เมนู

[625] เมือพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ท่านพระอนุรุทธะ
ได้กล่าวคาถานี้ พร้อมกับกาลเป็นที่ปรินิพพานว่า
ลมอัสสาสปัสสาสะ (หายใจเข้า
ออก) มิได้มีแล้วแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้มีจิตตั้งมั่นคงที่ พระผู้มีพระภาคเจ้ามี
จักษุไม่ทรงหวั่นไหว ทรงปรารถสันติ
ปรินิพพานแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้ามีจิต
ไม่หดหู่ ทรงอดกลั้นเวทนาเสียได้ ความ
พ้นแห่งจิตได้มีแล้ว เหมือนความดับแห่ง
ประทีป ฉะนั้น .

จบปรินิพพานสูตร
จบพรหมปัญจกะ


อรรถกถาปรินิพพานสูตร



ในปรินิพพานสูตรที่ 5 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อุปวตฺตเน มลฺลานํ สาลวเน ความว่า สาลโนทยาน
อยู่ฝั่งโน้มแห่งแม่น้ำ ชื่อว่าหิรัญญวดี เหมือนทางไปถูปารามทางประตูราช
มาตุวิหารแต่ฝั่งแม่น้ำกัทธัมพะ. สาลวโนทยานนั้น อยู่ในกรุงกุสินารา เหมือน
ถูปารามแห่งอนุราธบุรี. แถวต้นสาละจากสาลวโนทยานมุ่งไปทางทิศปราจีน
ออกทางทิศอุดร เหมือนทางที่ไปสู่พระนครโดยประตูด้านทิศทักษิณ จาก
ถูปารามตรงไปทางด้านปราจินทิศ ออกทางทิศอุดรฉะนั้น. เพราะฉะนั้น สาล-

วโนทยานนั้น ท่านจึงเรียกว่า ทางโค้ง. ในสาลวันของเจ้ามัลละอันเป็นทาง
โค้งนั้น. บทว่า อนฺตเรน ยมกสาลานํ ความว่า ในระหว่างแห่งต้นสาละ
ที่ยืนต้นเกี่ยวกันและกัน ทางรากลำต้นค่าคบและใบ. บทว่า อปฺปมาเทน
สมฺปาเทถ
ความว่า ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงให้สำเร็จด้วยความไม่อยู่
ปราศจากสติ. ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรทมเหนือพระแท่นปรินิพนาน
จึงทรงใส่พระโอวาททั้งหมดที่ทรงประทานมา 45 พรรษาลงในบทอัปปมาท-
ธรรมบทเดียวเท่านั้น เหมือนอย่างกุฏุมพีผู้มีทรัพย์มาก ผู้นอนบนเตียงเป็นที่
ตาย พึงบอกทรัพย์อันเป็นสาระแก่บุตรทั้งหลาย ฉะนั้น. ก็คำว่า อยํ
ตถาคตสฺส ปจฺฉิมวาจา
นี้ เป็นคำของพระสังคีติกาจารย์.
เบื้องหน้าแต่นี้ เพื่อจะแสดงถึงบริกรรมแห่งปรินิพพานที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงทำแล้วปรินิพพาน พระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า อถโข ภควา
ปฐมฺฌานํ
ดังนี้เป็นต้น. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
สมาบัติ ในที่นั้น เทพดาและมนุษย์เห็นความไม่เป็นไปของลมอัสสาสปัสสาสะ
จึงได้ร้องขึ้นพร้อมกันด้วยเข้าใจว่า พระศาสดาปรินิพพานเสียแล้ว. ฝ่ายพระ
อานนทเถระ ถามพระอนุรุทธเถระว่า ท่านอนุรุทธะเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ปรินิพพานแล้วหรือหนอ. พระอนุรุทธเถระ ตอบว่า อาวุโส อานนท์
พระตถาคตยังไม่ปรินิพพาน แต่พระองค์ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ.
ถามว่า ท่านพระอนุรุทะ รู้ได้อย่างไร. ตอบว่า เล่ากันมาว่า พระเถระเข้า
สมาบัตินั้น ๆ พร้อมกับพระศาสดาที่เดียว ไปจนถึงออกจากเนวสัญญานา-
สัญญายตนสมาบัติ ได้รู้ว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้านิโรธสมาบัติ
และชื่อว่า การทำกาละภายในนิโรธสมาบัติ ย่อมไม่มี.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเข้าปฐมฌานในฐานะ 24 ในคำนี้ว่า ครั้ง
นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ แล้วเข้า

เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ฯลฯ ออกจากตติยฌาน แล้วเข้าจตุตถฌาน.
ในฐาน 13 เข้าทุติยฌาน ตติยฌานก็เหมือนกัน ในฐาน 15 ทรงเข้าจตุตถ
ฌาน. เข้าอย่างไร? ก่อนอื่น ทรงเข้าปฐมฌาน ในฐานะ 2 เหล่านี้ คือ
อสุภ 10 อาการ 32* กสิณ 8 เมตตา กรุณา มุทิตา อานาปานัสสติ 1
ปริจเฉทากาสกสิณ 1. แต่ทรงเว้นอาการ 32 อสุภ 10 ทรงเข้าทุติยฌานและ
ตติยฌาน ในบรรดาฌา น 13 ที่เหลือ. อนึ่ง ทรงเข้าจตุตถฌานในฐานะ 15
เหล่านี้ คือ กสิณ 8 อุเบกขาพรหมวิหาร 1 อานาปานัสสติ 1 ปริจเฉทากาส
กสิณ 1 อรูปฌาน 4. ก็กถาโดยสังเขปเพียงเท่านี้. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็น
เจ้าของแห่งธรรมเสด็จเข้าสู่นครนิพพาน ทรงเข้าสมาบัติทั้งหมดนับได้ 24
แสนโกฎิ แล้วเข้าเสวยสุขในสมาบัติทั้งหมด เหมือนคนไปสู่ต่างประเทศสวมกอด
คนที่เป็นญาติ.
ก็ในคำว่า จตุตฺถชฺฌานา วุฏฺฐหิตฺวา สมนนฺตรา ภควา
ปรินิพฺพุโต
นี้ ความว่า. มีลำดับ 2 อย่างคือ ลำดับแห่งฌาน 1 ลำดับ แห่ง
ปัจจเวกขณญาณ 1. การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าออกจากจตุตถฌาณหยั่งลงสู่ภวังค
จิต แล้วปรินิพพานในขณะนั้นนั่นเอง ชื่อว่าลำดับแห่งฌาน. การที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าออกจากจตุตถฌานแล้วพิจารณาองค์ฌานซ้ำอีกหยั่งลงสู่ภวังคจิตเเล้ว
ปรินิพพานในขณะนั้นนั่นเอง ชื่อว่าลำดับแห่งปัจจเวกขณญาณ. ลำดับ 2
อย่างดังว่ามานี้. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าฌานแล้ว ออกจากฌานแล้ว
ทรงพิจารณาองค์ฌานปรินิพพานด้วยอัพยากตทุกขสัจจะอันเป็นภวังคจิต. ก็ชน
เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ไม่ว่าพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าหรือพระอริยสาวก
โดยที่สุดกระทั่งมดดำมดแดงทั้งหมดย่อมทำกาละด้วยอัพยากตทุกขสัจจะอันเป็น
ภวังคจิตทั้งนั้น ฉะนี้แล.
บทว่า ภูตา แปลว่า หมู่สัตว์. บทว่า อปฺปฏิปุคฺคโล ได้แก่
เว้นจากบุคคลผู้จะเปรียบเทียบ. บทว่า พลปฺปตฺโต ได้แก่ ผู้บรรลุพลญาณ
* อาการ 32 นับเป็น 1 ฐาน

10. บทว่า อุปฺปาทวยธมฺมิโน ได้แก่ มีการเกิดและการดับเป็นสภาวะ.
บทว่า เตสํ วูปสโม สุโข ความว่า พระนิพพานกล่าวคือการเข้าไปสงบ
แห่งสังขารเหล่านั้นนั่นเองเป็นสุข. ด้วยคำว่า ตทาสิ ท่านกล่าวหมายเอาแผ่น
ดินไหวที่ท่านกล่าวไว้ในมหาปรินิพพานสูตรอย่างนี้ว่า แผ่นดินใหญ่ไหวย่อมมี
พร้อมกับปรินิพพาน ความจริงแผ่นดินใหญ่ไหว้นั้นให้เกิดขึ้นพองสยองเกล้า
และมีอาการน่าสะพึงกลัว. บทว่า สพฺพาการวรูเปเต ได้แก่ประกอบด้วย
การกระทำอันประเสริฐโดยอาการทั้งปวง. บทว่า นาหุอสฺสาสปสฺสาโส ได้แก่
ลม อัสฺสาสปัสสาสะ ไม่เกิด. บทว่า อเนโช ความว่า ชื่อว่า อเนชะ
เพราะไม่มีกิเลสชาติเครื่องหวั่นไหวกล่าวคือตัณหา. บทว่า สนฺติมารพฺภ
ได้แก่อาศัยคือหมายเอาอนุปาทิเสสนิพพาน. บทว่า จกฺขุมา ได้แก่ ผู้มีจักษุ
ด้วยจักษุ 5. บทว่า ปรินิพฺพุโต ได้แก่ ปรินิพพานด้วยขันธปรินิพพาน.
บทว่า อสลฺลีเนน ได้แก่ มีจิตไม่หดหู่ ไม่คดงอ คือเบิกบานด้วยดีนั่นเอง.
บทว่า เวทนํ อชฺณาวสยิ ได้แก่ อดกลั้นเวทนา ไม่คล้อยตามเวทนากระสับ
กระส่ายไปข้างโน้นข้างนี้. บทว่า วิโมกฺโข ได้แก่ หลุดพ้น ไม่มีเครื่อง
กีดขวาง. อธิบายว่า เข้าถึงความไม่มีบัญญัติโดยประการทั้งปวง เป็นเสมือน
ไฟที่ลุกโพลงดับไป ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาปรินิพพานสูตรที่ 5 วรรคที่ 2
แห่งพรหมสังยุต เพียงเท่านี้


รวมพระสูตร


พรหมปัญจกะนี้ พระธรรมสังคาหกาจารย์ แสดงด้วย 1. สนังกุมาร
สูตร 2. เทวทัตตสูตร 3. อันธกวินทสูตร 4. อรุณวตีสูตร 5.
ปรินิพพานสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา