เมนู

อรรถกถาชาณุสโสณิสูตรที่ 7



ในชาณุสโสณิสูตรที่ 7 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
คำว่า ชาณุสฺโสณิ ได้แก่ มหาปุโรหิตผู้มีสมบัติ 80 โกฏิ ซึ่งได้ชื่อ
อย่างนั้นด้วยอำนาจฐานันดร.
จบอรรถกถาถชาณุสโสณิสูตรที่ 7

8. โลกายติกสูตร



ว่าด้วยโลกายตะ



[175] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล พราหมณ์ผู้
รอบรู้คัมภีร์โลกายตะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ฯลฯ
[176] ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว พราหมณ์ผู้รอบรู้คัมภีร์โลกายตะ ได้
ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าพระโคดมผู้เจริญ สิ่งทั้งปวงมีอยู่หรือหนอ.
ภ. ดูก่อนพราหมณ์ ข้อที่ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่นี้ เป็นทิฏฐิว่าด้วย
ความสืบต่อแห่งโลกที่หนึ่ง.
โล. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็สิ่งทั้งปวงไม่มีอยู่หรือ.
ภ. ดูก่อนพราหมณ์ ข้อที่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มีอยู่นี้ เป็นทิฏฐิว่า
ด้วยความสืบต่อแห่งโลกที่สอง.
โล. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สิ่งทั้งปวงมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน
หรือ.
ภ. ดูก่อนพราหมณ์ ข้อที่ว่า สิ่งทั้งปวงมีสภาพเป็นอย่างเดียว

กันนี้ เป็นทิฏฐิว่าด้วยความสืบต่อแห่งโลกที่สาม.
โล. พระโคดมผู้เจริญ ก็สิ่งทั้งปวงมีสภาพต่างกันหรือ.
ภ. ดูก่อนพราหมณ์ ข้อที่ว่า สิ่งทั้งปวงมีสภาพต่างกันนี้ เป็นทิฏฐิ
ว่าด้วยความสืบต่อแห่งโลกที่สี่ ดูก่อนพราหมณ์ ตถาคตแสดงธรรมโดย
สายกลาง ไม่เข้าใกล้ส่วนสุดทั้งสองนั้นดังนี้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ฯลฯ ความเกิดขึ้น
แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ เพราะอวิชชาดับด้วย
สำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ฯ ล ฯ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[177] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว โลกายติก-
พราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
พระธรรมเทศนาแจ่มแจ้งยิ่งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระธรรมเทศนา
แจ่มแจ้งยิ่งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของ
ที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางให้แก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ใน
ที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ ฉันใด พระองค์ทรงประกาศ
ธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระ-
องค์นี้ขอถึงท่านพระโคดมกับทั้งพระธรรมและภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอ
ท่านพระโคดมผู้เจริญ จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ
ตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

จบโลกายติกสูตรที่ 8

อรรถกถาโลกายติกสูตรที่ 8



ในโลกายติกสูตรที่ 8 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า โลกายติโก ได้แก่ผู้กระทำความคุ้นเคยในทิฏฐิว่าด้วยความ
สืบต่อแห่งโลก อันหมู่ชนผู้คุ้นเคยกันคุยกันเล่นสนุก ๆ. บทว่า เชฏฺฐเมตํ
โลกายตํ
ได้แก่ ทิฏฐิว่าด้วยความสืบต่อแห่งโลกข้อที่ 1. บทว่า โลกายตํ
ได้แก่ ความสืบต่อแห่งโลกนั่นเอง คือความสืบต่อแห่งโลกพาลปุถุชน
ได้แก่ทิฏฐิว่ามีเล็กน้อย อันบุคคลเข้าไปทรงจำว่าใหญ่ว่าลึก. ด้วยบทว่า
เอกตฺตํ นี้ พราหมณ์ชื่อ ชาณุสโสณี ถามถึงสิ่งที่มีสภาพเป็นอย่างเดียว
กันว่า เป็นสิ่งที่เที่ยงนั่นเอง. ด้วยบทว่า ปุถุตฺตํ ชาณุสโสณีพราหมณ์ถาม
ถึงสภาพที่ต่างจากภาพก่อน หมายเอาความขาดสูญว่า สิ่งทั้งปวงมีโดย
ภาวะเป็นเทวดาและมนุษย์เป็นต้นก่อน แต่ภายหลังย่อมไม่มีอีก. ในพระ
สูตรนี้ พึงทราบสัสตทิฏฐิ 2 คือ สิ่งทั้งปวงมีอยู่ 1. สิ่งทั้งปวงมีสภาวะ
เป็นอย่างเดียวกัน 1. พึงทราบอุจเฉททิฏฐิ 2 คือ สิ่งทั้งปวงไม่มี 1 สิ่ง
ทั้งปวงมีสภาวะต่างกัน 1 ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาโลกายติกสูตรที่ 8

9. ปฐมอริยสาวกสูตร



ว่าด้วยนามรูปมี ชรามรณะจึงมี



[178] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล. . . พระผู้มี-
พระภาคเจ้า
ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับมิได้มี
ความสงสัยอย่างนี้ว่า เมื่ออะไรมี อะไรจึงมีหรือหนอแล เพราะอะไรเกิด
ขึ้น อะไรจึงเกิดขึ้น เมื่ออะไรมี นามรูปจึงมี เมื่ออะไรมี สฬายตนะจึงมี