เมนู

5. มารธีตุสูตร



ว่าด้วยธิดามารมาขอบำเรอพระพุทธเจ้า



[505] ครั้งนั้นแล มารธิดาทั้ง 3 คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา
พากันเข้าไปหาพระยามารถึงที่อยู่ ครั้นแล้วจึงถามพระยามารด้วยคาถาว่า
ข้าแต่คุณพ่อ คุณพ่อมีความเสียใจ
ด้วยเหตุอะไร หรือเศร้าโศกถึงผู้ชาย
คนไหน หม่อมฉันจักผูกผู้ชายคนนั้นด้วย
บ่วง คือราคะ นำมาถวาย เหมือนบุคคล
ผูกช้างมาจากป่า ฉะนั้น ชายนั้นจักตกอยู่
ในอำนาจของคุณพ่อ.

[506] พระยามารกล่าวว่า
ชายนั้น เป็นพระอรหันต์ผู้ดำเนินไป
ดีแล้วในโลก ไม่เป็นผู้อันใคร ๆ พึงนำ
มาด้วยราคะได้ง่าย ๆ ก้าวล่วงบ่วงมารไป
แล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงเศร้าโศกมาก.

[507] ครั้งนั้นแล มารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา
จึงพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้น แล้วกราบทูลพระผู้มี
พระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉันจักขอบำเรอพระบาท
ของพระองค์.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงใส่พระทัยถึงคำของนางมารธิดา
เหล่านั้น เพราะพระองค์ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม

[508] ลำดับนั้น มารธิดา คือนางตัณหา นางอรดี นางราคา
จึงหลีกออกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วร่วมคิดกันอย่างนี้ว่า ความประสงค์
ของบุรุษมีต่าง ๆ กันแล อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรนิรมิตเพศเป็นนาง
กุมาริกาคนละร้อย ๆ.
ลำดับนั้น มารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา จึงพากัน
นิรมิตเพศเป็นนางกุมาริกาคนละร้อย ๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่
ประทับ แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระสมณะ พวก
หม่อมฉันจะขอบำเรอพระบาทของพระองค์.
พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงใส่พระทัยถึงถ้อยคำของมารธิดา เพราะ
พระองค์ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม.
[509] ลำดับนั้น มารธิดาทั้ง 3 คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา
พากันหลีกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ร่วมคิดกันอย่างนี้ว่า ความประสงค์
ของบุรุษมีต่าง ๆ กัน อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรพากัน จำแลงเพศเป็นหญิง
ยังไม่เคยคลอดบุตรคนละร้อย ๆ.
ลำดับนั้น มารธิดาทั้ง 3 คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา จึง
พากันจำแลงเพศเป็นหญิงยังไม่เคยคลอดบุตรคนละร้อย ๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้าถึงที่ประทับ แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า ข้าแต่
พระสมณะ พวกหม่อมฉันจะขอบำเรอพระบาทของพระองค์.
ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึงเลย เพราะ
พระองค์ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม.
[510] ฝ่ายนางตัณหา นางอรดี นางราคา พากันหลีกไป ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่งแล้ว ร่วมคิดกันอย่างนี้ว่า ความประสงค์ของบุรุษทั้งหลายมีต่าง ๆ

กัน อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรจำแลงเพศเป็นหญิงที่คลอดบุตรแล้วคราวเดียว
คนละร้อย ๆ
ลำดับนั้นแล นางตัณหา นางอรดี นางราคา พากันจำแลงเพศ
เป็นหญิงคลอดแล้วคราวเดียวคนละร้อย ๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่
ประทับ แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ ว่า ข้าแต่พระสมณะ พวก
หม่อมฉันจะขอบำเรอพระบาทของพระองค์.
ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึง เพราะพระ-
องค์ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม.
[511] ลำดับนั้นแล นางตัณหา นางอรดี นางราคา ฯลฯ จึงพา
กันจำแลงเพศเป็นหญิงที่คลอดบุตรแล้ว 2 คราว คนละร้อย ๆ เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ฯลฯ แม้ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็
มิได้ทรงใส่พระทัยถึง เพราะพระองค์ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลส
อย่างยอดเยี่ยม.
[512] ลำดับนั้น นางตัณหา นางอรดี นางราคา ฯลฯ จึงพากัน
จำแลงเพศเป็นหญิงกลางคน คนละร้อย ๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่
ประทับ ฯลฯ ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึงเลย
เพราะพระองค์ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม.
[513] ลำดับนั้น นางตัณหา นางอรดี นางราคา ฯลฯ จึงพากัน
จำแลงเพศเป็นหญิงผู้ใหญ่คนละร้อย ๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจนถึงที่
ประทับ ฯสฯ แม้ถึงอยู่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึง
เพราะพระองค์ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม.

