เมนู

อรรถกถาสารีปุตตสูตร



ในสารีปุตตสูตรที่ 6 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า โปริยา ได้แก่บริบูรณ์ด้วยอักขระและบท. บทว่า วิสฏฺฐาย
ได้แก่ อันโรคไม่เกี่ยวเกาะไม่พัวพัน. ก็เมื่อพระธรรมเสนาบดีกล่าว ย่อมมี
ถ้อยคำไม่พัวพันด้วยโรคดีเป็นต้น ย่อมเปล่งเสียง เหมือนเสียงจากกังสดาล
ที่ถูกเคาะด้วยท่อนเหล็ก. บทว่า อเนลคฬาย ได้แก่ไม่มีโทษไม่คลาดเคลื่อน
คือปราศจากโทษและมีบทพยัญชนะไม่คลาดเคลื่อน. จริงอยู่ เมื่อพระเถระพูด
บทหรือพยัญชนะไม่เสื่อมเสีย. บทว่า อตฺถสฺส วิญฺญาปนิยา ได้แก่สามารถ
ทำผู้พึงให้รู้เนื้อความแจ่มแจ้ง. บทว่า ภิกฺขุนํ คือ แก่ภิกษุทั้งหลาย.
บทว่า สงฺขิตฺเตนปิ ความว่า พระสารีบุตรเถระแสดงโดยย่ออย่าง
นี้บ้างว่า อาวุโส อริยสัจ 4 เหล่านี้ อริยสัจ 4 คืออะไรบ้าง คือทุกขอริยสัจ
ฯลฯ อาวุโส อริยสัจ 4 เหล่านี้แล เพราะเหตุนั้นแหละ อาวุโส เธอพึงทำ
ความเพียรว่า นี้ทุกขอริยสัจ. บทว่า วิตฺถาเรนปิ ความว่า พระสารีบุตร
เมื่อจะจำแนกอริยสัจ 4 เหล่านั้น จึงกล่าวแม้โดยพิสดารโดยนัยมีอาทิว่า
อาวุโส ทุกขอริยสัจเป็นไฉน ดังนี้ . แม้ในเทศนาขันธ์เป็นต้นก็นัยนี้เหมือน
กัน. บทว่า สาลิกา วิย นิคฺโฆโส ความว่า เมื่อพระเถระแสดงธรรม
ย่อมมีเสียงไพเราะกังวาน เหมือนเสียงของนางนกสาลิกาที่ลิ้มมะม่วงสุกมีรสหวาน
กระพือปีกเปล่งเสียงไพเราะ. บทว่า ปฏิภาณํ มุทีริยิ ความว่า ปฏิภาณเกิด
ขึ้นไม่สิ้นสุด เหมือนลูกคลื่นเกิดจากทะเล. บทว่า โอเธนฺติ ได้แก่ภิกษุเหล่า
นั้นย่อมเงี่ยโสตสดับ.
จบอรรถกถาสารีปุตตสูตรที่ 6

7. ปวารณาสูตร



ว่าด้วยการทำปวารณา



[744] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับที่พระวิหารบุพพาราม
ปราสาทของนางวิสาชาผู้เป็นมารดามิคารเศรษฐี กรุงสาวัตถี กับพระภิกษุสงฆ์
หมู่ใหญ่ ประมาณ 500 รูป ล้วนเป็นอรหันต์ทั้งหมด.
ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้อันภิกษุสงฆ์แวดล้อม
ประทับนั่งในที่แจ้ง เพื่อทรงปวารณาในวันอุโบสถที่ 15 ค่ำ.
ครั้นนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูเห็นภิกษุสงฆ์เป็นผู้นิ่งอยู่
แล้ว จึงรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอปวารณา
เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะไม่ติเตียนกรรมไร ๆ ที่เป็นไปทางกายหรือทาง
วาจาของเราบ้างหรือ.
[745] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตร
ลุกขึ้นจากอาสนะ. ทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่งแล้ว ประนมอัญชลีไปทางพระผู้
มีพระภาคเจ้าแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า
พระองค์ทงั้หลายติเตียนกรรมไร ๆ อันเป็นไปทางพระกายหรือทางพระวาจาของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้เลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะว่า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงยังทางที่ยังไม่เกิดไห้เกิดขึ้น ทรงยังทางที่ยังไม่เกิดขึ้นพร้อมให้เกิด
ขึ้นพร้อม ทรงบอกทางที่ยังไม่มีผู้บอก เป็นผู้ทรงรู้ทาง ทรงรู้แจ้งทาง ทรง
ฉลาดในทางข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สาวกทั้งหลายในบัดนี้เป็นผู้เดินตามทาง
บัดนี้แลขอปวารณาพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจะไม่ทรรงติเตียน
กรรมไร ๆ อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจาของข้าพระองค์บ้างหรือ.