
ซึ่งความพอใจ. บทว่า "ตตฺร" คือ ในกองไฟนั้น. บทว่า " ตทาหาโร
มีอาหารอย่างนั้น." คือ มีปัจจัยอย่างนั้น. .คำว่า "มีเชื้ออย่างนั้น" เป็น
ไวพจน์ของปัจจัยนั้นนั่นเอง. ในคำว่า "เอวเมว โข" นี้ ภพ 3
หรือที่เรียกว่า วัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ 3 บ้าง พึงเห็นว่าเหมือนกองไฟ.
ปุถุชนผู้โง่เขลา ซึ่งอาศัยวัฏฏะคือความเวียนว่ายตายเกิด เหมือนบุรุษบำเรอ
ไฟ. การทำกรรมที่เป็นกุศลและอกุศลทางทวาร 6 ด้วยอำนาจตัณหา
เป็นต้น ของปุถุชนผู้เห็นความพอใจเนือง ๆ เหมือนการใส่โคมัยแห้งเป็น
ต้น. ความบังเกิดแห่งวัฏฏะทุกข์ในภพต่อๆไป เพราะปุถุชนผู้โง่เขลาลุกขึ้น
แล้วลุกขึ้นเล่า พยายามทำกรรมตามที่กล่าวแล้ว เหมือนเมื่อหญ้าและโคมัย
เป็นต้นหมดแล้ว กองไฟก็ยังลุกโพลงอยู่เรื่อยไป เพราะใส่หญ้าและโคมัย
เหล่านั้นเข้าไปบ่อย ๆ. ข้อว่า "น กาเลน กาลํ สุกฺขานิ เจว ติณานิ