เมนู

8. กัฏฐหารสูตร



ว่าด้วยความเป็นพรหม



[709] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ไพรสณฑ์
แห่งหนึ่งในแคว้นโกศล.
ก็สมัยนั้น พวกมาณพหลายคน ซึ่งเป็นอันเตวาสิกของพราหมณ์
ภารทวาชโคตรคนหนึ่ง เที่ยวหาฟืนพากันเข้าไปยังไพรสณฑ์นั้น แล้วได้เห็น
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งขัดสมาธิ ตั้งพระกายตรง ดำรงพระสติไว้
เฉพาะหน้า อยู่ในไพรสณฑ์นั้น จึงเข้าไปหาพราหมณ์ ภารทวาชโคตรถึงที่อยู่
แล้วบอกพราหมณ์ ภารทวาชโคตรว่า ขอท่านพึงทราบ พระสมณโคดมประทับ
นั่งขัดสมาธิ ตั้งพระกายตรง ดำรงพระสติไว้เฉพาะหน้า อยู่ในไพรสณฑ์.
[710] ลำดับนั้น พราหมณ์ ภารทวาชโคตรพร้อมด้วยมาณพเหล่านั้น
เข้าไปยังไพรสณฑ์นั้นแล้ว ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งขัดสมาธิ
ตั้งพระกายตรง ดำรงพระสติไว้เฉพาะหน้า ครั้นเห็นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ที่นั้น แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
ภิกษุ ท่านเข้าไปสู่ป่าที่ว่างเปล่า
ปราศจากตนในป่าหนาทึบ น่าหวาดเสียว
นัก มีกายไม่หวั่นเป็นประโยชน์ งาม
เพ่งพินิจฌานอย่างดีหนอ ท่านเป็นมุนี
อาศัยป่า อยู่ในป่าผู้เดียว ซึ่งไม่มีการ
ขับร้อง และการบรรเลง การที่ท่านมีจิต
ยินดี อยู่ในป่าแต่ผู้เดียวนี้ ปรากฏเป็น
ข้อน่าอัศจรรย์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้า

ปรารถนาไตรทิพย์อันสูงสุด จึงมุ่งหมาย
ความเป็นสหายกับท้าวมหาพรหมผู้เป็น
อธิบดีของโลก เหตุไร ท่านจึงชอบใจป่า
ที่ปราศจากคน ท่านทำความเพียรในที่นี้
เพื่อบังเกิดเป็นพรหมหรือ.

[711] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ความมุ่งหวังหรือความเพลิดเพลิน
อย่างใด ๆ ในอารมณ์หลายชนิด ซึ่งมี
ประจำอยู่ทุกเมื่อ นานาประการ หรือ
ตัณหาอันเป็นเหตุให้กระชับแน่น ซึ่งมี
อวิชชาเป็นมูลราก ก่อให้เกิดทั้งหมด
เราทำให้สิ้นสุดพร้อมทั้งรากแล้ว เราจึง
ไม่มีความมุ่งหวัง ไม่มีตัณหาประจำ
ไม่มีตัณหาเข้ามาใกล้ มีปกติเห็นหมดจด
ในธรรมทั้งปวง บรรลุสัมโพธิญาณอัน
สูงสุด ประเสริฐ เราควรเป็นพรหม
แกล้วกล้าเพ่งอยู่.

[712] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเช่นนี้แล้ว พราหมณ์ ภารทวาช-
โคตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์
แจ่มแจ้งนัก ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรง
ประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ดุจหงายภาชนะที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทาง
แก่คนหลงทาง ส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจะมองเห็นรูปได้
ข้าแต่ท่านพระโคดม ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้ากับพระธรรมและ

พระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึง
พระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

อรรถกถากัฏฐหารสูตร



ในกัฏฐหารสูตรที่ 8 วินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อนฺเตวาสิกา ได้แก่ มีผู้ทำการขวนขวายเล่าเรียนศิลปะ ซึ่ง
ว่า ธัมมันเตวาสิก. บทว่า นิสินฺนํ ได้แก่ ประทับนั่งเปล่งพระรัศมีมีวรรณะ
6. บทว่า คมฺภีรรูเป ได้แก่ มีสภาพลึก.
บทว่า พหุเภรเว ได้แก่อันน่าสะพึงกลัวมาก เพราะสิ่งที่มีวิญญาณ
และไม่มีวิญญาณที่น่าสะพึงกลัวซึ่งอยู่ในที่นั้น. บทว่า วิคาหิย ไดแก่ เข้า
ไปแล้วโดยลำดับ. บทว่า อนิญฺชมาเนน เป็นต้นเป็นกายพิเศษ. อธิบาย
ว่าด้วยทั้งกายเห็นปานนี้. ด้วยคำว่า สุจารุรูปํ วต ท่านกล่าวว่า ท่านแห่ง
ฌานดียิ่งหนอ.
บทว่า วนวสฺสิโต มุนิ ได้แก่ พระมุนีคือพระพุทธเจ้าทรงอาศัย
ป่า. บทว่า อิทํ ความว่า เหตุที่ท่านนั่งในป่าอย่างนี้นี่ ย่อมปรากฏเป็นสิ่งที่
น่าอัศจรรย์แก่ข้าพเจ้า. บทว่า ปีติมโน ได้แก่ ผู้มีจิตยินดี. บทว่า วเน วเส
ได้แก่ อยู่ในป่า.
บทว่า มญฺญามหํ ความว่าข้าพเจ้า ย่อมสำคัญ บทว่า โลกาธิปติ-
สหพฺยตํ
ได้แก่ ความเป็นสหายของท้าวมหาพรหมผู้เป็นใหญ่ในโลก. บทว่า
อากงฺขมาโน แปลว่า ปรารถนาอยู่. คำว่า ติวิธํ อนุตฺตรํ นี้ ท่านกล่าว
หมายพรหมโลกนั้นแหละ. บทว่า กสฺมา ภวํ วิชนมรญฺญมสฺสิโต ความ