เมนู

5. รามเณยยกสูตร



ว่าด้วยภูมิสถานอันน่ารื่นรมย์



[920] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.
ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นแล้วทรงถวายบังคมแล้วประทับอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ประทับ
เรียบร้อยแล้ว ได้ตรัสถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า สถานที่เช่นไรหนอ เป็น
ภูมิสถานอันน่ารื่นรมย์.
[921] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า
อารามอันวิจิตร ป่าอันวิจิตร สระ
โบกขรณีที่สร้างอย่างดี ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่
16 อันแบ่งออก 16 ครั้ง แห่งภูมิสถาน
อันรื่นรมย์ของมนุษย์ พระอรหันต์ทั้งหลาย
อยู่ในที่ใด เป็นบ้านหรือป่าก็ตาม เป็น
ที่ลุ่มหรือที่ดอนก็ตาม ที่นั้นเป็นภูมิสถาน
อันน่ารินรมย์.

อรรถกถารามเณยยกสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในรามเณยยกสูตรที่ 5 ต่อไปนี้ :-
บทว่า อารามเจตฺยา ได้แก่ เจดีย์ในสวน. บทว่า วนเจตฺยา
ได้แก่ เจดีย์ที่ภูเขาและป่า. แม้ในบททั้งสองนั้น พึงทราบว่า ชื่อว่า เจดีย์
เพราะอรรถว่า ทำให้เกิดความเคารพ. บทว่า มนุสฺสรามเณยฺยสฺส คือ
ความเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ของมนุษย์. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะ
ทรงแสดงถึงพื้นที่อันน่ารื่นรมย์ด้วยสามารถเป็นพื้นที่อันน่ารื่นรมย์ของมนุษย์
จึงตรัสว่า คาเม วา ดังนี้เป็นต้น .
จบอรรถกถารามเณยยกสูตรที่ 5

6. ยชมานสูตร



ว่าด้วยทานที่ให้ในอริยสงฆ์มีผลมาก



[922] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ
กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นทรงถวายบังคมแล้ว ประทับอยู่ ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง.
[923] ท้าวสักกะจอมเทพประทับ ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง เรียบร้อย
แล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
เมื่อมนุษย์ทั้งหลายผู้เป็นสัตว์
ปรารถนาบุญบูชาอยู่ กระทำบุญมีอุปธิ