[514] ลำดับนั้น มารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา
พากันหลีกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว จึงพูดกันว่า เรื่องนี้จริงดังบิดา
เราได้พูดไว้ว่า
ชายนั้นเป็นพระอรหันต์ ผู้ดำเนินไป
ดีแล้วในโลก ไม่เป็นผู้อันใคร ๆ พึงนำ
มาด้วยราคะได้ง่าย ๆ ก้าวล่วงบ่วงแห่งมาร
ไปได้แล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงเศร้าโศก
มาก.

ก็ถ้าพวกเราพึงเล้าโลมสมณะหรือพราหมณ์คนใดที่ยังไม่หมดราคะ
ด้วยความพยายามอย่างนี้ หทัยของสมณะหรือพราหมณ์คนนั้นพึงแตก หรือ
โลหิตอุ่นพึงพลุ่งออกจากปาก หรือพึงถึงกับเป็นบ้า หรือถึงความมีจิตฟุ้งซ่าน
(จิตลอย) เหมือนอย่างไม้อ้อสดอันลมพัดขาดแล้ว ย่อมหงอยเหงาเหี่ยวแห้ง
แม้ฉันใด สมณะหรือพราหมณ์นั้นพึงซูบซีดเหี่ยวแห้งไป ฉันนั้นเหมือนกัน.
ครั้นแล้ว นางตัณหา นางอรดี นางราคา พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคเจ้าถึงที่ประทับ แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนขัางหนึ่ง.
[515] นางตัณหามารธิดา ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
ท่านถูกความโศกทับถมหรือ จึงได้
มาซบเซาอยู่ในป่าอย่างนี้ ท่านเสื่อมจาก
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแล้วหรือ หรือว่ากำลัง
ปรารถนาอยู่ ท่านได้ทำความชั่วอะไร ๆ
ไว้ในบ้านหรือ เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่ทำ

มิตรภาพกับชนทั้งปวงเล่า หรือว่าท่านทำ
มิตรภาพกับใคร ๆ ไม่สำเร็จ.

[516] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
เราชนะเสนาคือปิยรูปและสาตรูป
(รูปที่รักและรูปที่พอใจ) เป็นผู้ๆ เดียวเพ่ง
อยู่ ได้รู้ความบรรลุประโยชน์ และความ
สงบแห่งหทัย ว่าเป็นความสุข.

เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ทำความเป็น
มิตรกับชนทั้งปวง และความเป็นมิตรกับ
ใคร ๆ ย่อมไม่อำนวยประโยชน์ให้แก่เรา.

[517] ลำดับนั้น นางอรดีมารธิดาได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า
ด้วยคาถาว่า
ภิกษุในพระศาสนานี้ มีปกติอยู่
ด้วยธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างไหนมา จึง
ข้ามโอฆะทั้ง 4 แล้ว เวลามิได้ข้ามโอฆะ
ที่ 6 แล้ว กามสัญญาทั้งหลายย่อมห้อม
ล้อมไม่ได้ซึ่งบุคคลผู้เพ่งฌานอย่างไหน
มาก.

[518] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
บุคคลมีกายอันสงบแล้ว มีจิตหลุด
พ้นดีแล้ว เป็นผู้ไม่มีปัจจัยอะไร ๆ เป็น
เครื่องปรุงแต่ง มีสติ ไม่มีความอาลัย ได้

รู้ตัวซึ่งธรรม มีปกติเพ่งอยู่ด้วยฌานที่ 4
อันหาวิตกมิได้ ย่อมไม่กำเริบ ไม่ซ่านไป
ไม่เป็นผู้ย่อท้อ.

ภิกษุในศาสนานี้ เป็นผู้มีปกติอยู่
ด้วยธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้มาก จึงข้าม
โอฆะทั้ง 5 ได้แล้ว บัดมิได้ข้ามโอฆะที่
6 แล้ว กามสัญญาทั้งหลายย่อมห้อมล้อม
ไม่ได้ ซึ่งภิกษุผู้เพ่งฌานอย่างนี้มาก.

[519] ลำดับนั้นแล นางราคามารธิดา ได้กราบทูลพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
พระศาสดาผู้เป็นหัวหน้าดูแลคณะ-
สงฆ์ ได้ตัดตัณหาขาดแล้วและชนผู้มี
ศรัทธาเป็นอันมาก จักประพฤติตามได้
แน่แท้ พระศาสดานี้เป็นผู้ไม่มีความอาลัย
ได้ตัดขาดจากมือมัจจุราชแล้ว จักนำหมู่
ชนเป็นอันมาก ไปสู่ฝั่งพระนิพพาน.

