เมนู

9. ปฐมสุกกาสูตร



ว่าด้วยยักษ์สรรเสริญสุกกาภิกษุณี



[832] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน
อันเป็นที่ให้เหยื่อแก่กระแต กรุงราชคฤห์.
สมัยนั้นแล ภิกษุณีชื่อสุกกา อื่นบริษัทใหญ่แวดล้อมแสดงธรรมอยู่.
[833] ครั้งนั้นแล ยักษ์ผู้เลื่อมใสยิ่งในสุกกาภิกษุณีจากถนนนี้ไปยัง
ถนนโน้น จากตรอกนี้ไปยังตรอกโน้น ในกรุงราชคฤห์ ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้
ในเวลานั้นว่า
มนุษย์ทั้งหลายในกรุงราชคฤห์ ไม่
เข้าไปนั่งใกล้สุกกาภิกษุณี ผู้แสดงอมต-
บทอยู่ มัวทำอะไรกัน เป็นผู้ประดุจดื่ม
น้ำผึ้งหอมแล้วก็นอน ก็แลอมตบทนั้น
ใครจะคัดค้านไม่ได้ เป็นของไม่ได้เจือ
ปรุง แต่มีโอชา ผู้มีปัญญาคงได้ดื่ม
อมตธรรม เหมือนคนเดินทางได้ดื่มน้ำฝน
ฉะนั้น.

อรรถกถาปฐมสุกกาสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในปฐมสุกกาสูตรที่ 9 ต่อไปนี้ :-
บทว่า รถิกาย รถิกํ ความว่า เมื่อถือเอาถนนสายหนึ่ง ไปจาก
ถนนสายนั้น ยังถนนอีกสายหนึ่ง ได้ชื่อว่า จากถนนหนึ่งเข้าไปหาถนนหนึ่ง.
แม้ในตรอก ก็มีนัยนี้แล. ก็บทว่า รถิกา ในบทว่า รถิกาย นี้ แปลว่า
ถนน. บทว่า สิงฺฆาฏกํ แปลว่า ทางสี่แพร่ง. บทว่า กิมฺเม กตา ความว่า
มนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น ทำอะไรกัน คือทำอะไรอยู่. บทว่า มธุปิตาว เสยเร
ความว่า ย่อมนอนเหมือนดื่มน้ำผึ้งมีกลิ่นหอม. นัยว่า คนดื่มน้ำผึ้งมีกลิ่นหอม
ไม่สามารถจะยกศรีษะขึ้นได้ นอนไม่รู้สึกเลย เพราะฉะนั้น ยักษ์จึงกล่าวอย่างนี้.
บทว่า ตญฺจ ปน อปฺปฏิวานียํ ความว่า ก็แล สุกกาภิกษุณี
แสดงธรรมนั้น ใครจะคัดค้านไม่ได้. แท้จริง โภชนะข้างนอก แม้จะอร่อยจริง
แต่ย่อมไม่ชอบใจแก่คนที่บริโภคบ่อย ๆ พึงถูกห้าม คือ พึงถูกนำออกด้วย
คำว่า ท่าน จงนำไปเถิด ประโยชน์อะไรด้วยโภชนะนี้เล่า ธรรมนี้หาเป็น
อย่างนั้นไม่. แท้จริง บัณฑิตทั้งหลายเมื่อฟังธรรมนี้ ตลอดร้อยปีบ้าง พันปีบ้าง
ก็ยังไม่อิ่มเลย เพราะเหตุนั้น ยักษ์จึงกล่าวว่า ใครจะคัดค้านไม่ได้. บท
อเสจนกโมชวํ ได้แก่มีโอชาซึ่งไม่ได้ปรุงแต่ง เหมือนอย่างว่า แม้ข้าวปายาส
ไม่เจือปนสิ่งภายนอกเป็นต้น แต่เอาเนยใส น้ำผึ้งและน้ำตาลกรวดใส่ลงระคนให้
เข้ากันแล้ว ย่อมมีโอชารสอร่อยฉันใด ธรรมนี้หาเป็นฉันนั้นไม่. ก็ธรรมนี้
เป็นธรรมไพเราะและมีโอชาตามธรรมดาของตน จะเอาสิ่งอื่นมาใส่เข้าไป