เมนู

3. เปสลาติมัญญนาสูตร



ว่าด้วยการนึกดูหมิ่นภิกษุผู้มีศีล



[733] สมัยหนึ่ง ท่านพระวังคีสะอยู่ที่อัคคาฬวเจดีย์ เมืองอาฬวี
กับท่านพระนิโครธกัปปะผู้อุปัชฌาย์ ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระวังคีสะนึก
ดูหมิ่นภิกษุทั้งหลาย ผู้มีศีลเป็นที่รักเหล่าอื่น ด้วยปฏิภาณของตน
ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะมีความคิดดังนี้ว่า ไม่ใช่ลาภของเราหนอ
ไม่เป็นลาภของเราหนอ เราได้ชั่วเสียแล้วหนอ เราไม่ได้ดีเสียแล้ว หนอ
ที่เราดูหมิ่นภิกษุทั้งหลาย ผู้มีศีลเป็นที่รักเหล่าอื่น ด้วยปฏิภาณของตน ดังนี้.
[734] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะยังความวิปฏิสารให้เกิดขึ้น
แก่ตนด้วยตนเองแล้ว ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ในเวลานั้นว่า
ดูก่อนท่านโคดม ท่านจงละมานะ
เสีย ท่านจงละหนทางแห่งมานะในโลก
นี้เสีย ท่านจงเป็นผู้ละหนทางแห่งมานะ
ในโลกนี้เสีย อย่าให้มีส่วนเหลือได้
(เพราะ) หมู่สัตว์ผู้อันความลบหลู่ทำให้
มัวหมองแล้ว ย่อมเป็นผู้มีความเดือดร้อน
ตลอดกาลนาน สัตว์ทั้งหลายผู้อันมานะ
กำจัดแล้วย่อมตกนรก ชนทั้งหลายผู้อัน
มานะกำจัดแล้ว เข้าถึงนรกแล้ว ย่อม
เศร้าโศกสิ้นกาลนาน ภิกษุผู้ชำนะกิเลส
ด้วยมรรคเป็นผู้ปฏิบัติชอบ ย่อมไม่เศร้า-
โศกเลยในกาลไหน ๆ ย่อมได้รับเกียรติคุณ

และความสุข บัณฑิตทั้งหลายย่อมเรียก
ภิกษุผู้เช่นนั้นว่า เป็นผู้เห็นธรรม เพราะ-
ฉะนั้น ท่านจงเป็นผู้ไม่มีกิเลสเพียงตะปู
เครื่องตรึงใจในโลกนี้ เป็นผู้มีความเพียร
จงละนิวรณ์ทั้งหลายเสีย เป็นผู้บริสุทธิ์
และละมานะอย่าให้มีส่วนเหลือแล้ว ทำ
ที่สุดแห่งกิเลสด้วยวิชชา เป็นผู้สงบระงับ
ดังนี้.


อรรถกถาเปสลาติมัญญนาสูตร



ในเปสลาติมัญญนาสูตรที่ 3 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อติมญฺติ ความว่า ท่านพระวังคีสะดูหมิ่นว่า พระแก่ ๆ
เหล่านี้จะรู้อะไร บาลีก็ไม่รู้ อรรถกถาก็ไม่รู้ ความไพเราะของบทและ
พยัญชนะก็ไม่รู้ ส่วนพวกเรา ทั้งบาลีทั้งอรรถกถาปรากฏตั้งร้อยนัยพันนัย.
เพราะตนเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้โคตมะ จึงเรียกตนว่าโคตมะ. บทว่า
มานปถํ ได้แก่อารมณ์แห่งมานะ และธรรมที่เกิดกับมานะ. บทว่า
วิปฺปฏิสารีหุวา ความว่า ได้เป็นผู้มีความร้อนใจ. บทว่า มคฺคชิโน
ได้แก่ผู้ชนะกิเลสด้วยมรรค. บทว่า กิตฺติญฺจ สุขญฺจ ได้แก่การกล่าว
สรรเสริญ และความสุขทางกายทางใจ. บทว่า อขีโลธ ปธานวา ความว่า
ในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มีกิเลสเพียงดังตะปู มีความเพียร คือสมบูรณ์ด้วยความเพียร.
บทว่า วิสุทฺโธ ความว่า พึงเป็นผู้บริสุทธิ์. บทว่า อเสสํ ได้แก่ละมานะ