[520] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ตถาคตมีความแกล้วกล้าใหญ่ ย่อม
นำสัตว์ไปด้วยพระสัทธรรมแล เมื่อตถาคต
นำไปอยู่โดยธรรม ไฉนความริษยาจะพึงมี
แก่ท่านผู้รู้เล่า.

[521] ลำดับนั้นแล มารธิดาทั้ง 3 คือ นางตัณหา นางอรดี นาง-
ราคาพากันเข้าไปหาพระยามารถึงที่อยู่.
พระยามารเห็นมารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา มาแต่
ไกล ครั้นเห็นแล้ว ได้กล่าวพ้อด้วยคาถาทั้งหลายว่า
พวกคนโง่พากันทำลายภูเขาด้วยก้าน
บัว ขุดภูเขาด้วยเล็บเคี้ยวเหล็กด้วยฟันทั้ง
่ หลาย ท่านทั้งหลายจะทำพระโคดมให้
เบื่อเข้าต้องหลีกไป เป็นประดุจบุคคลวาง
หินไว้บนศีรษะแล้วแทรกลงไปในบาดาล
หรือดุจบุคคลเอาอกกระแทกตอฉะนั้น.

พระศาสดาได้ขับไล่นางตัณหา นาง
อรดี และนางราคา ผู้มีรูปน่าทัศนายิ่ง
ซึ่งได้มาแล้วในที่นั้นให้หนีไป เหมือนลม
พัดปุยนุ่น ฉะนั้น.

จบมารธีตุสูตร
จบตติยวรรคที่ 3

อรรถกถามารธีตุสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในมารธีตุสูตรที่ 5 ต่อไป :-
บทว่า อุปสงฺกมึสุ ความว่า ธิดามารเห็นบิดาเอาไม้ขีดพื้นดิน
เหมือนเด็กเลี้ยงโค คิดว่าบิดานั่งเสียใจยิ่งนัก มีเหตุอะไรหนอ จำเราจักถาม
ถึงเหตุ จึงรู้ได้แล้ว จึงเข้าไปหา.
บทว่า โสจสิ ได้แก่คิดแล้ว. บทว่า อรญฺญมิว กุญฺฃรํ ความ
ว่า เปรียบเหมือนเหล่าช้างพังอันเป็นช้างต่อที่ควาญช้างส่งไป ประเล้าประโลม
ช้างป่าด้วยการแสดงมายาหญิง ผูกพันนำมาจากป่าฉันใด พวกเราก็จักนำบุรุษ
นั้นมาฉันนั้น. บทว่า มารเธยฺยํ ได้แก่ วัฏฏะที่เป็นไปในภูมิ 3.
บทว่า อุปสงฺกมึสุ ความว่า ธิดามารปลอบบิดาว่า ท่านจงคอยสัก
หน่อยเถิด พวกเราจักนำบุรุษนั้น มาแล้วจึงเข้าไปเฝ้า. บทว่า อุจฺจาวจา
ได้แก่ต่าง ๆ อย่าง. บทว่า เอกสตเอกสตํ ได้แก่ แปลงตัวเป็นหญิงสาว
หนึ่งร้อย โดยนัยนี้ คือ ธิดาแต่ละคนแปลตัวเป็นหญิงสาวคนล่ะ 100 พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสเฉพาะพระอรหัตเท่านั้น ด้วยสองบทว่า อตฺถสฺส ปตฺตึ
หทยสฺส สนฺตึ.
บทว่า เสนํ ได้แก่ กองทัพกิเลส. จริงอยู่กองทัพกิเลสนั้น
ชื่อว่าปิยรูป สาตรูป น่ารักน่าชื่นใจ. บทว่า เอกาหํ ฌายํ ได้แก่ เราเพ่ง
ฌานอยู่ผู้เดียว. บทว่า สุขมานุโพธฺยํ ได้แก่เสวยสุขในพระอรหัตท่านอธิบาย
ไว้ดังนี้ว่า เรารู้จักกองทัพปิยรูปสาตรูปเพ่งฌานอยู่ผู้เดียว เสวยสุขในพระอรหัต
ที่นับได้ว่าบรรลุถึงประโยชน์เป็นธรรมสงบแห่งใจ เพราะฉะนั้น เราจึง
ไม่ทำความชื่นชมฉันมิตรกับชน ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ พยาน [ความเป็นมิตร]
ของเราจึงไม่ถึงพร้อมแม้ด้วยการไม่กระทำ.