เมนู

ภิกษุตอบว่า
ในกาลกำลังเที่ยง เมื่อนกทั้งหลาย
จับเจ่าแล้ว ความยินดีนั้นย่อมปรากฏ
แก่เรา ประดุจป่าใหญ่ส่งเสียงอยู่ฉะนั้น.


อรรถกถามัชฌันติกสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในมัชฌันติกสูตรที่ 12. คำใดควรกล่าว คำนั้น
เรากล่าวไว้แล้วในนันทนวรรค ในเทวตาสังยุต.
จบอรรถกถามัชฌันติกสูตร ที่ 12

13. ปากตินทริยสูตร



ว่าด้วยเทวดาเตือนภิกษุผู้ฟุ้งซ่าน



[793] สมัยหนึ่ง ภิกษุมากด้วยกัน พำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่งใน
แคว้นโกศล ล้วนเป็นผู้ฟุ้งซ่าน เห่อเหิม ขี้โอ่ ปากกล้า พูดเหลวไหล มีสติ
ฟั่นเฟือน ไม่รู้สึกตน ไม่หนักแน่น จิตไม่มั่นคง มีอินทรีย์อันเปิดเผย.
[794] ครั้งนั้นแล เทวดาผู้สิงอยู่ในแนวป่านั้น มีความเอ็นดูใคร่
ประโยชน์แก่ภิกษุเหล่านั้น หวังจะให้พวกเธอสังเวช จึงเข้าไปหาถึงที่อยู่
ครั้นแล้วได้กล่าวกะพวกเธอด้วยคาถาว่า

ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสาวก ของพระ-
สมณะโคดมในกาลก่อนมีปกติเป็นอยู่ง่าย
ไม่มักได้ แสวงหาบิณฑบาต [ตามได้]
ไม่มักได้แสวงหาเสนาสนะ [ตามได้] ท่าน
เหล่านั้นรู้ความไม่เที่ยงในโลกแล้ว ได้
กระทำที่สุดแห่งทุกข์แล้ว [ส่วนพวกท่าน]
ทำตนให้เป็นผู้เลี้ยงยาก ประดุจผู้เอาเปรียบ
ชาวบ้านในบ้าน กินแล้ว ๆ ก็นอนหมกมุ่น
อยู่ในเรือนของคนอื่น เราขอกระทำอัญชลี
แก่พระสงฆ์แล้ว ขอกล่าวถึงภิกษุที่ควร
กล่าวบางพวก ในพระศาสนานี้ ท่านเหล่า
นั้นถูกเขาทอดทิ้งหาที่พึ่งมิได้ เหมือน
อย่างคนที่ตายแล้ว ถูกเขาทอดทิ้งไว้ใน
ป่าช้า ฉะนั้น เรากล่าวหมายถึงภิกษุจำพวก
ที่เป็นผู้ประมาทอยู่ แต่ท่านเหล่าใดเป็น
ผู้ไม่ประมาทอยู่ เราขอกระทำการนอบ-
น้อมแก่ท่านเหล่านั้น.

ลำดับนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้อันเทวดานั้นให้สังเวชถึงซึ่งความ
สลดใจแล้วแล.

อรรถกถาปากตินทริยสูตรที่ 13


ปากตินทริยสูตรที่ 13 มีพิสดารอยู่ในชันตุเทวปุตตสูตร ในเทวปุตต-
สังยุต.