เมนู

ชิตได้ ความหลับจะแผดเผาบรรพชิตผู้
ไม่มีโศก ไม่มีความแค้นใจ เพราะทำลาย
อวิชชาเสียด้วยวิชชา และเพราะอาสวะ
สิ้นไปหมดแล้วอย่างไรได้ ความหลับจะ
แผดเผาบรรพชิตผู้ปรารภความเพียร ผู้มี
ตนอันส่งไปแล้ว ผู้บากบั่นมั่นเป็นนิตย์
ผู้จำนงพระนิพพานอยู่อย่างไรได้.


อรรถกถาอุปัฏฐานสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในอุปัฏฐานสูตรที่ 2 ต่อไปนี้ :-
บทว่า สุปติ ความว่า ได้ยินว่า ภิกษุนี้เป็นพระขีณาสพท่านไปสู่
หมู่บ้านที่ภิกษาจารในที่ไกล กลับมาแล้ว เก็บบาตรและจีวรไว้ในบรรณศาลา
ลงสระที่เกิดเองในที่ไม่ไกล พอให้ตัวแห้งแล้ว กวาดที่พักกลางวัน ตั้งเตียง
ต่ำไว้ในที่นั้นแล้วหลับ. จริงอยู่ แม้พระขีณาสพก็มีความกระวนกระวายทางกาย
เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวคำที่ใช่อยู่ในปัจจุบัน เพื่อบรรเทาความ
กระวนกระวายทางกายนั้นว่า หลับ. บทว่า อชฺฌภาสิ ความว่า เทวดาเข้า
ใจว่า ภิกษุนี้เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระศาสดาแล้วหลับกลางวัน ก็แล
ชื่อว่า การหลับกลางวันนั้นเจริญขึ้น แม้จะยังประโยชน์ที่เป็นไปในปัจจุบัน.
และที่เป็นไปในชาติหน้านั้นให้ฉิบหาย คิดว่า เราจักเตือนท่าน จึงได้กล่าว.
บทว่า อาตุรสฺส ความว่า ความเดือนร้อนมี 3 อย่าง คือ เดือดร้อน
ด้วยความแก่ เดือดร้อนด้วยความเจ็บป่วย เดือนร้อนด้วยกิเลส ท่านกล่าวหมาย

ถึงความเดือดร้อนด้วยกิเลสในความเดือนร้อน 3 นั้น. บทว่า สลฺลวิทฺธสฺส
ความว่า แทงที่หัวใจด้วยลูกศรคือตัณหาที่ถูกซัดไปด้วยอวิชชา เหมือนถูกแทง
ด้วยลูกศรคือหอกที่อาบด้วยยาพิษ. บทว่า รุปฺปโต แปลว่า ถูกเสียดสี. บัดนี้
เมื่อเทวดาจะกล่าวถึงโทษในกามของภิกษุนั้น จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า "ไม่เที่ยง".
ในบทเหล่านั้น บทว่า อสิตํ คือ ไม่อาศัยด้วยตัณหานิสัยและทิฏฐินิสัย.
บทว่า กสฺมา ปพฺพชิตํ ตเป ความว่า ท่านย่อมกล่าวว่า การหลับกลางวัน
ย่อมไม่เผาพระขีณาสพเห็นปานนี้ ก็แลเพราะเหตุไร จักไม่เผาพระขีณะสพเช่น
นั้น. ก็เพราะนี่เป็นคำของพระเถระ. นี้เป็นเนื้อความในข้อนี้ว่า. เมื่อถูกผูกแล้ว
การหลับกลางวัน จะพึงทำบรรพชิตผู้ไม่มีอาสวะเช่นเรา ผู้หลุดแล้ว หมดกิเลส
จะพึงร้อน ก็ไม่ร้อนเพราะเหตุไร. แม้ในคาถาที่เหลือก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน.
จริงอยู่ ในฝ่ายถ้อยคำของเทวดามีอรรถว่า ความหลับกลางวัน ย่อมไม่เผา
บรรพชิตผู้ไม่มีอาสวะเช่นนี้ ก็แลเพราะเหตุไร จักไม่เผาบรรพชิตเช่นนั้น.
ในฝ่ายถ้อยคำของพระเถระมีอรรถว่า การหลับกลางวัน จะพึงเผาบรรพชิตผู้
ไม่มีอาสวะเช่นเราเห็นปานนี้ ก็ชื่อว่า ไม่เดือดร้อน เพราะเหตุไร. แต่นี้เป็น
การพรรณนาบทที่ลึกซึ้งในข้อนี้.
บทว่า วินยา แปลว่า เพราะกำจัด. บทว่า สมติกฺกมา แปลว่า
เพราะก้าวล่วงอวิชชาที่เป็นรากเง่าของวัฏฏะ. บทว่า ตํ ญาณํ ได้แก่ รู้สัจจะ
4 นั้น. บทว่า ปรโมทาตํ ได้แก่ บริสุทธิ์อย่างยิ่ง. บทว่า ปพฺพชิตํ
คือ บรรพชิตผู้ประกอบด้วยความรู้เห็นปานนี้. บทว่า วิชฺชาย คือ วิชชา
ในมรรคที่ 4. บทว่า อารทฺธวิริยํ คือ ประคองความเพียรไว้แล้ว มีความ
เพียรบริบูรณ์แล้ว.
จบอรรถกถาอุปัฏฐานสูตรที่ 2

3. กัสสปโคตตสูตร



ว่าด้วยพระกัสสปโคตรกล่าวสอนพรานเนื้อ



[766] สมัยหนึ่ง ท่านพระกัสสปโคตร พำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่ง
ในแคว้นโกศล สมัยนั้นแล ท่านอยู่ในที่พักกลางวัน กล่าวสอนนายพรานเนื้อ
คนหนึ่ง.
[767] ครั้งนั้น เทวดาผู้สิงอยู่ในป่านั้น มีความเอ็นดูใคร่ประโยชน์
แก่ท่านพระกัสสปโคตร หวังจะให้ท่านสลดใจจึงเข้าไปหา แล้วได้กล่าวกะท่าน
ด้วยคาถาว่า
ภิกษุผู้กล่าวสอนนายพรานเนื้อซึ่ง
เที่ยวไปตามซอกเขาผู้ทรามปัญญาไม่รู้เท่า
ถึงการณ์ ในกาลอันไม่ควร ย่อมปรากฏแก่
เราประดุจคนเขลา เขาเป็นคนพาลถึงฟัง
ธรรมอยู่ก็ไม่เข้าใจเนื้อความ แสงประทีป
โพลงอยู่ก็ไม่เห็น เมื่อท่านกล่าวธรรม
อยู่ ย่อมไม่รู้เนื้อความ ข้าแต่ท่านกัสสป
ถึงแม้ท่านจักทรงประทีปอันโพลงตั้ง 10
ดวง เขาก็จักไม่เห็นรูป เพราะจักษุ (คือ
ญาณ) ของเขาไม่มี.

ลำดับนั้น ท่านกัสสปโคตร ผู้อันเทวดานั้นให้สังเวช ถึงซึ่งความสลด
ใจแล้ว.