เมนู

3. อสุรินทกสูตร



ว่าด้วยอสุรินทกพราหมณ์ด่าพระพุทธเจ้า



[635] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน
อันเป็นที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต กรุงราชคฤห์.
อสุรินทกภารทวาชพราหมณ์ได้สดับมาว่า ได้ยินว่า พราหมณภาร-
ทวาชโคตร ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในสำนักของพระสมณโคดม โกรธ
ขัดใจ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วก็ ด่า บริภาษ
พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยวาจาอันหยาบคาย มิใช่ของสัตบุรุษ.
เมื่ออสุรินทกภารทวาชพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ทรงนิ่งเสีย.
ลำดับนั้นแล อสุรินทกภารทวาชพราหมณ์ได้กล่าวกะพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าว่า พระสมณะ เราชนะท่านแล้ว พระสมณะ เราชนะท่านแล้ว.
[636] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ชนพาลกล่าวคำหยาบด้วยวาจา ย่อม
สำคัญว่าชนะทีเดียว แต่ความอดกลั้นได้
เป็นความชนะของบัณฑิตผู้รู้แจ้งอยู่ ผู้ใด
โกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว ผู้นั้นเป็นผู้
ลามกกว่าบุคคลผู้โกรธแล้ว เพราะการ
โกรธตอบนั้น บุคคลไม่โกรธตอบบุคคล
ผู้โกรธแล้ว ย่อมชื่อว่าชนะสงความอัน
บุคคลชนะได้โดยยาก ผู้ใดรู้ว่า ผู้อื่น
โกรธแล้ว เป็นผู้มีสติสงบอยู่ได้ ผู้นั้น

ชื่อว่า ย่อมประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสอง
ฝ่าย คือแก่ตนและแก่ผู้อื่น เมื่อผู้นั้นรักษา
ประโยชน์อยู่ทั้งสองฝ่าย คือของตนและ
ของผู้อื่น ชนทั้งหลายผู้ไม่ฉลาดในธรรม
ย่อมสำคัญบุคคลนั้นว่าเป็นคนเขลา ดังนี้.

[637] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว อสุรินทกภารทวาช-
พราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิต
ของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้ง
นัก พระโคดมผู้เจริญ ทรงประกาศพระธรรมโดยปริยายเป็นอันมาก เปรียบ
เหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำเปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่อง
ประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า คนมีจักษุย่อมเห็นรูปได้ฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึง
พระโคดมผู้เจริญ พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอข้าพระองค์
พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระโคดมผู้เจริญ
อสุรินทกภารทวาชพราหมณ์ได้บรรพชา ได้อุปสมบทแล้วในสำนัก
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ท่านอสุรินทกภารทวาชะอุปสมบทแล้วไม่นานแล
หลีกไปอยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร จิตมั่นคง ไม่นานเท่าไรนัก
ก็กระทำให้แจ้งซึ่งคุณวิเศษอันยอดเยี่ยมเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ซึ่งกุลบุตร
ทั้งหลายผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบมีความต้องการ ด้วยปัญญา
เป็นเครื่องรู้ยิ่งเองในปัจจุบันนี้เข้าถึงอยู่ ได้ทราบว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์
อยู่จบแล้ว กิจที่จะต้องทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
ก็แหละท่านพระอสุรินทกภารทวาชะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในบรรดา
พระอรหันต์ทั้งหลาย ดังนี้แล.

อรรถกถาอสุรินทกสูตร



ในอสุรินทกสูตรที่ 3 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อสุรินฺทกภารทฺวาโช ได้แก่ น้องชายของอักโกสกภาร-
ทวาชพราหมณ์. บทว่า กุปิโต ความว่า เป็นผู้โกรธ เพราะเหตุนั้นนั่นแล.
บทว่า ชยญฺเจวสฺส ตํ โหติ ความว่า นั้นเป็นชัยชนะของผู้นั้นนั่นเอง.
อธิบายว่า นั้นเป็นชัยชนะ. ถามว่า เป็นชัยชนะของบุคคลเช่นไร. ตอบว่า
ความอดกลั้นอันใดของผู้รู้แจ้ง ความอดกลั้น คือ ความอดทนของผู้รู้แจ้ง
คุณด้วยความอดกลั้นอันนั้น นี้เป็นชัยชนะของผู้รู้แจ้งนั้นนั่นแล. ส่วนชนพาล
กล่าวคำหยาบ ย่อมสำคัญชัยชนะอย่างเดียวว่า เป็นชัยชนะของเรา.
จบอรรถกถาอสุรินทกสูตรที่ 3

4. พิลังคิกสูตร



ว่าด้วยบาปกลับสนองผู้ประทุษร้าย



[638] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน
อันเป็นที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต กรุงราชคฤห์.
พิลังคิกภารทวาชพราหมณ์ได้สดับมาว่า ได้ยินว่า พราหมณภาร-
ทวาชโคตร ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในสำนักของพระสมณโคดม ดังนี้
โกรธ ขัดใจ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ยืนนิ่งอยู่
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.