เมนู

3. สูจิโลมสูตร



ว่าด้วยราคะและโทสะมีอัตภาพเป็นเหตุ



[807] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับบนเตียงชนิดมีเท้าตรึง
ติดกับแม่แคร่ อันเป็นที่ครอบครองของสูจิโลมยักษ์ ในบ้านคยา.
สมัยนั้นแล ยักษ์ขอขระและยักษ์ชื่อสูจิโลมะเดินผ่านเข้าไปไม่ไกล
พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ครั้งนั้นแล ยักษ์ชื่อขระได้พูดกับสูจิโลมยักษ์ว่า นั่นสมณะ.
นั่นไม่ใช่สมณะ เป็นสมณะน้อย แต่จะเป็นสมณะหรือสมณะน้อย
เราพอจะรู้ได้.
[808] ครั้งนั้นแล สูจิโลมยักษ์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
น้อมกายเข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระเถิบถอยพระกายไปเล็กน้อย.
ครั้งนั้นแล สูจิโลนยักษ์ได้ถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านกลัวเรา
หรือ ? สมณะ.
อาวุโส เราไม่กลัวท่านเลย แต่สัมผัสของท่านเลวทราม.
สมณะ เราจักถามปัญหากะท่าน ถ้าท่านไม่กล่าวแก้แก่เรา เราจัก
ทำจิตของท่านให้พลุ่งพล่าน หรือจักฉีกหัวใจของท่าน หรือจักจับที่เท้าแล้ว
เหวี่ยงไปฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำคงคา.
อาวุโส เราไม่เห็นใครเลยในโลก ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ที่จะพึงทำจิตของเรา
ให้พลุ่งพล่าน หรือฉีกหัวใจเรา หรือจับเราที่เท้าแล้วเหวี่ยงไปฝั่งโน้นแห่ง
แม่น้ำคงคาได้ อาวุโส เอาเถอะ ท่านจงถามตามที่ท่านจำนงเถิด.

[809] สูจิโลมยักษ์ จึงถามว่า
ราคะและโทสะ มีอะไรเป็นเหตุ ความ
ไม่ยินดี ความยินดี และความสยดสยองเกิด
แต่อะไรความตรึกในใจเกิดแต่อะไร แล้ว
ดักจิตไว้ได้เหมือนพวกเด็กดักกา ฉะนั้น.

[810] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ราคะและโทสะมีอัตภาพนี้เป็นเหตุ
ความไม่ยินดี ความยินดี และความสยด-
สยองเกิดแต่อัตภาพนี้ ความตรึกในใจเกิด
แต่อัตภาพนี้แล้ว ดักจิตไว้ได้ เหมือน
พวกเด็กดักกา ฉะนั้น.
อกุศลวิตกเป็นอันมาก เกิดแต่ความ
เยื่อใยคือตัณหา เกิดขึ้นในตนแล้วแผ่ซ่าน
ไปในวัตถุกามทั้งหลาย เหมือนย่านไทร
เกิดแต่ลำต้นไทรแล้วปกคลุมป่าไป ฉะนั้น.
ชนเหล่าใดย่อมรู้อัตภาพนั้นว่า เถิด
แต่สิ่งใด ชนเหล่านั้นย่อมบรรเทาเหตุ
เกิดนั้นเสียได้ ดูก่อนยักษ์ ท่านจงฟัง
ชนเหล่านั้นย่อมข้ามห้วงกิเลสนี้ ซึ่งห้าม
ได้ยาก และไม่เคยข้าม เพื่อความไม่มีภพ
อีกต่อไป.

อรรถกถาสูจิโลมสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในสูจิโลมสูตรที่ 3 ต่อไปนี้ :-
บทว่า คยายํ คือในบ้านคยา. อธิบายว่า เข้าไปอาศัยบ้านที่ตั้งไม่
ไกลจากคยา. บทว่า ฏงฺกิตมญฺเจ ความว่า เตียงที่เท้ายาวคือเตียงที่เขาเจาะ
ในท่ามกลางสอดทำด้วยแม่แคร่. เตียงนั้นไม่มีคำว่า นี้ข้างบน นี้ข้างล่าง. เตียง
นั้นจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นนั้นก็ได้ตามต้องการ. เขาย่อมตั้งเตียงนั้นไว้ในเทวสถาน
โรงเรือนที่เขาปูลาดแผ่นหินไว้บนแผ่นหิน 4 แผ่น เขาเรียกว่า เตียงซ้อนตั่ง.
บทว่า สูจิโลมสฺส คือมีชนเช่นหนามแข็ง. ได้ยินว่า ยักษ์นั้น บวชใน
ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสป มาแต่ที่ไกล มีเหงื่อไคล
ท่วมตัว ไม่ลาดเตียงของสงฆ์ที่เขาแต่งตั้งไว้ดีแล้ว นอนด้วยความไม่เอื้อเฟื้อ.
ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์นั้นได้มีการกระทำนั้น เหมือนสีดำที่ผ้าขาว. เธอไม่อาจยังคุณ
วิเศษให้เกิดขึ้นในอัตภาพนั้นได้ ทำกาละแล้วมาเกิดเป็นัยกษ์ที่ทิ้งขยะ ใกล้
ประตูบ้านคยา. ก็เมื่อเขาเกิดมาแล้ว ก็มีขนแหลมแข็งทั่วตัวคล้ายขนวัว. ต่อมา
วันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแลดูโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นยักษ์นั้น
มาสู่ครองอาวัชชนจิตครั้งแรก จึงทรงดำริว่า ยักษ์นี้เสวยทุกข์ใหญ่ตลอดพุท-
ธันดรหนึ่ง ความสวัสดีจะพึงมีแก่เขาเพราะอาศัยเราหรือไม่หนอ ทรงเห็น
อุปนิสัยแห่งมรรคเบื้องต้น. ลำดับนั้น ทรงใคร่จะทำการสงเคราะห์ยักษ์นั้น
ทรงนุ่งผ้า 2 ชั้นที่ย้อมแล้ว ห่มจีวรใหญ่ขนาดสุคตประมาณละพระคันธกุฎีดุจ
วิมานเทวดา เสด็จไปสู่ที่ทิ้งขยะ เหม็นด้วยทรากศพช้างวัวม้ามนุษย์และสุนัข
เป็นต้น ประทับนั่งในที่นั้นเหมือนนั่งในพระคันธกุฎีใหญ่.