เมนู

ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะ ลุกขึ้นจากอาสนะ ทำผ้าห่มเฉวียงบ่า
ข้างหนึ่ง ประณมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่แล้ว ได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้อแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เนื้อความนี้ย่อมแจ่มแจ้งกะ
ข้าพระองค์ ข้าแต่พระสุคต เนื้อความนี้ย่อมแจ่มแจ้งกะข้าพระองค์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า เนื้อความนั่น จงแจ่มแจ้งกะเธอเถิด
วังคีสะ.
[759] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะ ได้ชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้า
ณ ที่เฉพาะพระพักตร์ ด้วยคาถาอันสมควรว่า
พระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งปราศจาก
มลทิน ย่อมแจ่มกระจ่างในท้องฟ้า ซึ่ง
ปราศจากเมฆฝน ฉันใด ข้าแต่พระองค์
ผู้มีพระรัศมีซ่านออกแต่พระสรีรกาย ผู้
เป็นมทามุนี พระองค์ย่อมรุ่งเรืองล่วง
สรรพสัตว์โลก ด้วยพระยศ ฉันนั้น ดังนี้.

อรรถกถาคัคคราสูตร


ในคัคคราสูตรที่ 11 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ตฺยาสฺสุทํ ตัดบทเป็น เต อสฺสุทํ. คำว่า อสฺสุทํ เป็น
เพียงนิบาต. บทว่า วณฺเณน ได้แก่ สีแห่งสรีระ. บทว่า ยเสน ได้แก่
ด้วยบริวาร. บทว่า วีตมโลว ภานุมา ได้แก่ เหมือนพระอาทิตย์ปราศจาก
มลทิน.
จบอรรถกถาคัคคราสูตรที่ 11

12. วังคีสสูตร



ว่าด้วยพระวังคีสะภาษิตคาถา



[760] สมัยหนึ่ง ท่านพระวังคีสะ อยู่ที่พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.
ก็สมัยนั้นแล ท่านพระวังคีสะ เป็นผู้บรรลุพระอรหัตแล้วไม่นาน
เสวยวิมุตติสุขอยู่ ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ในเวลานั้นว่า
ในกาลก่อน เราเป็นผู้มัวเมาด้วย
ความเป็นกวี ได้เที่ยวไปแล้ว สู่บ้าน
จากบ้าน สู่เมืองจากเมือง ครั้นเราได้เห็น
พระสัมพุทธเจ้า ศรัทธาจึงบังเกิดขึ้น
แก่เรา พระสัมพุทธเจ้านั้น ได้ทรงแสดง
ธรรมคือขันธ์ อายตนะ ธาตุแก่เรา เรา
ได้ฟังธรรมของพระองค์แล้ว ก็บรรพชา
เป็นผู้หาเรือนมิได้ พระมุนีได้ตรัสรู้พระ-
โพธิญาณ เพื่อประโยชน์แก่ประชุมชน
เป็นะอันมากแก่ภิกษุ และภิกษุณีทั้งหลาย
ผู้ได้ถึง ได้เห็นนิยามธรรม การมาของเรา
ในสำนักของพระพุทธเจ้าของเรา เป็นการ
มาดีจริงหนอ วิชชา 3 อันเราได้บรรลุ
แล้วโดยลำดับ พระศาสนาของพระพุทธ-