เมนู

2. อรติสูตร



ว่าด้วยการบรรเทาความกระสัน



[730] สมัยหนึ่ง ท่านวังคีสะ อยู่ที่อัคคาฬวเจดีย์ เมืองอาฬวี
กับท่านพระนิโครธกัปปะผู้เป็นอุปัชฌาย์ โดยสมัยนั้นแล ท่านพระนิโครธกัปปะ
กลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต เข้าไปสู่วิหาร ออกในเวลาเย็นบ้าง ใน
วันรุ่งขึ้นหรือในเวลาภิกษาจารบ้าง.
[731] ก็โดยสมัยนั้นแล ความกระสันบังเกิดขึ้น ความกำหนัด
รบกวนจิตของท่านพระวังคีสะ ลำดับนั้น ท่านพระวังคีสะมีความคิดดังนี้ว่า
ไม่ใช่ลาภของเราหนอ ไม่เป็นลาภของเราหนอ เราได้ชั่วเสียแล้วหนอ เรา
ไม่ได้ดีเสียแล้วหนอ ที่เราเกิดความกระสันขึ้นแล้ว ที่ความกำหนัดรบกวน
จิตเรา เราจะได้เหตุที่คนอื่น ๆ จะพึงบรรเทาความกระสันแล้วยังความยินดีให้
เกิดขึ้นแก่เรา ในความกำหนัดที่เกิดขึ้นแล้วนี้แต่ที่ไหน อย่ากระนั้นเลย เรา
พึงบรรเทาความกระสันแล้ว ยังความยินดีให้เกิดขึ้นแก่ตนด้วยตนเองเถิด.
[732] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะบรรเทาความกระสันแล้ว ยัง
ความยินดีให้เกิดขึ้นแก่ตนด้วยตนเอง ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ในเวลานั้น ว่า
บุคคลใดละความไม่ยินดี (ในศาสนา)
และความยินดี (ในกามคุณทั้งหลาย) และ
วิตกอันอาศัยเรือนโดยประการทั้งปวงแล้ว
ไม่พึงทำป่าใหญ่คือกิเลสในอารมณ์ไหน ๆ
เป็นผู้ไม่มีป่าคือกิเลส เป็นผู้ไม่น้อมใจ
ไปแล้ว ผู้นั้นแลชื่อว่าเป็นภิกษุ.

รูปอย่างใดอย่างหนึ่งในโลกนี้ ที่ตั้ง
อยู่บนแผ่นดินก็ดี ทั้งตั้งอยู่ในเวหาสก็ดี
ที่อยู่ในแผ่นดินก็ดี ย่อมทรุดโทรม เป็น
ของไม่เที่ยงทั้งหมด บุคคลทั้งหลายผู้
สำนึกตน ย่อมถึงความตกลงอย่างนี้เที่ยว
ไป.
ชนทั้งหลายเป็นผู้ติดแล้ว ในอุปธิ
ทั้งหลายคือ ในรูปอันตนเห็นแล้ว ใน
เสียงอันตนได้ฟังแล้ว ในกลิ่นและรสอัน
ตนได้กระทบแล้ว และในโผฏฐัพพารมณ์
อันตนทราบแล้ว ท่านจงบรรเทาความ
พอใจในถามคุณ 5 เหล่านั้น เป็นผู้ไม่
หวั่นไหว บุคคลใดไม่ติดอยู่ในกามคุณ 5
เหล่านั้น บัณฑิตทั้งหลายเรียกบุคคลนั้น
ว่า เป็นมุนี.
วิตกของคนทั้งหลายอาศัยปิยรูปสาต
รูป 60 เป็นอันมาก ตั้งลงแล้วโดยไม่เป็น
ธรรมในหมู่ปุถุชน บุคคลไม่พึงถึงวังวน
กิเลสในอารมณ์ไหน ๆ และบุคคลผู้ไม่
พูดจาชั่วหยาบ จึงชื่อว่าเป็นภิกษุ.
บัณฑิตผู้มีจิตตั้งมั่นแล้วตลอดกาล
นาน ผู้ไม่ลวงโลก ผู้มีปัญญาแก่กล้า ผู้

ไม่ทะเยอทะยาน เป็นมุนี ถึงบทอันระงับ
แล้ว อาศัยพระนิพพาน เป็นผู้ดับกิเลสได้
แล้ว ย่อมรอคอยกาล (เป็นที่ปรินิพพาน)
ดังนี้.


อรรถกถาอรติสูตร



ในสูตรที่ 2 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า นิกฺขมติ ได้แก่ออกจากวิหาร. บทว่า อปรชฺชุ วา กาเล
ได้แก่ในวันที่ 2 หรือในเวลาภิกษาจาร. ได้ยินว่า พระเถระนั้นเคารพใน
วิหาร. บทว่า อรติญฺจ รติญฺจ ได้แก่ความไม่ยินดีในศาสนา และ
ความยินดีในกามคุณทั้งหลาย. บทว่า สพฺพโส เคหสิตญฺจ วิตกฺกํ
ความว่า และละวิตกลามกซึ่งอาศัยเรือนในกามคุณห้าโดยอาการทั้งปวง. บทว่า
วนถํ ได้แก่ป่าใหญ่คือกิเลส. บทว่า กุหิญฺจิ ได้แก่ในอารมณ์ไร ๆ. บทว่า
นิพฺพนโถ ได้แก่ผู้ปราศจากป่าคือกิเลส. บทว่า อรโต ได้แก่เว้นจาก
ความยินดีด้วยอำนาจตัณหา.
บทว่า ปฐวิญฺจ เวหาสํ ความว่า รูปที่ตั้งอยู่บนแผ่นดิน ได้แก่
รูปหญิงชาย ผ้าและเครื่องประดับเป็นต้น และรูปที่ตั้งอยู่ในอากาศมีแสงจันทร์
และอาทิตย์เป็นต้น. บทว่า รูปคตํ ได้แก่รูปนั่นเอง บทว่า ชคโตคธํ
ได้แก่รูปที่อยู่ในแผ่นดิน อธิบายว่า ถึงนาคพิภพภายในแผ่นดิน. บทว่า
ปริชิยฺยติ ได้แก่ทรุดโทรม. บทว่า สพฺพมนิจฺจํ ความว่า นั้นไม่เที่ยง
ทั้งหมด. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า นี้เป็นมหาวิปัสสนาของพระเถระ. บทว่า